ชายหนุ่มรูปร่างกำยำอุ้มร่างหญิงสาวที่ไร้สติขึ้นจากน้ำ พอถึงฝั่งก็จับคนตัวเล็กขึ้นพาดบ่าเพื่อเอาน้ำออกจากปอด จนเธอสำลักน้ำออกมา
“อร! อร!” กันวางร่างของเธอลงกับพื้นแล้วเขย่าเบา ๆ พร้อมกับเรียกชื่ออรซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นชื่อของใคร เธอเริ่มขยับตัวแล้วเอามือกุมที่ศีรษะ เปลือกตายังคงปิดสนิท
“พ่อ อรฟื้นแล้ว” สำเนียงและภาษาอีสานที่เขาพูดคล้าย ๆ กับเสียงพ่อคุยกับลุงของเธอไม่มีผิดเพี้ยน ขนตางอนค่อย ๆ กะพริบช้า ๆ ก่อนจะปรือตาขึ้นมามองคนตรงหน้า สายตาของเธอยังคงพร่ามัว แต่พอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาใบหน้านี้ยิ่งนัก แต่ผิวสีเข้มกว่าที่รู้ ๆ เขาเป็นคนหล่อ
‘ไม่สิจะมาคิดเรื่องหล่ออะไรตอนนี้ มันไม่ได้นะเขม’
แต่เธอจำเขาไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน และเธอยังไม่อยากคิดถึงมันตอนนี้เพราะตอนนี้ในหัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมด คนที่เขาเรียกพ่อเดินเข้ามามองดูเธอใกล้ ๆ ดูมีอายุกว่าคนที่นั่งข้าง ๆ เธอ ด้วยสายตาที่กังวลระคนห่วงใย
“มันเป็นหยังหลายบ่อล่ะอ้ายกัน” (มันเป็นอะไรมากไหมพี่กัน) สมควรเอ่ยถามอาการพี่สาว
“บ่อหน่าเป็นหยังหลาย” (ไม่น่าเป็นอะไรมาก)
“กัน เอาอินางอรไปเถียงนาก่อน ถ้าแม่มันฮู้พ่อถูกด่าแน่” (กัน เอานังหนูอรไปเถียงนาก่อน ถ้าแม่มันรู้พ่อโดนด่าแน่) สงสัยอาคมจะเป็นคนกลัวเมีย
‘ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เธอชื่อกันงั้นเหรอ? ต่อไปนี้ฉันชื่ออร?’
เอมอรเป็นลูกสาวของนางอวนกับนายอาคม ทั้งสองมีลูกสองคนคือสมควรกับเอมอร เอมอรเป็นลูกสาวคนโต เธอเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาและชอบพูดเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย ไม่ชอบเรียนหนังสือกิริยามารยาทก็ไม่เหมือนผู้หญิง พ่อกับแม่จะให้หมั้นหมายกับกัน ซึ่งมีฐานะใกล้เคียงกัน เรือกสวนไร่นาก็อยู่ติดกัน บ้านอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
‘ฉันกำลังฝันไป ทำไมความฝันถึงได้เหมือนความจริงขนาดนี้’
เขาอุ้มร่างที่ยังสะลืมสะลือตรงไปที่เขาเรียกว่าเถียงนาเพื่อให้เธอได้นอนพัก เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ เถียงนาที่เขาว่ากัน มีลักษณะคล้าย ๆ ที่อยู่นาลุงดำแต่ดูโบราณและเก่ากว่า ลักษณะเป็นเสาไม้หกต้น พื้นยกสูงมีบันไดที่เป็นเหมือนบันไดลิงพาดไว้ประมาณสี่ขั้น
ด้านบนมีลักษณะเป็นชานยื่นออกมาพื้นเป็นไม้ทั้งหมด หลังคาก็เป็นไม้ ด้านข้างสามด้านตีกรอบกั้นไว้ด้วยไม้ไผ่ มองไปด้านล่างพื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยพืชผักสวนครัว
กันวางเธอลงบนพื้นไม้ที่มีเสื่อปูไว้แล้ว เสื่อที่น่าจะทำจากต้นกกมีหมอนลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมเล็กแต่รู้สึกจะแข็งกว่าหมอนที่เธอเคยหนุนเป็นประจำ แล้วเธอก็หลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัว
ตื่นมาอีกทีก็มืดแล้ว แสงไฟสว่างภายในห้องนอนจากหลอดไฟขนาดเล็ก เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ ลักษณะเป็นบ้านไม้แต่หลังคามุงด้วยสังกะสี หน้าต่างเป็นไม้เรียงกันอยู่สี่บาน มีสองบานที่เปิดแง้มไว้ให้ลมโชยเข้ามา และที่สำคัญเธอกำลังนอนอยู่ในมุ้งที่มีเชือกผูกยึดไว้สี่มุม ด้านนอกได้ยินเสียงคนคุยกัน สำเนียงและภาษาไม่ได้ต่างจากพ่อของเธอเท่าไหร่นักซึ่งเธอพอฟังรู้เรื่อง และเสียงที่ชัดที่สุดก็น่าจะเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นหยังคือปล่อยให้ลูกตกน้ำ เบิ่งลูกภาษาได๋ กะฮู้อยู่ว่ามันว่ายน้ำบ่อเป็น” (ทำไมคุณถึงปล่อยให้ลูกตกน้ำ ดูแลลูกภาษาอะไร ก็รู้อยู่ว่ามันว่ายน้ำไม่เป็น)
ฟังจากน้ำเสียงแล้วผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะอายุราว ๆ สามสิบปลาย ๆกำลังพูดด่าทอผู้ชายคิดว่าน่าจะเป็นสามีของเธอ
“โอ้ย กะข่อยให้มันไปล้างบักจับซือ ๆ กะบ่อคิดว่ามันสิตกน้ำเนาะ” (โอ้ย ก็ฉันให้มันไปล้างลูกกระจับเฉย ๆ ก็ไม่คิดว่ามันจะตกน้ำนี่นา)
เสียงผู้ชายตอบโต้ขึ้นมาเธอก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงคนที่ช่วยชีวิตเธอ
‘เขาคือพ่อของฉัน?’
ทั้งสองตอบโต้กันไปอีกหลายประโยค เธอรู้แค่ว่าน้ำเสียงผู้หญิงรู้สึกโกรธมากแต่พ่อก็ไม่ตอบโต้กลับ คงกำลังรู้สึกผิด แต่ทำไมเสียงไม่คุ้นเลยนี่เธออยู่ที่ไหน คิดได้แบบนั้นเอมอรก็ควานหากระเป๋าโทรศัพท์ หายังไงก็หาไม่เจอ เธอเพิ่งสังเกตตัวเองว่าตอนนี้เธอสวมผ้าถุงและเสื้อคอกระเช้าเหมือนย่าของเธอไม่มีผิด เธอเอามือบิดแขนตัวเองอย่างแรงเพราะคิดว่าอยู่ในความฝัน
“โอ้ย” มันดันเจ็บจริง เธอไม่ได้ฝันไป
เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามา หญิงสาวตรงหน้าจ้องมาที่เธอ มุ้งถูกมือของหญิงสาวเปิดขึ้น
“อร! ตื่นแล้วเบาะ หิวข้าวบ่อ” (อร ตื่นแล้วเหรอหิวข้าวไหม) เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ
“กระเป๋า” เอมอรพูดขึ้นมาเสียงเบา
“กระเป๋าหยัง ลุกไปกินข้าวก่อน” (กระเป๋าอะไร ลุกไปกินข้าวก่อน) หรือกระเป๋าใบนั้นมันจะหายไปตอนเธอตกลงไปในสระน้ำที่บ้านลุง ในนั้นมีโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์
เธออยากจะร้องไห้ เธอรู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ แต่ตอนนี้เธอบอกกับตัวเองว่าเธอกำลังหิวมาก คิดได้ก็ลุกขึ้นเดินตามคนที่แทนตัวเองว่าแม่ออกไปด้านนอก
บ้านนี้มีลักษณะเป็นบ้านไม้มีชานยื่นออกไปจากตัวบ้านคล้ายกับเถียงนาที่เธอเห็นเมื่อตอนกลางวันแต่มีลักษณะใหญ่กว่ามาก ใต้ถุนบ้านยกสูง และดูเหมือนเธอจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ใต้ถุนบ้าน มันเป็นเสียงกระดิ่งที่เหมือนมีคนสะบัดไปมาดังสนั่น
“ตื่นแล้วบ่ออีหล้า มากินข้าว ๆ” (ตื่นแล้วเหรอหนู มากินข้าว ๆ) เสียงยายแพงเอ่ยทักหลานสาว เธอได้แค่ยิ้มให้แล้วนั่งลงข้าง ๆ ยาย
อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นกว่าที่ที่เธอจากมา ใช่สินี่เป็นวันขึ้นปีใหม่กำลังจะย่างเข้าสู่ปีพ.ศ. 2566 ที่ครอบครัวเธอมาเยี่ยมปู่กับย่าที่ต่างจังหวัดเธอลืมมันไปสนิท เอมอรนั่งแบบขัดสมาธิลงบนเสื่อข้าง ๆผู้หญิงที่ต่อจากนี้เธอต้องเรียกว่าแม่แล้วคิดถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะมานั่งอยู่ตรงนี้ ภาพที่เธอกำลังจะจมน้ำผุดขึ้นมาในหัวก่อนภาพจะตัดไปแล้วก็มารู้สึกตัวอีกทีต่อหน้าผู้ชายรูปหล่อผิวสีแทนคนนั้น
‘แล้วผู้ชายคนนั้นหายไปไหน? เขาพาเธอกลับมาบ้านนี้ได้อย่างไร?’
“นั่งใหม่ เป็นผู้ญิงอย่านั่งจั่งสั้น” (นั่งใหม่ เป็นผู้หญิงอย่านั่งแบบนั้น) แม่สะกิดเธอเพื่อให้นั่งพับเพียบเหมือนกับยาย
‘เกิดมาเคยนั่งพับเพียบตอนที่ไปวัดกับแม่แค่ไม่กี่ครั้ง แค่ด่านแรกก็อยู่ยากแล้ว จะรอดไหมวะไอ้เขม’