เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นชื่อของเขาหรือเปล่า ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะตัดสินใจเดินไปหยุดตรงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม
“อะ...เอ็กซ์คิวส์มี...”
จากนั้นก็พูดต่อไม่ออก ทั้งนึกคำไม่ออกว่าควรจะถามว่าอะไรดี ทั้งพูดไม่ออกเพราะถูกดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมอง
คุณมารอผมใช่ไหม...ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร
กานต์อึกๆ อักๆ ครู่หนึ่งทีเดียว คาดเดาได้เลยว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะต้องเสียดายเงินที่ส่งเขาไปเรียนปรับพื้นฐานแน่ๆ ขนาดประโยคง่ายๆ ยังพูดไม่ได้ เอาไว้ถ้าถูกว่าเรื่องนี้ค่อยแก้ตัวไปแล้วกันว่าเพราะไม่ค่อยได้คุยกับชาวต่างชาติก็เลยประหม่า
ขณะที่ผู้ชายคนนั้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วรอให้อีกฝ่ายพูด แต่ในเมื่อคนตรงหน้าไม่พูด นอกจากส่งเสียง ‘เอ่อๆ อ่าๆ’ ไม่เลิก เขาเลยเป็นฝ่ายเปิดปากแทน
“กานต์ใช่ไหม”
คนถูกเรียกชื่อถึงกับเบิกตาโตทันควัน
ภาษาไทย!?
ไม่ทันจะได้ถาม ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาอีก
“ฉันมารับเธอ”
ได้ยินเท่านั้น ความกังวลของกานต์ก็มลายหายไปในพริบตา
“พ่อเลี้ยง...เอ่อ...คุณสเวนส่งคุณมารับผมเหรอครับ”
ในเมื่อพูดภาษาไทยมา เขาก็พูดภาษาไทยตอบ ถึงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมฝรั่งตรงหน้าถึงพูดไทยได้ชัดขนาดนี้ แต่การไปให้พ้นจากสนามบินนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญกว่า
คนถูกถามพยักหน้า ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ส่วนกานต์กลับยิ้มกว้าง
“ค่อยยังชั่ว ผมนึกว่าจะไม่มีใครมารับผมซะแล้ว”
“ประชุมเลิกช้ากว่ากำหนดน่ะ ขอโทษด้วย” เขาว่า “จะไปกันหรือยัง” แล้วก็ถามมาอีก
“ครับ”
มีเหตุผลอะไรจะต้องปฏิเสธอีก กานต์พยักหน้าตอบตกลงทันที ก่อนจะลากกระเป๋าเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นไป ในใจก็ขบคิดไม่หยุด
ผู้ชายคนนี้...หรือจะเป็นลูกน้องของพ่อเลี้ยงเขา?
รู้ว่า ออสติน สเวน คนนั้นเป็นนักธุรกิจ แล้วก็รู้ด้วยว่าเป็นเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ถ้าจะมีลูกน้องคอยทำงานให้ก็ไม่แปลก
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
พอเดินออกมานอกสนามบินจนกระทั่งถึงลานจอดรถ ระหว่างที่รอให้ผู้ชายคนนั้นยกกระเป๋าใส่ท้ายรถให้ กานต์ก็ออกปากถาม อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงให้ถามได้
“คุณทำงานให้คุณสเวนเหรอครับ”
เสียงปิดท้ายรถดังตามมาหลังจากนั้น ก่อนที่คนถูกถามจะยืดตัวขึ้น
“ฉันดูเหมือนลูกน้องของพ่อเลี้ยงเธอเหรอ”
กานต์เม้มริมฝีปากไปครู่ “เปล่าครับ แต่คุณสเวนบอกว่าจะส่งคนมารับผม ผมก็เลยเดาเอาว่าคงจะเป็นลูกน้อง”
คนฟังหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “เขาไม่ได้ส่งคนมารับเธอหรอก”
สีหน้าของเด็กหนุ่มฉาบพรายไปด้วยความสงสัยทันที
ถ้าไม่ได้ส่งมา แล้วคนตรงหน้าเขาเป็นใครกันล่ะ
หรือว่า...
เกือบจะคิดไปแล้วว่าเป็นมิจฉาชีพแอบอ้างอะไรหรือเปล่า ทว่าผู้ชายตรงหน้าก็พูดขึ้นมาก่อน
“เพราะเขามารับเธอเอง”
กานต์เบิกตาโต มองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา
“งะ...งั้นก็แสดงว่าคุณคือ...”
“ออสติน สเวน”
พูดจบก็ยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองตกตะลึงไปได้ไม่ยาก แต่ถึงจะไม่ยิ้ม กานต์ก็ตะลึงงันไปแล้ว
พ่อเลี้ยงของเขายังหนุ่มขนาดนี้เลยเหรอ!?
หนุ่มอย่างเดียวไม่พอ หล่อประหนึ่งนายแบบบนรันเวย์อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแม่ของเขาจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้
“ขึ้นรถได้แล้ว จะได้กลับบ้านกัน”
กานต์ได้สติคืนกลับมาในตอนนี้ พยักหน้ารับหงึกหงัก เดินไปเปิดประตูรถข้างคนขับ แทรกตัวเข้าไปนั่งท่ามกลางความรู้สึกสับสน
ออสติน สเวน...มีเรื่องทำให้เขาเซอร์ไพรส์ไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ
ออสติน สเวน ต่างจากการคาดเดาของกานต์ไปมากโข ตอนแรกนึกว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะเป็นตาลุงวัยกลางคน ไม่หัวล้านก็พุงโรตัวใหญ่อะไรแบบนี้มากกว่าเสียอีก ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าตัวจริงจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีขนาดนี้
ระหว่างทางที่ออสตินขับรถ เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะลอบมองเป็นระยะ ขนาดซีกหน้าด้านข้าง ออสตินยังดูหล่อจนแทบละสายตาไม่ได้ สันกรามเป็นแนวชัดเจนรับกับหนวดเคราที่ได้รับการตัดแต่งมาอย่างดีบ่งบอกชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเจ้าสำอางขนาดไหน เมื่อไล่สายตาไปตามเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนระเบียบจัด ไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งตัวเนี้ยบถึงขนาดนี้ ส่วนนาฬิกาสีเงินแวววาวที่เขาสวมเป็นเครื่องประดับ นั่นก็บอกถึงความมีรสนิยม
เรียกได้ว่าทุกอย่างของ ออสติน สเวน เพอร์เฟกต์ไปทุกกระเบียดนิ้ว เคยเห็นพระเอกหนังฝรั่งในมาดนักธุรกิจหล่อเหลาอย่างไร ตัวจริงของพ่อเลี้ยงเขาก็เป็นอย่างนั้นเลย กานต์ไม่แปลกใจถ้าแม่ของเขาจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น
แต่...ก็น่าจะบอกเขาสักหน่อยนะว่าแต่งงานใหม่แล้ว ไม่ใช่จดทะเบียนไปโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วก็มาจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้บอกเรื่องสำคัญนี่ให้เขารู้ด้วย
ทว่าจะกล่าวโทษมารดาไปก็ป่วยการ ในตอนนี้เขามาอยู่บนแผ่นดินที่สามีของแม่เกิดแล้วเป็นที่เรียบร้อย อย่างน้อยก็ถือว่าดีอย่างหนึ่งตรงที่ผู้ชายคนนี้ยังคิดเป็นห่วงเขา เป็นห่วงลูกชายของภรรยาทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กานต์ต้องแย่แน่ๆ