3
เสือร้ายคืนถิ่น
รถออฟโรดสีดำเมี่ยมที่ด้านข้างเขรอะไปด้วยฝุ่นดินแดง กำลังแล่นไปรับหลานชายคนเล็กของเจ้าของฟาร์มชาลี ฟาร์มโคนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอำเภอและจังหวัดแห่งนี้ กินพื้นที่กว้างใหญ่ถึงหนึ่งพันไร่ขณะที่รองลงมาก็คือฟาร์มมณีษร ที่มีเนื้อที่ขนาดห้าร้อยกว่าไร่ ทั้งสองฟาร์มแห่งนี้ทำธุรกิจประเภทเดียวกันนั่นก็คือฟาร์มโคนมผสมผสานการทำธุรกิจเกษตรเชิงนิเวศน์ มีการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมวิธีการเพาะพันธุ์พืชต่าง ๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เหมือนเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไปในตัว ยิ่งปีที่ผ่านมาได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับชีวิตของโคนมด้วยแล้วยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจด้านนี้ฟาร์มชาลีเห็นจะได้รับความนิยมมากกว่าฟาร์มมณีษรที่ยังเก็บค่าผ่านประตูอยู่
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ กำลังมองดูบริเวณข้างทางที่รถกำลังแล่นผ่าน ห้าปีแล้วสินะที่เขาไม่เคยกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดของตัวเอง นับตั้งแต่ถูกปู่บังคับให้แต่งงานกับเพียงจันทร์ ชาล ชาลี ในวันนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก จากชายหนุ่มผู้รักสนุกไม่สนใจการงาน กาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงคนไม่เอาถ่าน ให้รู้จักขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวเพิ่ม ทำงานประเภทที่หนักเอาเบาสู้ ใบหน้าแลดูคมเข้มตัดกับผมที่หยักศกบนศีรษะ ร่างกายปรากฏมัดกล้ามเนื้อช่วยเสริมให้บุคลิกดูน่าเกรงขาม ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ยกเว้นเรื่องอคติที่เขายอมรับไม่ได้ต่อตัวภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของตัวเอง
รถแล่นมาได้สักพักใหญ่ก็เลี้ยวผ่านป้ายไม้ขนาดใหญ่ ที่ด้านข้างมีรูปของโคนมเป็นสัญลักษณ์ของฟาร์ม นักท่องเที่ยวในช่วงเช้ายังคงมีอยู่บ้างประปรายตา แล่นผ่านโซนที่เปิดให้ท่องเที่ยวเข้าไปภายในก็จะกลายเป็นเขตหวงห้ามเฉพาะคนในเท่านั้น บริเวณนี้จะมีคนคอยเฝ้าเพื่อเปิดประตูเข้าออกให้ ขับไปสักพักก็จะเข้าสู่บริเวณตัวบ้านไม้สักทั้งหลังขนาดใหญ่
ชาลเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายหลังหนึ่งใบ ส่วนกระเป๋าใบใหญ่อีกสองให้อาทรเป็นคนยกลง เพียงแค่ก้าวเข้าไปภายในตัวบ้าน ก็พบว่ามีบุคคลสามคนนั่งรอเขาอยู่ภายในห้องรับแขก ตรงกลางคือปู่ของเขาห้าปีแล้วสินะแก่ตัวลงไปมาก ฝั่งซ้ายก็คือพี่ชายสุดหล่อคนเดียวของเขา ครั้นหันมาฝั่งขวาหน้าก็ของชาลก็เป็นอันต้องบึ้งตึงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพียงจันทร์ยังอยู่ที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์อะไรทำไมจะไม่รู้
"แกเห็นฉันแล้วจะไม่ทักทายกันเลยหรือยังไงเจ้าชาล" คนเป็นปู่ต้องทักขึ้น เมื่อหลานชายของตัวเองเอาแต่จ้องหน้าภรรยาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร
"สวัสดีครับปู่พี่ชัน" เขายกมือไหว้คนเป็นปู่กับพี่ชาย แต่ส่งสายตาเฉยเมยใส่ภรรยา นายชูกับหลานชายคนโตถึงกับหันไปส่ายหน้าให้กันในการกระทำของชาล
"สวัสดีค่ะคุณชาล" เพียงจันทร์ไม่จำเป็นต้องรอให้เขามาเอ่ยก่อน เธอมีสิทธิ์ที่จะทักทายสามีของตัวเอง หญิงสาวพยายามทำใจกล้ามองสบสายตากับเขาแล้วส่งยิ้มไปให้ แต่แววตาที่มองสบกลับคืนมานั้นมันไม่ใช่สายตาแห่งความเป็นมิตร เขากำลังจะคาดโทษเธอทางสายตา
“ไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่ที่นี่” คนถามเหยียดรอยยิ้มใส่ เพียงจันทร์ต้องข่มความโกรธกรุ่นเอาไว้ข้างใน กัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปด้านข้างแทน
“แกมาก็ดีแล้วจะได้มาช่วยกันทำงาน ตอนนี้เจ้าชันคนเดียวดูแลไม่ค่อยทั่วถึง ดีหน่อยที่หนูนิ้งช่วยเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง” นายชูชวนเปลี่ยนเรื่อง ระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าหลานชายคนนี้ของเขาใจแข็งจริง ๆ ไม่เคยแม้แต่จะกลับมาเยี่ยมเยียน มีเพียงแค่ส่งของขวัญวันเกิดมาให้ในแต่ละปี แค่นั้นจริง ๆ
“ผมยังไม่อยากทำงานครับปู่” ชาลยักไหล่ขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับเอ่ยคำพูดขัดใจคนฟัง
“ยังไม่อยากทำงาน แกอายุสามสิบสองปีแล้วนะชาล จะมัวลอยไปลอยมาแบบนี้ได้ยังไง แล้วที่ไปอยู่อเมริกามาตั้งห้าปีไปทำอะไรอยู่ที่นั่น” ชายสูงวัยเอ็ดหลานชายคนเล็ก ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องที่ตัวเองติดค้างอยู่ในใจมานานแล้ว
“ก็ทำงาน” อีกคนกลับตอบสั้น ๆ
“ทำงาน งานอะไรของแก”
“ปู่อย่ารู้เลย”
“ไอ้ชาล” นายชูแทบจะกระโดดไปบีบคอหลานชายสุดที่รักที่เล่นปิดประตูคำตอบหนีไปแบบนี้
“ครับคุณปู่” อาการยียวนกวนประสาทยังคงมีอยู่ในตัวของชาลไม่เคยเปลี่ยน คนเป็นปู่ได้แต่สกัดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ ตอนเด็กมันน่ารักน่าชังทำไมโตขึ้นมาชาลถึงได้เปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้ ชายสูงวัยได้แต่สะท้อนผลการเลี้ยงดูหลานของตัวเอง แต่ครั้นมองไปยังชันชัยก็อดคิดอย่างปลงไม่ตก มันคงไม่ได้อยู่ที่การเลี้ยงดูแต่คงเป็นที่ตัวบุคคลเสียมากกว่า
“พอได้แล้วชาล” เดือดร้อนคนเป็นพี่ชายก็ต้องเอ่ยปากติเตือนน้องชาย ส่วนเพียงจันทร์นั้นได้แต่นึกหวั่นใจ ในอนาคตอันแสนจะมืดมนวันข้างหน้าของตัวเอง
“ก็ได้ครับพี่ชัน แต่เรื่องงานขอเวลาสักเดือนสองเดือนนะครับ แบบว่าผมยังอยากจะพักสมองสักระยะ” พูดเพียงแค่นั้นชาลก็สะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วตรงขึ้นห้องนอนของตัวเองไป คนเป็นปู่กับพี่ชายได้แต่มองตามไปด้วยความรู้สึกหนักใจ ยิ่งภรรยาสาวสวยอย่างเพียงจันทร์ด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมากต่อเรื่องนี้
สิ่งที่เพียงจันทร์รู้สึกสังหรณ์ใจได้เป็นเรื่องจริงในเวลาต่อมา เพียงแค่ได้ก้าวเข้ามาภายในห้องนอนของตัวเอง ชาลก็ทำในสิ่งที่ทุกคนในบ้านต้องตกใจ เมื่อเขาจัดการโยนข้าวของทุกอย่างของเพียงจันทร์ออกจากห้อง
“คุณชาลนี่คุณทำอะไร” เจ้าของเสื้อผ้ากระเป๋าที่กองอยู่บนพื้นถึงกับยืนตัวสั่นเทิ้มไปหมดด้วยความโกรธ มองดูการกระทำของเขาด้วยสายตาตำหนิ
“เธอย้ายไปอยู่ที่ห้องรับแขกโน่น ห้องนี้มันห้องส่วนตัวของฉัน”
“ชาล !” ชันชัยเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้า ถึงกับตะคอกน้องชายด้วยความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้
“ทำไมครับพี่ชันนี่มันห้องนอนของผม ผมไม่ชอบให้คนอื่นมาวุ่นวาย”
“คนอื่นที่ไหนกันนี่คุณนิ้งเมียของแกเองนะ แล้วทำไมจะต้องโยนข้าวของด้วย ชีวิตในเมืองนอกสอนแกมาแบบนี้หรือยังไง” เขาติสิ่งที่น้องชายทำ มันไม่ใช่วิสัยของชาลที่เขาเคยรู้จัก ชาลไม่เคยหยาบคายกับผู้หญิงมาก่อน
“เมีย พี่ชันเอาอะไรมาพูดครับ ผมไม่เคยมีเมีย” ชาลยั่วโมโหได้เก่ง
“ชาล !”
“พอเถอะค่ะคุณชัน นิ้งไปอยู่ที่ห้องรับแขกก็ได้ค่ะ” หลังจากยืนฟังสามีกับพี่ชายของเขาโต้เถียงกันอยู่สักพักหนึ่ง เพียงจันทร์ก็ตัดสินใจยุติเรื่องราวทั้งหมดลงเอง หญิงสาวตัดสินใจหอบข้าวของที่อยู่บนพื้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินตรงไปยังห้องรับแขกที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง ชันชัยทำได้เพียงแค่มองตามหลังหญิงสาวไปด้วยสายตาแห่งความเป็นห่วง ขณะที่น้องชายตัวดีกลับปิดประตูใส่หน้าเขาอย่างไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด