ช่วงพักกลางวัน ฟานนี่มีท่าทางสนอกสนใจกล่องเบนโตะของฉันผิดปกติ จากที่สังเกตเห็นสีสันอาหารในกล่องพลาสติกที่เธอสั่งผ่านบริการอูเบอร์อี้ต ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบกินซูชิเหมือนกับคนฝรั่งเศสส่วนใหญ่ซึ่งนิยมกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
“เธอทำเบนโตะมากินเองทุกวันหรือ” ฟานนี่ถาม ขณะเดินผ่านไปกดน้ำดื่มที่ตู้หยอดเหรียญ
“ใช่ เมื่อวานฉันมีเวลาว่าง ก็เลยทำเมนูพิเศษเอาใจตัวเองสักหน่อย”
“แน่หรือว่าอยากเอาใจตัวเองน่ะ ? ”
เธอเลิกคิ้วมองฉัน มุมปากข้างหนึ่งโค้งลงนิดๆ
“แน่ใจสิ ซูชิเป็นของโปรดอันดับต้น ๆ ของฉันเลยนะ”
“ขนาดนั้นเชียว” ฟานนี่ยักไหล่ “espèce d'hypocrite[1]” เธอพูดลอย ๆ แล้วเดินหนีไป
น้ำเสียงและท่าทางเหยียดหยันของฟานนี่ ทำเอาฉันเกือบจะสำลักซูชิ มีลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่อาจระบุได้ชัดเจน เตือนว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าฉันเอามาก ๆ
หลังจากนั้นฟานนี่ก็แสดงท่าทางมึนตึงใส่ฉัน... ฉันไม่เข้าใจพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเธอ ฉันนึกกังวลและหวาดหวั่นต่ออิทธิพลนามสกุลของเธอที่อาจจะมีผลในการประเมินคะแนนการฝึกงานครั้งนี้
กระทั่งในวันถัดมา อลิเซียโทรเรียกฉันขึ้นไปพบที่ห้องประชุมแผนงานบนชั้น 5 เพื่อรับทราบข่าวดีว่า ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทฯ ต้องการสั่งซื้อชุดเดรสที่ฉันเป็นผู้ออกแบบ และเสนอเงื่อนไขในการทำสัญญาซื้อขายผลงานชิ้นดังกล่าว
“ผมอยากให้คุณอ่านรายละเอียดในสัญญาให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ”
เควินเป็นคนยื่นเอกสารกับปากกาให้ฉัน จอนผมสีขาวทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ทั้งที่อายุห่างกับมาร์คแค่ปีเดียว ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มาร์คเล่าให้ฉันฟังว่าเขากับเควินรู้จักกันระหว่างที่ทั้งคู่ทำงานสั่งสมประสบการณ์อยู่ในปารีส
บรรยากาศภายในห้องประชุมเงียบกริบ ทุกคนนั่งรอฉันอย่างใจเย็น
พอได้เห็นตัวเลขหกหลัก ฉันถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ... ตอนนี้ฉันไม่แปลกใจเลยที่มาร์คมีเงินซื้อรถสปอร์ตและอะพาร์ตเมนต์หรูราคาเกินล้าน ฉันลอบส่งสายตาให้มาร์คอย่างขอความเห็น เขาพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณให้ฉันวางใจได้ว่า ฉันจะไม่โดนเอาเปรียบแน่นอน
“ลูกค้าต้องการเห็นงานตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด เราตกลงกันว่าจะให้เธอแสดงฝีมือสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ด้วยตัวเองทั้งหมด”
อลิเซียเอ่ยขึ้น หลังจากที่ฉันเซ็นยอมรับเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยน
“แต่ฉันยังอยู่ในระหว่างฝึกงานนะคะ”
ฉันรู้สึกปอดแหกขึ้นมาทันที
“งานตัวอย่างชิ้นนี้คือบททดสอบด่านสุดท้ายในการฝึกงานของคุณ” เควินยิ้มให้ฉันอย่างใจกว้าง
“ขอบคุณค่ะ” ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คุณพระคุณเจ้า...
นี่มันเกินกว่าที่ฉันคาดหวังไว้มาก ฉันไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกปลาบปลื้มปรีดาให้เป็นความลับส่วนตัว หลังจากเลิกประชุมฉันเดินแวะเข้าห้องน้ำเพื่อส่งข้อความสั้นๆ ไปบอกให้แม่กับปะป๊ารู้ว่า คืนนี้ฉันมีข่าวน่ายินดีจะเล่าให้พวกท่านฟัง
ฟานนี่ระเบิดอารมณ์ที่เก็บกดออกมา... ระหว่างที่อลิเซียและโรส ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายแพทเทิร์นกำลังให้คำปรึกษาและกล่าวแสดงความยินดีกับฉัน
“พวกคุณเชื่อหรือว่าอารยาเป็นคนออกแบบงานชิ้นนี้ด้วยตัวเอง ? ” ฟานนี่มองมาที่ฉันด้วยสายตาดูแคลน แล้วเธอก็พูดต่อ
“ฉันรู้ว่าเธอแอบคบหากับมาร์ค แบร์นาร์ด แบบชู้สาว... ฉันมั่นใจว่านี่ต้องเป็นผลงานของมาร์คแน่นอน”
ทุกคนที่อยู่ในห้องถึงกับอ้าปากหวอด้วยความคาดไม่ถึง
“สิ่งที่ฟานนี่พูดเป็นความจริงหรือเปล่า ? ”
อลิเซียเอ่ยถาม
ฉันหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์ ไม่ให้ตื่นตระหนกไปกับแรงยั่วยุ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ฉันกับมาร์คคบกันจริง แต่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลงานชิ้นนี้ ฉันเป็นคนทำเองทั้งหมดค่ะ”
“คนหน้าโง่ที่ไหนจะกล้ายอมรับความผิดกันล่ะ”
ฟานนี่หัวเราะเยาะ แล้วเธอก็ต้องรีบหุบปากลงทันที เมื่อได้ยินคำพูดเตือนสติของอลิเซีย
“ฟานนี่ เธอดูจะมีปัญหาในการแสดงความยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นนะ อย่าลืมว่าทุกหน่วยงานไม่ต้องการบุคลากรที่มีทัศนคติติดลบ อ้อ... ฉันหมายถึงนักศึกษาฝึกงานและลูกจ้างชั่วคราวด้วยน่ะ”
น้ำเสียงของอลิเซียค่อนข้างนุ่มนวล ขัดกับเจตนาที่เชือดเฉือน ในยามปกติเธอเป็นคนที่คุยง่ายและใจดี หากถึงคราวที่ต้องแสดงบารมี เธอก็ดูน่าเกรงขามไม่น้อยเลยจริง ๆ
ทว่า... ฟานนี่ยังไม่ยอมจบง่าย ๆ
หลังจากที่อลิเซียกับโรสแยกย้าย ไม่ถึงชั่วโมงฟานนี่ก็เดินออกไปป่าวประกาศว่าฉันอยากจะพิสูจน์ฝีมือด้วยการทำงานตัวอย่างให้เสร็จก่อนถึงเย็นวันศุกร์ ฉันไม่ได้พูดจาตอบโต้หรือแก้ต่างให้กับตัวเอง แต่ก็ยอมรับการท้าท้ายอยู่ในใจ และปล่อยให้เธอหงุดหงิดงุ่นง่านไปเอง
ตลอดเวลาแห่งความกดดัน ไม่มีใครเข้ามายุ่มย่ามในห้องทำงานของฉันกับฟานนี่ เราทั้งคู่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่คนละมุม แทบจะไม่มีใครลุกออกจากเก้าอี้ กระทั่งฉันได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบริการศูนย์ซ่อมฯ ให้ลงไปรับรถที่ลานจอดหน้าบริษัทฯ
สิบห้านาทีถัดมา ฉันกลับขึ้นมาตัดกระดาษแพทเทิร์นที่ทำค้างเอาไว้จนเสร็จทุกชิ้น และนำไปให้อลิเซียตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มขั้นตอนสำคัญ...
ฉันลงทุนทำงานล่วงเวลาติดต่อกันสองวัน โดยที่ไม่ได้รับค่าเหนื่อยเพิ่ม เพื่อจะเอาชนะการท้าทายของฟานนี่ และสามารถส่งงานตัวอย่างให้อลิเซียได้ก่อนเที่ยงวันศุกร์
ความจริงในใจ ฉันแอบคาดหวังว่าจะได้รับคำชมเชย ทว่า... สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม
“อารยา” น้ำเสียงของอลิเซียฟังดูเยือกเย็นจนฉันขนลุกเกรียว “ฉันไม่ติดใจเรื่องการออกแบบงานชิ้นนี้... แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่เธอไม่ทำตามความต้องการของลูกค้า”
สายตาไร้แววขี้เล่นของเธอ ทำให้ฉันรู้สึกวิตกกังวลและงุนงง “ฉันไม่เข้าใจค่ะ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเธอเหมือนกัน ให้ตายเถอะ ! ในใบสั่งงานมีแบบผ้าให้ดูอยู่ทนโท่ ทำไมเธอถึงผิดพลาดเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ได้”
อลิเซียโยนแฟ้มเอกสารมาไว้ตรงหน้าฉัน ก่อนจะเปิดดูข้อมูลข้างในฉันมั่นใจว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว แต่ไม่ใช่... แบบผ้าเป็นสีชมพู ทว่าฉันใช้ผ้าสีฟ้าชนิดเดียวกันทำงานตัวอย่าง
“ลูกค้านัดมาดูงาน 10โมงเช้า วันจันทร์นี้ เธอคิดว่าจะแก้ปัญหายังไงดีล่ะ ? ”
“ขอโทษค่ะ ฉันจะรับผิดชอบด้วยการทำตัวอย่างใหม่ให้เสร็จก่อนเวลานัดหมาย”
ฉันก้มศีรษะลงด้วยความสำนึกผิด และเดินกลับมาตั้งหลักที่โต๊ะทำงาน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างเวทนา แล้วก็มีสายตาสมน้ำหน้าอีกคู่หนึ่งรวมอยู่ด้วย
ฉันหอบงานเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยความเหนื่อยล้า ในหัวยังมีความคิดขัดแย้งเกี่ยวกับสาเหตุความผิดพลาด ฉันสงสัยว่าอาจจะมีคนกลั่นแกล้ง แต่การกล่าวโทษคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันถนัด และสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดตอนนี้ คือ กำลังใจจากมาร์ค
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่คิดถึง ฉันจะได้ยินเสียงของเขาทันที... ฉันเหลียวหาต้นตอ และมองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาโผล่ออกมาจากมุมตึก เขาอยู่ห่างไม่ถึงสิบก้าว
“อารยาไปด้วยหรือเปล่าคะ”
เสียงระริกระรี้ของฟานนี่ ทำเอาฉันถึงกับก้าวขาไม่ออก
“เธอไม่ดื่มกาแฟ” มาร์คอธิบายเหตุผลอย่างชัดเจน
“แสดงว่า มีแค่เราสองคนหรือคะ”
“ครับ”
“แล้วเจอกันที่ร้านสตาร์บัคส์นะคะ”
ฟานนี่หัวเราะอย่างมีจริต
เธอเดินสวนกับมาร์คซึ่งหายตัวไปทางด้านหลังอาคารและเลี้ยวมาปะหน้ากับฉันที่ยังยืนอยู่ตำแหน่งเดิม ฟานนี่มีอาการแปลกใจเล็กน้อย คนที่วางสีหน้าไม่ถูกคือฉันมากกว่า
“ตายจริง... นี่ฉันเพิ่งรู้นะว่า เธอไม่ดื่มกาแฟ”
ฟานนี่เดินเอาไหล่กระแทกฉันอย่างไม่ปิดบังความมีอคติ ขณะที่ฉันได้แต่ยืนอึ้งและรู้สึกสมองหมุนเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังเข้าสู่โหมดปิดการทำงาน
ฉันพยายามปลอบใจตัวเองให้เชื่อใจมาร์ค พยายามคิดว่าทุกการกระทำของคนเราล้วนมีเหตุผล เขามีชีวิตก่อนที่เราสองคนจะมาเจอกัน เขาสามารถมีเพื่อนผู้หญิงได้และฉันก็มีเพื่อนผู้ชายได้เหมือนกัน เขาอาจจะต้องการพูดคุยกับฟานนี่เรื่องงานเท่านั้น
ฉันตบแก้มตัวเองเบาๆ เป็นการเรียกสติ...
หากมิวายแอบขับรถผ่านไปแถวหน้าร้านสตาร์บัคส์ เพื่อชะเง้อคอมองหามาร์คกับฟานนี่ หลังจากนั้นก็กลับมาขดร่าง นอนน้ำตาซึมอยู่บนโซฟาตัวเดิม
เอาอะไรมามั่นว่าฉัน...ผู้แสนจะโง่เขลาและไร้เสน่ห์ คือคนที่กุมหัวใจของผู้ชายที่มีคุณสมบัติดีเลิศอย่างมาร์ค ในเมื่อเขาสามารถเลือกผู้หญิงที่สวยสมบูรณ์แบบ คนที่มีชื่อเสียงและมีฐานะทางสังคมมาเป็นคู่รักได้ตามความต้องการ
[1] espèce d'hypocrite เอสเปซ ด’อีโปคริ(เตอ) นังตอแหลตัวแม่, คนหน้าไหว้หลังหลอก, คนหน้าซื่อใจคด