“เพราะคุณภูคนเดียวตามใจน้องสาวณดาจนเสียคน งานการไม่ทำพออยากได้เงินก็มาแบมือขอ กล้าไถเเม้กระทั่งกับตานททั้งที่ตานทเป็นน้องและยังเรียนหนังสือไม่จบ ไม่รู้น้องจะเหลือเงินใช้หรือเปล่า”
“เอาน่า ฉันขี้เกียจฟังหนูนาบ่นให้เธอ”
“ไม่รู้ว่ากลับมาจะเหลือเงินกี่บาท ไม่ใช่ว่าก่อนไปก็มาขออีกนะ”
“บ่นเยอะน่า อุตส่าห์ทางสะดวกแล้ว” ภวัตไม่สนใจฟังคำพูดเคร่งเครียดของพิมพ์ณดาเลยสักนิด มองรอบกายดูว่ามีใครบังเอิญเดินผ่านมาหรือเปล่าพอไม่เห็นก็เกี่ยวเอวบอบบางเข้ามาในห้องทำงาน กดล็อกประตูแน่นหนาสะกิดกระดุมเสื้อออกรวดเร็ว
“นี่มันที่ทำงานนะคะ”
“แล้วไง?”
“อย่านะคะเดี๋ยวคนมาเห็น”
“ไม่สน”
“ต้องสน เย็นนี้... ณดามีนัดไปเที่ยวบ้านคุณนุ”
“ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมให้เธอไปบ้านมัน”
“แต่คุณนุบอกคุณพ่อคุณแม่ของเขาไว้แล้วว่าณดาจะไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ผิดคำพูดกับผู้ใหญ่ไม่ดีนะคะ” พยายามต่อรอง
“เธอจะไม่มีแรงเดินออกจากห้องนี้แน่นอนฉันเอาหัวเป็นประกัน”
“ปล่อยนะ” มือเล็กผลักอกกว้างออกห่างให้พ้นกายไม่ยอมให้เขาปลดเปลื้องชุดทำงานของตนเอง กางเล็บข่วนหน้าไปหลายทีก็ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการของภวัตได้
ก๊อก ก๊อก!
“นายครับ กำนันมีโชคมาขอเข้าพบครับ”
‘เวรสิวะ’ ภวัตสบถในใจจำได้ว่าเป็นเสียงปรีชาลูกน้องคนสนิทแต่ยังไม่ยอมตอบกลับ
“ผมรู้ว่านายได้ยินนะครับ กำนันมารอนานแล้วบอกมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย นายรีบออกมาเถอะครับ” เคาะประตูเรียกย้ำอีกครั้งคาดเดาเหตุการณ์ภายในห้องได้ตั้งแต่ไม่เห็นพิมพ์ณดานั่งทำงานอยู่โต๊ะ
“รู้แล้วโว้ยเดี๋ยวก็เตะเข้าให้หรอก” ภวัตหงุดหงิด ลงจากโซฟาจับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้วปรายสายตามองพิมพ์ณดา
“อย่าให้รู้ว่าดื้อขัดคำสั่งออกไปหามัน ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่”
“คนเผด็จการ!” ต่อว่าพลางยกมือกอดร่างกายตนเอง
ภวัตไม่ได้ตอบโต้เพียงมองหน้าหล่อนเท่านั้น เดินออกจากห้องมาพบลูกน้อง
“เอ่อ... ผมคงไม่ได้มาขัดจังหวะนะครับ” ทักทายด้วยรอยยิ้มสั่นๆ วินาทีแรกพยายามมองเข้าไปในแต่ประตูถูกปิดล็อก วินาทีต่อมาสายตาก็ดันทะลึ่งก้มลงมองเป้ากางเกงเจ้านาย
“แกอยากโดนเตะหรือไง!” กระตุกท่อนขาเตรียมจะลงโทษ
“ไม่อยากครับ เชิญห้องรับรองครับนาย”
ปรีชาก้มหน้าลงเล็กน้อยยืนเอียงสี่สิบห้าองศาผายมือเชิญเจ้านายคาดว่าตอนนี้คงกำลังอารมณ์เสียสุดๆ ไปพบกำนันมีโชค
ภวัตเข้ามาในห้องรับรองแขกร้อยละแปดสิบคือเป็นคนรับฟังธุระของกำนันมีโชค กำนันส่งเอกสารหลายฉบับมาให้เขาก็รับมาอ่านพอผ่านๆ แวบเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและสิ่งที่กำนันต้องการแท้จริงแล้วคือสิ่งไหน
“ถ้าหากคุณภูไม่อยากขายดรมกของต้นตระกูลนายทุนอยากจะขอเช่าที่ดิน จะกำหนดสัญญาเช่ากี่ปีก็ได้”
“ถ้าผมกำหนดเวลาห้าปีนายทุนคนนั้นก็จะเช่าสร้างโรงงานเหรอ”
“แน่นอนครับ นายทุนคนนี้รวยมาก”
“โครงการที่กำนันเอามาเสนอละเอียดดีนะครับแต่ผมว่ากำนันเอากลับไปเถอะ ไร่ภูตะวันของผมมีพื้นที่กว้างใหญ่ก็จริงแต่โรงงานที่เสี่ยงต่อการทำลายสภาพแวดล้อมแบบนี้ผมไม่เห็นด้วย”
ภวัตส่งเอกสารโครงการกลับคืนให้คนของกำนันมีโชค
กำนันหน้าชาไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธง่ายดายขนาดนี้ขัดต่อผลประโยชน์มหาศาลที่ตัวเองต้องการ
“คุณภูจะไม่ลองเก็บไปพิจารณาสักหน่อยเหรอครับ ผมให้ลูกน้องทำวิเคราะห์ผลกระทบแล้ว อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เสี่ยงอะไรมากแถมชาวบ้านก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น”
“ใช้อะไรวิเคราะห์เหรอครับ ได้ลงพื้นที่ถามชาวบ้านหรือยังว่าชาวบ้านต้องการหรือไม่ต้องการ” ภวัตมองหน้ากำนันนิ่งเห็นความไม่พอใจในแววตาอีกฝ่ายชัดเจน
“ถ้าคุณภูต้องการผมจะให้ลูกน้องลงพื้นที่วันนี้เลยครับ”
“ไม่จำเป็นหรอกครับเพราะผมไม่เห็นด้วยแต่แรก หรือถ้ากำนันอยากร่วมทุนกับนายทุนคนนั้นก็คงต้องมองหาที่ดินแปลงอื่นที่ไม่ใช่ไร่ภูตะวันของผม”
“ครับ ผมเข้าใจ” กำนันยิ้มเย็น เอนหลังในอากัปกิริยาสบายใจกว่าเดิม “พักเรื่องเครียดมาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า ยัยหนูพรีมบ่นให้ฟังว่าพักนี้คุณภูไม่ค่อยไปหาเลย”
“ไปหาทำไมครับในเมื่อโครงการให้ทุนเด็กยากจนของผมจบลงแล้ว ก็คงจะทิ้งเวลาไปสักพักปีหน้าคงได้ให้ทุนเด็กอีก” เขาคุยกับพีชญาเเค่เรื่องนี้ไม่ได้คุยนอกไปจากนี้เลย มีแค่คนอื่นเท่านั้นแหละที่ใส่สีตีไข่ไปเองหาว่าเขาเข้าหาลูกสาวกำนันเพราะอยากจีบ
“แหม พูดจาตลกจังเลยครับ”
กำนันไม่ยอมรับความจริงแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนหาว่าภวัตพูดตลก “ไว้ถ้าวันไหนว่างให้เกียรติไปกินข้าวที่บ้านผมบ้างนะครับ”
“ได้ครับ” ตอบรับคำเชิญไม่ได้ฉีกหน้าอีกฝ่าย
“ผมคงต้องขอตัวก่อนว่าจะแวะรับยัยหนูที่โรงเรียนด้วย”
กำนันลุกจากโซฟารับไหว้หนุ่มรุ่นลูกแล้วเดินออกจากสำนักงานไร่ภูตะวันโดยกำหมัดแน่นตลอดเส้นทาง