กานต์อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ขนาดเขาเพิ่งเจอกับออสตินแท้ๆ ยังชื่นชมเขาไม่หยุด แต่ในความชื่นชมนั้นก็เต็มไปด้วยความประหม่า ทั้งประหม่าเพราะไม่คุ้นชิน ประหม่าเพราะเป็นชาวต่างชาติ ประหม่าเพราะเขาเพียบพร้อมเกินไป ที่สำคัญ...เขาดูมีอำนาจบางอย่างแฝงอยู่ภายใน ซึ่งมันทำให้กานต์ทั้งเกรงใจ ทั้งหวาดเกรงเขามากเลยทีเดียว
“กินเนื้อวัวได้ใช่ไหม”
จู่ๆ ออสตินก็ร้องถามขึ้นมา กานต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบตอบรับไป
“ได้ครับ”
“ค่อยยังชั่ว ฉันทำจนเสร็จแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม่เธอเคยบอกว่าคนไทยบางคนไม่กินเนื้อวัว”
“ผมกินได้ครับ ไม่ต้องห่วง”
ได้ยินอย่างนั้น ออสตินก็พยักหน้า พลันยกจานอาหารที่เพิ่งเตรียมเสร็จมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ
มื้อเย็นสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับลูกเลี้ยงของเขานั้นเป็นอาหารแบบง่ายๆ...สเต๊กเนื้อ ออสตินคิดว่ามันง่ายในการปรุงและทำมากที่สุดสำหรับเขาแล้ว
“ถ้าไม่ถูกปากหรือจืดเกินไปก็เอาซอสพริกราดแล้วกัน ฉันไปซื้อมาจากไชน่าทาวน์ เผื่อว่าเธอจะยังไม่คุ้นชินกับอาหารตะวันตก”
พูดพลางเอาขวดซอสพริกเมดอินไทยแลนด์วางลงตรงหน้า เด็กหนุ่มมองแล้วก็อมยิ้มขึ้นมา
“ผมชอบกินซอสยี่ห้อนี้นะครับ”
“แม่เธอก็ชอบ”
เขาตอบรับ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะคว้าเอาส้อมและมีดมาถือในมือ ปล่อยให้เด็กหนุ่มมองเขาพลางเม้มริมฝีปาก
ทุกครั้งที่กานต์พูดอะไรก็ตาม ออสตินมักจะเสริมขึ้นมาว่าแม่เขาอย่างนั้น แม่เขาอย่างนี้ ดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็คงจะคิดถึงภรรยาตัวเองเหมือนกัน
“กินกันเถอะครับ”
กานต์ตัดบท ไม่ค่อยอยากพูดถึงมารดาตัวเองสักเท่าไร เพราะเขาค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อให้ความสนใจแม่ของเขาแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาติดพันมารดา เพราะแม่เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ต่อให้อายุย่างเข้าวัยสี่สิบกว่าแล้วก็ยังดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบ รูปร่างยังสมส่วน ถึงจะไม่ได้หุ่นดีเหมือนสมัยสาวๆ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
ทว่าก็ไม่ได้ดูดีหรือเหมาะสมกับออสตินหรอก ผู้ชายอย่างออสตินดูดีมากเกินไปจนกานต์นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผู้หญิงที่สวยสมกับความหล่อของเขาจะต้องเป็นแบบไหน บางทีอาจจะต้องเป็นนางฟ้าหรือเทพธิดา เพราะออสตินดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรปูนปั้นตามประติมากรรมกรีกโรมันอย่างไรอย่างนั้น
“กินสิ มองอะไรอยู่”
มัวแต่มองจ้องหน้าอีกฝ่ายจนคนถูกมองเอ่ยปาก กานต์ได้สติ พยักหน้ารับเร็วๆ
“ครับคุณสเวน”
พอได้ยินสรรพนามเรียกแทนตัวเอง ออสตินก็เหลือบมอง
“ยังจะเรียกฉันว่าคุณสเวนอยู่อีกเหรอ”
เป็นกานต์บ้างแล้วที่ชะงัก มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจบ้าง
“ไม่ต้องเรียกว่าคุณสเวนหรอก” ออสตินว่า ขณะที่เริ่มลงมือหั่นสเต๊กเนื้อในจาน
“ถ้าไม่ให้ผมเรียกว่าคุณสเวน แล้วจะให้เรียกคุณว่าอะไรล่ะครับ”
“เธอคิดว่าควรจะเรียกฉันว่าอะไรดี”
“ออสติน”
นึกถึงชื่อของเขาได้ขึ้นมาก็เลยพูดออกไป เท่านั้นคนถูกเรียกก็ชะงัก เหลือบขึ้นมามองเล็กน้อย
“ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบ?”
“ใช่ ไม่อยากให้เรียกชื่อ”
“งั้นก็กลับไปเรียกคุณสเวนเหมือนเดิมดีไหมครับ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเรียกว่าคุณสเวน ซึ่งมันหมายความว่าฉันไม่ต้องการให้เธอเรียกว่าคุณสเวน เข้าใจหรือเปล่า มันฟังดูไม่สนิทสนมกัน ฉันต้องการที่จะสนิทสนมกับเธอ ถึงได้ให้เปลี่ยนวิธีการเรียก”
น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธหรือไม่พอใจเลย แต่ไม่รู้ทำไม กานต์กลับรู้สึกหวาดเกรงในสายตาที่อีกฝ่ายจับจ้องมา จึงได้แต่เงียบไปจนกระทั่งออสตินเอ่ยขึ้นมาอีก
“ลองคิดดูว่าอยากเรียกฉันว่าอะไร”
กานต์ไม่มีคำตอบให้หรอก เขาไม่รู้ว่าในวัฒนธรรมฝรั่ง ถ้าไม่เรียกด้วยชื่อหรือนามสกุล ควรจะเรียกพ่อเลี้ยงว่าอะไร ถ้าเป็นคนไทยก็คงจะเรียกน้า อา ลุง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นศัพท์ในเครือญาติไปแล้ว แต่นี่...เป็นฝรั่ง
คิดเสียจนหัวแทบแตก นั่งเงียบไปพักใหญ่เลยทีเดียว จนกระทั่งออสตินหั่นสเต๊กในจานตรงหน้าเสร็จถึงได้เหลือบขึ้นมามองอีกครั้ง
“ว่าไง คิดออกหรือยัง”
กานต์เม้มริมฝีปาก ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ท่าทางประหม่านั่นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอขึ้นมาหน่อยๆ
“เรียกว่าพ่อดีไหม”
คนถูกถามถึงกับมองหน้า
“พ่อ?”
“ถ้ารู้สึกว่ามันมากเกินไปก็ไม่ต้องเรียกก็ได้”
มากไปจริงๆ แหละ จะให้มาเรียกผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน มิหนำซ้ำยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไรว่าพ่อ มันก็ฟังดูแปลกๆ อยู่
ก็ไม่ได้ผูกพัน ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ นี่นา...
“ลำบากใจสินะ”
กานต์ไม่ปฏิเสธ ผงกศีรษะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ
“งั้นเรียกแด๊ดดี้ก็แล้วกัน ง่ายดี ฟังดูสนิทสนมกันด้วย เธอคงไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรใช่ไหม”
ถึงจะมีความหมายว่าพ่อเหมือนกัน แต่คำภาษาอังกฤษก็ทำให้กานต์พอที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดลงมาได้
“ครับ”
ตอบรับไปเรียบร้อยแล้วด้วย ออสตินเลยได้ทีออกคำสั่ง
“ไหนลองเรียกฉันหน่อยสิ”
“เรียกคุณ?”
“เรียกว่าแด๊ดดี้ไง”
ถึงตอนนี้ กานต์ก็กลับมาอึกอักอีกครั้ง แต่พอถูกสายตาคมของออสตินจับจ้อง เขาก็เหมือนต้องมนตร์สะกด ปากเผยออ้าเปล่งเสียงออกไป
“ดะ...แด๊ดดี้”
เสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แต่ออสตินกลับได้ยินเต็มสองหู แล้วเขาก็พอใจมากเสียด้วย จนต้องเอ่ยปากชม
“เด็กดี”
มุมปากยกขึ้น รอยยิ้มเต็มไปด้วยเสน่ห์ผุดพราย กานต์เหลือบมองแล้วก็ต้องรีบหลุบสายตาหนี คราวนี้ไม่ใช่แค่เพราะประหม่าอย่างเดียว เขาเขินอายขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้หน้าของเขาเห่อร้อนไปหมด
กับแค่คำว่า ‘เด็กดี’ มันทำให้เขาเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
เลือกผู้ชายมาแต่งงานได้อันตรายมากเลยแม่...
พลันก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนที่จะถูกออสตินจับได้ว่าเป็นอะไร
“กินต่อเถอะ”
ถูกสั่งอีกครั้ง กานต์ก็พยักหน้า คว้ามีดกับส้อมบนโต๊ะขึ้นมาถือในมือ เตรียมตัวจะหั่นสเต๊กบ้าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเอื้อมมือมายกจานสเต๊กตรงหน้าของเขาไป ก่อนที่จะยกอีกจานซึ่งอยู่ตรงหน้าของตัวเองมาวางแทน
“จานนี้มันของคุณ...”
กานต์เอ่ย แล้วก็ต้องปิดปากฉับไปทันทีเมื่อถูกดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็ง พลันว่าออกมาใหม่
“จานนี้มันของแด๊ดดี้”
คราวนี้ออสตินยิ้มออกมาน้อยๆ
“ฉันหั่นให้ จะได้กินง่าย” เขาว่า “เธอคงไม่ถนัดใช้มีด ใช้ส้อมจิ้มกินเลยง่ายกว่า เอ้า นี่ผ้า เอาวางรองบนตักซะ จะได้ไม่หกเปื้อน”
กานต์นิ่งงันไปเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะดูแลเขาประหนึ่งว่าเขาเป็นเด็กเล็กๆ ความจริงแล้วมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะดีกว่าถ้าออสตินเป็นคุณลุงอ้วนฉุท่าทางใจดีเหมือนซานตาคลอส ไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อเหลามีเสน่ห์ขนาดนี้
เป็นผู้ชายที่อันตรายต่อสายตาและหัวใจมากจริงๆ นะแม่...
ร้องบอกมารดาที่อยู่บนสวรรค์ในใจไปอีกระลอก เดาได้เลยว่าป่านนี้เธอคงจะหัวเราะขบขันในความประหม่าของเจ้าลูกชายคนนี้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
เรียกแด๊ดดี้เพื่อความสนิทสนมเหรอ?
สนิทสนมอะไรล่ะ จะทำให้เกร็งมากขึ้นกว่าเดิมอีกน่ะสิ มันทั้งทะแม่งๆ ทั้งก่อให้เกิดบรรยากาศประหลาดๆ แต่พอกานต์ชำเลืองมองผู้ชายตรงหน้าที่นั่งหั่นสเต๊กแล้วส่งชิ้นเนื้อหอมกรุ่นเข้าปากอีกครั้ง พลันก็ลอบระบายลมหายใจออกมา
แต่ถ้าแด๊ดดี้ของเขาเป็นผู้ชายคนนี้ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ นิสัยดี ใจดี อัธยาศัยดี มิหนำซ้ำ...ยังเจริญหูเจริญตาดีอีกด้วย