จากการที่รสิกาถูกรถเฉี่ยววันนั้นและคิดว่าไม่เป็นไรมาก กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะวันรุ่งขึ้นก็มีอาการระบมจนเดินไม่ถนัด เจ้านายอย่างกันตภพจึงขอร้องแกมบังคับให้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ทั้งที่คนบ้างานไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลยสักนิด ครั้งนี้จึงเป็นการหยุดงานยาวในรอบปีเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่คิดจะโทร. ติดต่อเจ้าของรถตามนามบัตรที่ให้ไว้แม้แต่น้อย
ภายในใจยังภาวนาขอให้หายทันงานแต่งงานของเจ้านาย มิหนำซ้ำยังมีศักดิ์เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างกรองขวัญอีกด้วย
จนกระทั่งถึงวันศุกร์ อาการของรสิกาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังไม่หายสนิทแต่เป็นเพราะตื่นเต้นกับงานแต่งราวกับงานของตัวเองก็ไม่ปาน ทำให้หญิงสาวลืมอาการเจ็บไปชั่วคราว
“โรส แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก”
คุณรสรินตะโกนถามบุตรสาวอยู่หน้าห้อง โดยมีสาวร่างอวบในชุดโจงกระเบนสีเขียว เสื้อด้านบนเป็นเสื้อลูกไม้แขนพองสีขาว มีระบายที่ช่วงอกกับปลายแขนรวมทั้งชายเสื้อ ที่เอวคาดเข็มขัดหัวนพเก้า ยืนอยู่ข้างๆ
“จะให้ฉันเข้าไปช่วยแต่งไหมจะได้เสร็จไวๆ”
“ไม่ต้องหรอก เสร็จแล้ว”
สิ้นเสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออก คนที่ยืนรออยู่หน้าประตูถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หลังประตู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชมในเวลาต่อมา
“สวยจัง”
กรองขวัญอุทานเสียงสูง เมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของผู้เป็นเพื่อนในชุดโจงกระเบนสีเขียวอมฟ้า สวมเสื้อลูกไม้สีขาวเข้ารูป คอเสื้อค่อนข้างลึกจนมองเห็นเนินอกรำไร มีระบายกรุยกรายตรงหน้าอก ช่วงเอว และปลายแขนซึ่งมีความยาวเสมอข้อศอก ลำคอระหงประดับสร้อยมุก ผมยาวปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง
“แกพูดแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิ” คนถูกชมทำหน้าระรื่นไม่ได้มีท่าทีเขินอย่างที่บอกเลยแม้แต่น้อย
“ฉันพูดจริง แกแต่งแบบนี้อย่างกับหลุดออกมาจากสมัยโบราณเลยนะยายโรส แต่ทำไมแต่งตัวเร็วจัง ฉันคิดว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง”
คำพูดของเพื่อนสนิททำให้รสิกาถึงกับอึ้ง เพราะระหว่างแต่งตัวเธอก็อดนึกถึงการะเกดนางเอกนิยายเรื่องนั้นไม่ได้ และไม่รู้เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าเธอจึงแต่งได้อย่างคล่องแคล่ว แถมใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิดทั้งที่เพิ่งเคยแต่งเป็นครั้งแรก
“มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา โจงกระเบนก็เป็นแบบสำเร็จรูป ไม่ได้สวมยากเย็นอย่างโจงกระเบนสมัยก่อนเสียหน่อย แล้วชุดของแกกับฉันก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะยายขวัญ”
รสิกาบอกพลางมองชุดของกรองขวัญที่ไม่ได้แตกต่างกับของเธอแต่อย่างใด ยกเว้นสีของโจงกระเบนเท่านั้นที่ของผู้เป็นเพื่อนเป็นสีเขียว ซึ่งทั้งสองชุดตกลงเช่ามาจากร้านแถวสยาม ราคาก็ไม่ได้แพงมากอย่างที่คิด ส่วนสร้อยมุกน้ำงามที่คอเธอหยิบยืมมาจากผู้เป็นแม่
“ชุดไม่ต่างกันก็จริงแต่แกใส่สวยจนฉันอิจฉา ฉันใส่ชุดแบบนี้ยิ่งดูอ้วน”
แม้ปากจะบอกว่าอิจฉาแต่น้ำเสียงของคนพูดไม่ได้ฉายแววอย่างนั้นเลยสักนิด
“ใครบอกว่าหนูขวัญอ้วนล่ะ แม่ว่าใส่ชุดแบบนี้ยิ่งเน้นให้รูปร่างดูเพรียวมากกว่าเดิมอีกต่างหาก”
คุณรสรินบอกยิ้มๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากความจริงไปนัก เพราะกรองขวัญที่แม้รูปร่างจะดูท้วมแต่เพราะเป็นคนค่อนข้างสูง เมื่อมองโดยรวมจึงไม่ได้ดูอ้วนอย่างที่เจ้าตัวชอบพูดอยู่ปาวๆ
“แม่พูดแบบนี้ขวัญค่อยมีกำลังใจหน่อยค่ะ”
กรองขวัญพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะหรี่ตามองเพื่อน
“โรส เมื่อกี้ฉันได้ยินแกพูดว่าโจงกระเบนสมัยก่อนนุ่งยาก แกพูดอย่างกับเคยนุ่งโจงกระเบนมาก่อนอย่างนั้นแหละ”
รสิกาอึ้งไปครู่หนึ่งแต่มีหรือคนที่มีไหวพริบปฏิภาณดีอย่างเธอจะจนมุม
“ฉันเคยอ่านจากหนังสือนิยาย ว่าโจงกระเบนนุ่งยากถ้าไม่ชำนาญจริงจะนุ่งได้ไม่งาม เอ่อ...ไม่สวย”
นิยายที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องที่เธอเพิ่งอ่านจบไปนั่นเอง แล้วฉับพลันใบหน้าของชายหนุ่มผู้มีหน้าตาละม้ายพระเอกในเรื่องดังกล่าวก็วาบเข้ามาในสมองทันทีราวกับสั่งได้ ซึ่งไม่รู้ว่าจู่ๆ ก็ไปคิดถึงเขาทำไม
หญิงสาวยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรงๆ เพื่อไล่ภาพนั้นออกไปจากห้วงความคิด ทำเอากรองขวัญมองอย่างสงสัย
“แกเป็นอะไรไปยายโรส ตบหน้าผากตัวเองทำไมกัน”
“เปล่า ใครบอกว่าตบล่ะ ฉันแค่เกลี่ยครีมที่หน้าผาก” คนเอาสีข้างเข้าถูสั่นหน้าปฏิเสธเสียงแข็งแล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะวันนี้วันศุกร์แห่งชาติด้วย แล้วแกเป็นน้องสาวเจ้าบ่าว ไม่ต้องไปช่วยรับแขกในงานเลยหรือไง”
น้องสาวเจ้าบ่าวส่ายหน้า
“เรื่องนั้นให้ทางฝ่ายเจ้าสาวรับผิดชอบไปทั้งหมด คืนนี้ฉันขอสอดส่องหนุ่มหน่อเนื้อเชื้อขุนนางทั้งหลายซะหน่อย ว่าใครจะแต่งกายได้เหมาะสมที่สุด” พูดพลางจ้องหน้าผู้เป็นเพื่อนเขม็งแล้วยิ้มกริ่ม “ส่วนชุดแต่งกายผู้หญิงฉันคิดว่าคงไม่มีใครสวยเกินหน้าเกินตาแกไปได้หรอกแม่หญิงรสิกา”
คนถูกชมยิ้มกว้างจนตายิบหยีเผยลักยิ้มบุ๋มสองข้างแก้ม แล้วโค้งกายให้คนชมอย่างล้อเลียนมากกว่าจะคิดจริงจังตามคำพูด
“แน่นอนอยู่แล้วฉันต้องสวยที่สุดในปฐพี”
“แหม...ไม่คิดจะถ่อมตัวเองบ้างเลยนะแก” กรองขวัญพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “แต่จะว่าไปรูปร่างหน้าตาของแกก็เหมาะกับชุดแบบนี้จริงๆ ตกลงแกเป็นคนสมัยโน้นกลับชาติมาเกิดหรือไงยะ”
“ช่าย” รสิกาเชิดหน้าตอบน้ำเสียงยานคางจุดประสงค์เพื่อแกล้งเพื่อน “ฉันคือ...แม่หญิงการะเกดกลับชาติมาเกิดและกำลังตามหาท่านชายก้อง”
คำพูดสุดท้ายหลุดออกไปจากปากโดยไม่รู้ตัว