เวลา 9.00น. นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่น ฉันบิดเอวและอ้าปากหาวด้วยความขี้เกียจ พยายามยื่นมือออกไปกดปุ่มปิดการแจ้งเตือนบนหน้าจอโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จวางไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟ เมื่อคืนนี้สมองซีกขวาไม่ยอมหยุดทำงาน ฉันเลยจำเป็นต้องพึ่งยานอนหลับ
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นต่อเนื่อง ฉันชำเลืองหางตามองอย่างเบื่อหน่าย ยังไม่อยากลุกออกจากเตียง ทว่านามอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ส่งสารทำให้ฉันหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ รอยยิ้มแฉ่งงี่เง่าฉีกกว้างบนใบหน้า
‘Ma chérie[1] วันนี้คุณสะดวกต้อนรับแขกกี่โมงครับ ?’
Bisous...มาร์ค
นั่นสิ...กี่โมงดีล่ะ ? ฉันต้องเก็บกวาดทำความสะอาดที่พัก ซักผ้า อาบน้ำแต่งตัว ฯลฯ ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเปิดประตูเชื้อเชิญผู้ชายเข้ามาในห้อง ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กดพิมพ์ข้อความและกดลบทิ้งประมาณห้ารอบ กว่าจะตอบกลับไปได้
ภาระกิจเสริมความงามเสร็จสิ้นตอนเที่ยงตรง พอเดินมาเจอโทรศัพท์ที่ลืมไว้ในห้องครัว ฉันถึงได้รู้ว่าแม่โทรเข้า 5 ครั้ง ฉันเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กลัวว่าแม่กับปะป๊าจะบุกมาหาที่อะพาร์ตเมนต์ เพราะเมื่อคืนฉันโทรไปบอกพวกท่านว่ารถเสียและจะไม่กลับบ้านในระหว่างที่ฝึกงาน
“Bonjour[2]ma fille สวัสดีลูกสาว”
“บ็องชูร์ มาม็อง อายเพิ่งเห็นว่าแม่โทรมา มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ตอนบ่ายแม่กับปะป๊าจะไปนั่งเรือเล่นที่ทะเลสาบเมืองอันซี[3] เราตกลงกันว่าจะขับรถไปคนละคัน และฝากรถคันหนึ่งไว้ให้อายขับไปทำงาน”
“ไม่เอาค่ะ วันจันทร์นี้รถของอายน่าจะซ่อมเสร็จแล้ว” ฉันโกหกส่งเดช
“ตามใจ... อายกินข้าวหรือยัง”
“อายกำลังทำซูชิอยู่เลยค่ะ” ฉันโกหกอีกเป็นครั้งที่2 ขณะที่เปิดลิ้นชักเคาน์เตอร์ในห้องครัวเพื่อสำรวจดูว่ามีอาหารแห้งอะไรเหลืออยู่บ้าง เดาจากรูปการณ์ แม่กับปะป๊าต้องหาเรื่องขนเสบียงอาหารมาให้ฉันอีกแน่ ๆ
“วันนี้ปะป๊าทำขนมมีลเฟย(Millefeuille[4]) เดี๋ยวแม่จะแบ่งไปให้อายนะ” เดาถูกจริงๆ ด้วย
“ไม่เอาค่ะ ช่วงนี้อายกำลังลดความอ้วน”
ฉันโกหกครั้งที่3
“ลดไปทำไม ผอมแห้งจะเป็นไม้เสียบผีอยู่แล้ว”
“ตอนนี้อายมีพุงค่ะ” ฉันโกหกครั้งที่4
“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา” แม่บ่นเสียงเศร้า
“ขอโทษค่ะแม่ อายฝึกงานหนักมาก เลยอยากนอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม” ฉันเพิ่งค้นพบว่าการทำตัวน่าสงสารคือกลวิธีเดียวที่สามารถสยบความกระตือรือร้นของคุณนายกาญจนาลงได้
หลังวางสายจากแม่และเดินไปเปิดประตูระเบียง เพื่อระบายอากาศภายในห้อง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีก...พนันได้เลยว่าต้องเป็นมาร์ค
“ว่ายังไงคะ ? ”
“ผมรออยู่ข้างล่าง”
ฉันชะเง้อคอมองลงไป เห็นรถสปอร์ตสีดำรูปทรงเพรียวงามทันสมัยจอดอยู่บนลานคอนกรีตหน้าอะพาร์ตเมนต์ มาร์คเปิดประตูรถฝั่งคนขับ และโผล่หน้าออกมาให้ฉันเห็น เขาโบกไม้โบกมืออย่างอารมณ์ดี
“à tout de suite[5]”
ได้ยินเสียงเขาจุ๊บเบาๆ ก่อนที่จะกดตัดสาย
ฉันวิ่งไปเข้าห้องน้ำ สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ก็ต้องออกไปตามเวลาที่นัดหมาย เที่ยงครึ่งวันนี้ เราสองคนตกลงกันว่าจะไปกินชาบูที่ร้านอาหารญี่ปุ่นย่านศูนย์การค้าแถวชานเมืองอันซี และมาร์คก็โทรจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“คุณสวยจัง...” เขาลดแว่นกันแดดลง เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าที่เป็นประกายวิบวับ “เวลาคุณรวบผมขึ้นแบบนี้ หน้าตาคุณดูเด็กมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันกัดริมฝีปากล่าง ข่มอาการประหม่า
เพิ่งรู้สึกว่ารถคันนี้โหลดต่ำมาก ตอนที่ก้าวเข้าไปนั่งข้างใน ชายกระโปรงชุดเดรสที่ยาวเหนือเข่า ร่นมากองอยู่บนตัก ฉันรีบดึงขอบผ้าชีฟองขึ้นมาปิด และหันไปดุคนข้างๆ ที่จ้องขาอ่อนของฉันตาเป็นมัน
“มองอะไรคะ”
มาร์คเลิกคิ้วล้อเลียนเป็นเชิงสยดสยอง อารมณ์ฉันเปลี่ยนไปภายในเสี้ยววินาที ท่าทางเขาดูซุกซนเหมือนหนุ่มน้อยที่โดนจับได้ว่าแอบส่องกระโปรงคุณครูประจำชั้น พอเห็นว่าฉันเม้มริมฝีปากกลั้นขำ เขาถึงได้หันไปกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และหมุนพวงมาลัย บังคับรถวิ่งออกสู่ถนน
“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพรากผู้เยาว์เลย”
เขาแทบจะไม่หุบยิ้ม
“เดือนหน้าฉันก็อายุ21ปีแล้วนะคะ”
ฉันกรอกตา แอบหงุดหงิดนิดหน่อยตามประสาคนมีปม สมัยมัธยมฉันเป็นเด็กสาวเอเชียเพียงคนเดียวในโรงเรียน และคนที่เกิดมาตัวเล็กก็มักจะถูกรังแกเสมอ ช่วงที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤตไวรัสโคโรน่าระบาด ฉันเคยโดนกลุ่มวัยรุ่นอันธพาลรุมบูลลี่ จนไม่อยากออกจากบ้านไปไหน
“เดือนพฤษภาคม วันที่เท่าไหร่ครับ”
มาร์คเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ
“วันที่22ค่ะ”
“วันเกิดของคุณปีนี้ น่าจะไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์”
“ตรงกับช่วงสอบพอดีค่ะ” ฉันนึกกังวลล่วงหน้า
“คุณต้องทำได้แน่นอน” เขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น “อย่าลืมสิว่าผมเป็นดีไซเนอร์มืออาชีพ ผมมีประสบการณ์ด้านนี้มานานกว่า7ปีแล้ว ผมรู้ว่าคุณมีพรสวรรค์เรื่องการออกแบบเครื่องแต่งกายและคุณก็เลือกจับคู่สีเก่งมากเลยทีเดียว”
สีหน้ากับแววตาของมาร์คทั้งอบอุ่นและชื่นชม
“คุณได้ดูผลงานของฉันด้วยหรือคะ”
“ครับ และไม่ได้มีแค่ผมกับอลิเซียเท่านั้นนะ เควิน อิรอนเดล ประธานกรรมการบริษัทฯ ก็เห็นผลงานการออกแบบผ้าคลุมไหล่ลายกราฟฟิกของคุณด้วย”
เขายิ้มให้ฉัน ด้วยรอยยิ้มที่ดูภาคภูมิใจ
“จริงหรือคะ” ฉันพึมพำอย่างคาดไม่ถึง
“จริงครับ”
ข้อมูลใหม่ที่ได้รับการยืนยันจากผู้จัดการฝ่ายดีไซเนอร์ สร้างความประหลาดใจที่น่าปลาบปลื้มให้กับฉันมาก ลึก ๆ ในใจ ฉันแอบคาดหวังว่าจะได้รับการทาบทามให้เข้าร่วมทำงานกับบริษัทอิรอนเดล เช่นเดียวกับเหล่านิสิตปีสุดท้ายที่เลือกเดินทางสายแฟชั่น ซึ่งต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในทีมผู้ผลิตสินค้าเครื่องแต่งกายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก
บ่ายวันนั้น ขณะที่มาร์คช่วยฉันเลือกซื้อสิ่งของจำเป็นและของสดสำหรับทำอาหาร บรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนระหว่างเราสองคน ทำให้ฉันเกิดมโนภาพเพ้อฝันผุดขึ้นมาในหัว ฉันจินตนาการว่าเราเป็นคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่กำลังทำกิจกรรมนอกบ้านด้วยกันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ช่างเป็น...ช่วงเวลาที่ดีอะไรอย่างนี้ ฉันยิ้มแฉ่งเต็มใบหน้ากับเรื่องราวชื่นมื่นที่รู้อยู่คนเดียว เขาชำเลืองมองฉันด้วยความสงสัย แล้วฉันก็หน้าแดง
ชั่วโมงแห่งความสุขที่แสนเรียบง่ายของเราสองคนผ่านพ้นไปเร็วเหมือนติดปีกบิน...
มาร์คเสนอตัวเป็นสารถีคอยรับส่งฉันไปทำงาน ระหว่างที่รถยังซ่อมไม่เสร็จ เพราะการเดินทางไปที่ย่านเศรษฐกิจ ด้วยบริการขนส่งสาธารณะ ค่อนข้างยุ่งยากสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในแถบชานเมือง โชคดีที่ลานจอดรถของผู้บริหารอยู่บริเวณด้านหลังอาคาร เราจึงไม่ตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น
“ช่วงนี้ เธอดู...มีชีวิตชีวาจัง”
อลิเซียเอ่ยขึ้น ขณะที่เดินมาดูฉันออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นฤดูร้อนตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์นี้ ฉันพยายามหุบริมฝีปากที่ฉีกกว้างเป็นรอยยิ้มงี่เง่า
“ฉันรู้สึกดีที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบน่ะค่ะ”
อลิเซียมองลายเส้นบนกระดาษสีขาวอย่างพิจารณา “ฉันเห็นด้วย เธอมีความถนัดด้านออกแบบเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย”
“จริงหรือคะ” ฉันตื่นเต้นกับการยอมรับของอลิเซีย
“ใช่จ้ะ” เธอยิ้มให้ฉัน ด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น ก่อนจะเลือกหยิบผลงานการออกแบบชุดเดรสของฉันติดมือไปด้วยหนึ่งชิ้น และเดินไปหาฟานนี่ที่กำลังง่วนอยู่กับงานบนโต๊ะ
ในชั่วโมงถัดมา จังหวะที่ฉันเงยหน้าขึ้น มาร์คกับเควิน อิรอนเดลก็เดินผ่านหน้าห้องไป เขาแอบขยิบตาให้ฉันอย่างมีลับลมคมนัย ฉันค่อนข้างประหลาดใจและงุนงง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
[1] Ma chérie มา เชอรี่ ที่รักของผม / mon chéri ม็อง เชอรี ที่รักของฉัน (สำหรับผู้หญิง)
[2] Bonjour บ็องชูร์ สวัสดีตอนเช้า / ma fille (มา ฟี(เยอ) ลูกสาวของฉัน / Bonjour maman (บ็องชูร์ มาม็อง) สวัสดีค่ะแม่ ชาวฝรั่งเศสนิยมกล่าวคำทักทาย และเอ่ยถึงบุคคลอันเป็นที่รักด้วยสรรพนามน่ารักๆ เช่น สวัสดี+ลูกสาว, ที่รัก, ทูนหัว, ลูกไก่น้อย, กะหล่ำน้อย, ดวงใจของฉัน ฯลฯ
[3] เมืองอันซีได้รับการขนานนามว่าเป็น “Venice of the Alps”(เวนิซแห่งเอลป์) ด้วยความที่เป็นเมืองติดทะเลสาบและมีคลองตัดผ่านหลายสาย และมีแม่น้ำ “Thiou” ที่กั้นกลางระหว่างส่วนที่อยู่อาศัยกับเมืองเก่าอีกด้วย
[4] Millefeuille มีลเฟย ขนมอบที่ทำจากแป้งพายแผ่นบางพันชิ้นซ้อนทับกันและแบ่งเป็น3ชั้นคั่นด้วยไส้ครีมคัสตาร์ดและมีน้ำตาลไอซิ่งโรยหน้า
[5] à tout de suite / อ่ะ ทุ เดอ ซุย(เตอ) / เจอกันทันที, เจอกันเดี๋ยวนี้เลย
[6] espèce d'hypocrite เอสเปซ ด’อีโปคริ(เตอ) นังตอแหลตัวแม่, คนหน้าไหว้หลังหลอก, คนหน้าซื่อใจคด