ตอนที่ : 4 น้ำตาอรุณนารี 2

1655 คำ
      หนึ่งปีเต็มที่หญิงสาวส่งงานตรงต่อเวลา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าไปยังสำนักพิมพ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ก่อเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสำนักพิมพ์กับหญิงสาว การกลับมาบ้านเกิดของอรุณนารีจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องลำบากแต่อย่างใด เพราะว่ามีรายได้จากงานประจำสามารถเลี้ยงชีพได้นั่นเอง            ใช้เวลาราวสองชั่วโมงเศษ ๆ บทความสั้นที่เธอต้องพิสูจน์อักษรก็เสร็จสิ้นลง อรุณนารีปิดเน็ตบุ๊คแล้วนำไปเก็บไว้ในห้องนอน ก่อนจะออกมารับลมเย็น ๆ ด้านนอก วันนี้เธอไม่ได้ทำอาหารมื้อค่ำ หญิงสาวเลือกที่จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่แวะซื้อในร้านสะดวกซื้อในตัวอำเภอกินไปพลาง ๆ ก่อน ยังมีนมกับขนมปังบางส่วนที่ซื้อมาไว้เป็นเสบียง พรุ่งนี้เช้าอรุณนารีวางแผนไว้ว่าจะต้องเข้าไปในตัวอำเภอ แล้วซื้ออุปกรณ์ที่จะใช้ในการทำความสะอาดมาเพิ่ม แค่ผ้าผืนสองผืนคงไม่สามารถทำความสะอาดบ้านทั้งหลังได้ ดวงตาคู่สวยมองลงไปยังด้านล่างของบริเวณบ้าน มีสนามหญ้าขนาดเล็กที่แม้แต่รถคันหนึ่งยังจอดไม่ได้เลย หญิงสาวมองดูต้นมะม่วงเขียวเสวยสองต้นที่ปลูกห่างกันเพียงเล็กน้อย มารดาของเธอชอบนำเปลญวนมาผูกไว้สำหรับให้เธอได้นอนอ่านหนังสือเล่น ชีวิตแบบนั้นมันแสนจะมีความสุข สุขมากจนตัวเธอไม่เคยสงสัยเลยว่า ทำไมแม่ถึงมีเงินใช้ มีเงินส่งเสียเธอเรียน ทั้งที่ท่านไม่ได้ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งแม้แต่น้อย            'รุณแม่ขอโทษ' ในวันที่นายมาตย์มารับตัวเธอกับมารดาเข้าไปอยู่ในฟาร์มมณีษร แม่ได้เอ่ยคำนี้พร้อมกับน้ำตา เด็กน้อยในวัยสิบขวบไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกอย่างไร อรุณนารีทำได้เพียงแค่แสดงแววตาและสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง ที่จะต้องเข้าไปอยู่ในฟาร์มมณีษรในฐานะลูกเมียน้อย ชีวิตหลังจากนั้นมาก็คงต้องบอกว่ามีแต่คำว่า บัดซบ ! คำเดียว            'สองแม่ลูกนี้ต้องอยู่ที่เรือนคนงาน'  นางเพียงตายื่นคำขาดต่อสามี            'คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ'            'ทำไมจะไม่ได้ ถ้าอยากนอนกับมันนัก ก็เรียกมันขึ้นมาที่เรือนแล้วไปใช้ห้องรับแขกโน่น แต่ถ้าจะให้มันขึ้นมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกับฉัน ขอบอกเลยนะคุณมาตย์ฉันไม่ยอม !' อรุณนารีในวัยสิบขวบได้แต่ยืนมองดูพวกผู้ใหญ่โต้เถียงกัน โดยที่มารดาของตัวเองนั้นยืนคอตกอยู่ด้านข้าง ครั้นหันไปมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวต่างมารดา แววตาของเพียงจันทร์ในตอนนั้นแทบจะฉีกเนื้อเธอออกเป็นชิ้น ๆ หากว่าทำได้            'ก็ได้ ๆ ตามใจคุณก็แล้วกัน' ในวันนี้เธอเพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมนายมาตย์ถึงได้ตอบตกลงอย่างง่ายดาย เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันผิดต่อภรรยาและลูก ดังนั้นเขาจึงไม่มีปากเสียงที่แย้งภรรยาหลวงของตัวเองได้ คนที่มีชนักปักหลังย่อมมีความขลาดกลัว และไม่กล้าที่จะปกป้องคนอื่นอย่างนี้นี่เอง            เสียงถอนหายใจอย่างยาวเหยียดดังขึ้น เธอจะมัวมานั่งระลึกความหลังแสนเจ็บปวดนั่นทำไม ต่อจากนี้ไปอรุณนารีจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านั้นอีกแล้ว จบสิ้นกันทีความสัมพันธ์ที่น่าเศร้าใจแบบนั้น นับจากนี้ไปเธอจะทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนในฟาร์มมณีษร            แดดอ่อน ๆ ฉาบแสงต้อนรับเช้าวันใหม่ เจ้าของบ้านสาวรีบสะพายกระเป๋าทรงนกฮูกขนาดเล็ก ที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านจากทางเหนือ ภายในนั้นบรรจุได้เพียงแค่กระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มือถือเท่านั้นเอง หญิงสาวออกไปยืนรอรถประจำทาง ที่จะเข้าไปในตัวอำเภอตรงถนนใหญ่อยู่ห่างจากตัวบ้านราวห้าร้อยเมตร ยืนรออยู่เกือบสิบนาทีเจ้ารถโดยสารคันสีเขียวเก่าครึก็แล่นมาจอดตรงหน้าอย่างช้า ๆ เพียงแค่ก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังผู้โดยสารทั้งหมดที่มีอยู่ราวสิบกว่าคน ก็หันมามองอรุณนารีเป็นสายตาเดียวกัน            "หนูเป็นลูกใครกันทำไมป้าไม่เคยเห็นหน้าเลย" หญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ด้านข้างหันมาถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ อรุณนารียิ้มให้คนถามเพียงเล็กน้อย            "ลูกแม่อรุณีบ้านตรงโน้นค่ะ" ตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปยังบ้านที่อยู่ห่างออกไปจากถนนใหญ่            "บ้านไม้ที่มีต้นมะม่วงสองต้นอยู่หน้าบ้านไงล่ะนางมำ" ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าเป็นคนอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งหญิงสาวก็ยิ้มทักทายเขาอย่างเป็นมิตร            "อ๋อ บ้านแม่อรุณีนี่เองว่าแต่แม่หนูไปไหนแล้วล่ะ"            "เสียแล้วค่ะ" คำตอบเบา ๆ แต่ใบหน้าของคนเอ่ยนั้นสุดแสนจะสะเทือนจิตใจ ทุกคนที่นั่งอยู่ในรถคันเดียวกันถึงกับเงียบเสียงไปโดยปริยาย ราวสิบห้านาทีต่อมาก็ถึงเป้าหมายของทุกคน อรุณนารีเดินไปจ่ายค่าโดยสารแล้วมุ่งหน้าไปยังตลาดสดประจำตัวอำเภอ            ยังไม่ทันที่อรุณนารีจะได้จับจ่ายซื้อของใช้จำเป็น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งเข้า อาการเดินหลบไปอยู่ตรงมุมร้านค้าแห่งหนึ่งเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ใช่แล้ว เธอไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยจริง ๆ ถึงแม้จะไม่อยากเห็นแต่สายตาก็ไม่อาจละห่างไปจากเขาได้ นายมาตย์กำลังยืนคุยกับเจ้าของร้านนมสดฝั่งตรงข้ามอยู่ บนรถกะบะยังมีถังนมสดติดป้ายฟาร์มมณีษรเอาไว้อย่างชัดเจน หญิงสาวยืนอยู่นิ่งหลบมุมอยู่ที่เดิม จนกระทั่งนายมาตย์ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วให้คนขับออกไป จึงได้เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว ปกติงานพวกนี้เป็นหน้าที่ของคนงานในฟาร์ม ทำไมวันนี้เจ้าของฟาร์มถึงได้ออกมาทำมันด้วยตัวเอง อรุณนารีทิ้งความสงสัยเอาไว้แค่นี้จากนั้นก็เดินเข้าตลาดที่อยู่ด้านหน้า ป่วยการที่จะคิดเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง             หญิงสาวทำการจับจ่ายซื้อของใช้จำเป็นและอาหารที่สามารถตุนเป็นเสบียงไว้ได้หลายวัน อรุณนารีเลือกซื้อของจนเพลิดเพลิน ลืมไปว่ารถโดยสารประจำทางของที่นี่มีเวลาไปกลับแค่รอบเดียว และเธอก็พลาดรอบเที่ยงไปอย่างน่าเสียดาย เจ้าของร่างเพรียวจึงได้เดินเข้าไปหามื้อเที่ยงประทังความหิวในร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังประจำอำเภอ            "เส้นเล็กแห้งไม่ใส่ถั่วงอกค่ะ" เมื่อสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็รินน้ำเปล่าที่อยู่ในเหยือก ใส่แก้วน้ำแข็งเปล่าที่คนในร้านนำมาให้ รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากเล็ก ๆ ต่อข้อความโต ๆ ที่ติดอยู่บนเหยือกน้ำ เปล่า =1 บาท, แข็ง= 1 บาท ช่างบอกกล่าวราคาน้ำได้อย่างชัดเจน ไม่เหมือนการตลาดในกรุงเทพฯบางแห่ง ที่เอารัดเอาเปรียบลูกค้าเหลือเกิน ปิดบังซ่อนเร้นราคาที่แท้จริงกันอยู่เรื่อย หากคนขายรู้จักซื่อสัตย์ต่อคนซื้อ คงไม่ต้องมีหน่วยงาน สคบ. ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความยุติธรรมให้ผู้บริโภค อรุณนารียิ่งคิดก็ยิ่งออกนอกทะเลไปเรื่อย            "แม่นุ่นขายที่ให้นายชูไปหรือยัง" เสียงสนทนาของโต๊ะด้านหลังดังมาให้หญิงสาวได้ยิน            "ขายไปแล้วดีที่แกช่วยรับซื้อในราคาสูง"            "ดีแล้วแม่นุ่น ดีกว่าถูกไอ้พวกนายทุนมันกดราคา ความจริงแล้วนายชูไม่ได้ต้องการที่ดินรกร้างของแม่นุ่นหรอก แต่เห็นว่าเดือดร้อนเรื่องเงินเลยรับซื้อไว้ แม่นุ่นถือว่าโชคดีมาก ๆ นะ"            "ใช่ ฉันโชคดีจริง ๆ ขอบใจแม่พรด้วยที่แนะนำให้ฉันไปหานายชูไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้ขายที่ไปก็ไม่รู้จะช่วยเหลือลูกได้หรือเปล่า"            "เส้นเล็กแห้งไม่งอกได้แล้วครับ" อรุณนารีหันมาให้ความสนใจต่อก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า ท้องถิ่นแห่งนี้คงมีแต่นายชูที่มีอิทธิพลเหนือคนอื่น เจ้าของฟาร์มชาลีในวัยหกสิบห้าปีกับหลานชายอีกสองคนช่างมีอิทธิพลล้นหลามในดินแดนแห่งนี้ หญิงสาวรีบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ในชามเข้าปาก ไม่อยากจะได้ยินเรื่องราวของใครหน้าไหนทั้งนั้น            ก่อนกลับบ้านนั้นอรุณนารีได้เหลือบไปเห็นร้านค้าที่เปิดจำหน่ายรถจักรยานยนต์เข้า ความคิดหนึ่งตะโกนบอกว่า หากจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบถาวร เธอควรจะต้องพึ่งพาเจ้าสิ่งนี้ ในที่สุดก็ตัดสินใจทุ่มเงินเก็บจำนวนหนึ่ง เพื่อซื้อเจ้าฟีโน่คันสีขาวมาไว้ใช้สอย            "ต่อไปฉันจะเรียกแกว่าไอ้อ้วนนะ" หญิงสาวลูบเบาะนั่งเบา ๆ ตัวมันอ้วนกลมแบบนี้เหมาะกับชื่อนี้ที่สุด ของใช้ที่ซื้อมาถูกนำไปแขวนไว้ตรงขอเกี่ยวหน้ารถ            "กลับบ้านกันนะไอ้อ้วน" ว่าแล้วก็บึ่งไอ้อ้วนตัวกลมกลับบ้านของตัวเองอย่างคนอารมณ์ดี ชีวิตของเธอเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ตื่นเช้ามานั่งทำงานที่ทางสำนักพิมพ์ส่งอีเมลมาให้ สาย ๆ ก็หาหนังสือเล่มโปรดไปนั่งอ่านใต้ต้นมะม่วง เริ่มบ่ายแก่ ๆ ก็เข้าครัวทำอาหาร ชีวิตสงบเรียบง่ายไม่ต้องวุ่นวายกับใคร มันควรจะมีความสุขกับชีวิตในรูปแบบนี้ แต่ว่าถัดจากนั้นเพียงแค่สองเดือนใครบางคนก็โผล่หน้ากลับมา ชีวิตต่อจากนี้ของอรุณนารีจึงหาความสงบสุขแทบไม่เจอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม