อาหารตรงหน้าคือแกงอ่อมหอยขมใส่ใบชะพลู เอมอรกินแกงอ่อมหอยได้แต่ที่นี่ไม่ได้ใส่กะทิเหมือนที่แม่เธอเคยทำให้กิน ข้าวมีแต่ข้าวเหนียวอันนี้เธอก็ถนัดเพราะพ่อเคยทำให้กินบ่อย ๆ เอมอรถามถึงคุณตาแม่บอกว่าตาเสียไปตั้งแต่เธอยังเด็กแล้วก็หาว่าเธอสมองเสื่อมจำเรื่องตาตัวเองไม่ได้
“แม่คะ ใครพาหนูมาที่นี่คะ” สำเนียงไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาจนผู้เป็นแม่ถึงกับมองหน้า
“เว้าภาษาอีหยังของมึง มึงตายน้ำจนเป็นบ้าไปแล้วติ มึงเป็นหยังหลายบ่อคือกระแดะมาเว้าไทย” (พูดภาษาอะไรของมึง มึงจมน้ำจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ มึงเป็นอะไรมากไหมทำไมดัดจริตมาพูดไทย)
แม่เข้ามาลูบผมเอมอรเบา ๆ คิดว่าลูกสาวเป็นบ้าไปแล้ว ยายกับแม่มองหน้ากันแล้วมองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
แม่เล่าให้เธอฟังว่า เอมอรเรียนจบแค่ปอสี่เขียนหนังสือไม่ค่อยเป็นเพราะไม่ค่อยตั้งใจเรียน ความจริงแล้วทุกคนที่นี่ฟังภาษาไทยออกแต่แค่พูดไม่ค่อยได้เท่านั้น ถ้าพูดก็จะตกภาษาอีสานไปด้วย ส่วนมากชาวบ้านเรียนจบปอสี่กันทั้งนั้น จบชั้นสูงสุดก็คงจะเป็นปอหกซึ่งมีไม่กี่คน
“บักทิดกันกับพ่อมึงนั่นเด้พามา เอามึงใส่เกวียนมา” (ไอ้ทิดกันกับพ่อมึงนั่นไงพามา เอามึงใส่เกวียนมา) แววตาที่แม่สื่อออกมาแสดงความห่วงใยเอมอรมาก
เธออยากเห็นเกวียนที่แม่พูดถึง แต่ตอนนี้ขอกินข้าวก่อน ท้องร้องจนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเสียใจ
มีเสียงคนคุยกันอยู่ด้านล่างของตัวเรือนแม่อวนบอกว่าพวกผู้ชายจะมาก่อไฟผิงอยู่ด้านล่างกับพ่อส่วนน้องชายอยู่ในวัยสิบหกกำลังโตเป็นหนุ่มทุกคืนจะต้องไปนั่งจีบสาวตามบ้านที่มีลูกสาวหรือไม่ก็ไปเที่ยวงานวัด
ก่อนนอนแม่เอาผ้าห่มมาให้เพิ่มเพราะแม่บอกว่าอากาศเริ่มหนาวกว่าวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา เอมอรนอนน้ำตาไหลคิดถึงบ้านและทุกคนที่เธอจากมาจนหลับไปในที่สุด
“เฒ่า เจ้าว่าลูกเฮามันแปลก ๆ ไปบ่อ ตั้งแต่มันฟื้นขึ้นมามันบ่อคือเก่า” (เฒ่า คุณว่าลูกเรามันแปลกไปไหม ตั้งแต่มันฟื้นขึ้นมามันไม่เหมือนเดิม)
“บ่อคือเก่าจั่งได๋” (ไม่เหมือนเดิมยังไง)
“เจ้าบ่อได้ยินมันเว้าติ ภาษามันบ่อคือภาษาเฮาถ้ามันบ่อเป็นบ้าข่อยว่ากะผีเข้า แล้วกะมันบ่อเว้าดู๋คือเก่า จั่งซี่ต้องฟ่าวไปบอกให้พ่อใหญ่ศิลากับแม่ใหญ่ปุ่นมาสู่ขอมันไว ๆ เด้นิ่ จั่งได๋บักกันมันกะได้อุ้มอีนางแล้ว จั่งซั่นมันกะต้องแต่งงานกับอีนางคือเก่า” (คุณไม่ได้ยินที่มันพูดเหรอ ภาษามันไม่เหมือนภาษาเราถ้ามันไม่เป็นบ้าฉันก็ว่าผีเข้า แล้วก็มันไม่พูดมากเหมือนเดิม แบบนี้ต้องรีบไปบอกให้พ่อใหญ่ศิลากับแม่ใหญ่ปุ่นมาสู่ขอเร็ว ๆ นะเนี่ย ไอ้กันมันก็ได้อุ้มหนูอรแล้ว ยังไงมันก็ต้องแต่งงานกับหนูอรเหมือนเดิม)
ทั้งสองปรึกษาหารือกันเพื่อเร่งให้ทางพ่อแม่ของกันมาสู่ขอเร็วขึ้นเพราะถ้าคนรู้ไปทั่วหมู่บ้านว่าลูกสาวมีอาการพูดจาภาษาแปลก ๆ จากที่เธอไม่เคยพูดมาก่อนกลัวว่าจะขายไม่ออก อีกทั้งกันได้อุ้มเอมอรขึ้นจากน้ำแล้วอย่างไรก็ถือว่าได้แตะเนื้อต้องตัวลูกสาวของเธอ
ตื่นเช้ามาอากาศเย็นแม่อวนเอาเสื้อแขนยาวมาไว้ให้ลูกสาวตรงปลายที่นอน เธอสวมมันแล้วเดินออกมาล้างหน้าแปรงฟัน
แม่เดินตามแล้วบอกทุกอย่างที่อยู่ภายในบ้าน เธอคงเห็นว่าเอมอรดูเงอะ ๆ งะ ๆ เหมือนคนความจำเสื่อม
“กูไปเฮียนพ่อใหญ่ศิลาก่อนเด้อ จั่งสิกลับมาหาพาข้าว” (กูไปบ้านพ่อใหญ่ศิลาก่อนนะ ค่อยจะกับมาเตรียมมื้ออาหาร) แม่คงหมายถึงให้รอกินข้าวพร้อมกัน แต่บ้านพ่อใหญ่ศิลาเธอไม่รู้จัก
‘ทำไมแม่ต้องไปหาแต่เช้า’
เอมอรเดินลงจากเรือนมาเห็นยายแพงกับพ่อกำลังนั่งผิงไฟ เธอยกมือไหว้ทั้งสอง
“มึงไหว้แม่ใหญ่เฮ็ดหยังอีหล้า แต่ก่อนปานม้าดีดกะโหลก มื้อนี้คือสิมาเรียบร้อยแท้” (มึงไหว้ยายทำไมอีหนู แต่ก่อนปานม้าดีดกะโหลก วันนี้ทำไมเรียบร้อยจัง)
หรือปกติเจอหน้ากันครั้งแรกเขาไม่ต้องไหว้ พ่อกับยายมองเธอแปลก ๆ เอมอรยิ้มให้แบบแห้ง ๆ แล้วนั่งลงผิงไฟด้านข้างยาย
วันนี้พ่อบอกว่าต้องไปเกี่ยวข้าว มีชาวบ้านมาช่วยกันเกี่ยวหลายคนโดยไม่มีค่าจ้างแต่เราก็ต้องไปช่วยเขาด้วย คงจะเหมือนการลงแขกที่ลุงกับป้าเธอเคยเล่าให้ฟัง หญิงสาวนั่งมองบริเวณบ้านไปรอบ ๆ ใต้ถุนมีควายผูกอยู่กับเสาเรือนเป็นสิบตัว ยกเว้นตัวที่ยังไม่สนตะพายเพราะยังเล็กมาก มีกระดิ่งห้อยอยู่ที่คอของมันทุกตัวทั้งเล็กใหญ่ นั่นคือเสียงที่เธอได้ยินเมื่อคืน เธอเพิ่งเคยเห็นควายตัวเป็น ๆ ก็คราวนี้
“พ่อคะ นั่นเขาเรียกว่าอะไรคะ” อาคมได้ยินสำเนียงและภาษาของลูกสาวแล้วก็คงเห็นพ้องไปกับภรรยาด้วย ว่าหญิงสาวแปลกไปจริง ๆ เอมอรมองไปที่ล้อของมันที่มีขนาดใหญ่ซึ่งทำด้วยไม้ทั้งหมดลักษณะคล้ายกับรถม้าในหนังจีนโบราณ แต่ดูไม่หรูหราเท่า
“ล้อเกวียน เอาไว้เทียมควาย” เอมอรเพิ่งถึงบางอ้อ นี่เหรอเขาเรียกว่าเกวียนที่สมัยก่อนเขาใช้บรรทุกของกัน เธอจึงถามว่าปีนี้ปีพอศออะไร พ่อของเธอบอกว่าปี พ.ศ. 2525 และเพิ่งจะมีไฟฟ้าใช้ไม่กี่เดือนมานี้เอง
เธอโชคดีที่มาในช่วงที่มีไฟฟ้าใช้แล้วไม่งั้นคงใช้ชีวิตลำบากกว่านี้ นี่เธอมาอยู่ในสมัยที่พ่อของเธอกำลังเป็นเด็กที่อายุได้เพียงสี่ขวบงั้นหรือ มิน่าล่ะสำเนียงที่พ่อพูดถึงไม่ค่อยต่างไปจากที่นี่เท่าไหร่ เธออยากกลับไปเล่าให้พ่อฟัง แต่ปัญหาคือเธอจะกลับไปอย่างไร
“แม่มึงคือไปโดนแท้วะ เลยสิออกไปนาสวย” (แม่มึงทำไมไปนานจังเลยวะ เดี๋ยวก็ออกไปนาสาย) อาคมบ่นขึ้นมาขณะที่ภรรยาไปบ้านพ่อใหญ่ศิลายังไม่กลับมา และลูกชายคนเล็กก็ออกไปมัดข้าวรอตั้งแต่เช้า
หลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จต้องมีการตากข้าวไว้ก่อนประมาณสามสี่วันแล้วค่อยใช้ตอกที่ทำจากไม้ไผ่มัดกองข้าวในช่วงเช้าก่อนเก้าโมง ในช่วงเช้าจะยังคงมีหมอกช่วยให้มัดได้ง่ายขึ้น
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแม่ของเธอก็กลับมาเตรียมข้าวปลาอาหาร เมนูเช้านี้ก็คือต้มยำปลากดเหลืองแบบบ้าน ๆ ใส่ใบมะขามอ่อน ที่พ่อของเธอและกันไปหามาเมื่อวานตอนที่เธอจมน้ำ กับน้ำพริกแจ่ว เอมอรกินอย่างเอร็ดอร่อย จนทำให้ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ ข้อดีของการมาอยู่ที่นี่เท่าที่นึกได้ก็คือเธอสามารถกินอาหารได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้นอาหารบางอย่างรสชาติเผ็ดไปหน่อย