บริเวณหน้าห้องน้ำภายในวัดมืดสลัว ไฟดวงเล็กไม่อาจอำนวยแสงสว่างให้ทางเดินตลอดแนวได้ อาศัยแสงจากในห้องน้ำที่ส่องออกมาหากคนใช้แล้วลืมปิดไว้ แต่นั่นทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรเป็นอันมากหญิงสาวจึงต้องช่วยปิดมันเสีย เมื่อปิดไฟในห้องน้ำด้านนอกก็มืดลงเล็กน้อย หล่อนจำต้องเดินออกมาให้พ้นบริเวณนั้นโดยเร็ว
“คุณคืออัญมณี”
คำถามที่ดังขึ้นด้านหลังทำเอาคนกำลังเดินอยู่ในที่สลัวสะดุ้งโหยงหันขวับไปมองและจำได้ว่าเขาคือหนึ่งในคณะเจ้าภาพที่ต้อนรับแขก ชายหนุ่มที่ลูกสาวคนตายนำซองช่วยงานของหล่อนไปให้ อัญมณีจึงยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้าช้าๆ ก่อนบอก
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันชื่ออัญมณีแต่ไม่ใช่เจ้าของซองกับพวงหรีด ฉันแค่เป็นตัวแทน”
“อ้อ แล้วทำไมอัญมณีไม่มาเอง”
เสียงเขาแข็งจนหล่อนสะดุดหู และไม่พอใจเล็กน้อย เขาไม่ควรใช้น้ำเสียงและคำพูดห้วนๆ เช่นนี้ แต่เมื่อเขาพูดมาแบบไหนหล่อนก็ตอบกลับไปเช่นนั้น
“ไม่สะดวกมา”
อัญมณีตั้งใจเดินเลี่ยงมาเพราะไม่อยากสนทนาอันใดต่อ แต่เขากลับขยับมาขวางทางไว้
“แล้วอัญมณีจะมาไหม”
“อ้าว ก็บอกว่าไม่สะดวกมา”
หล่อนไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากคำถามนี้ แต่หล่อนกลัว ไม่ไว้ใจและอยากไปให้พ้นจากที่สลัวตรงนี้ เมื่อเขาไม่หลีกหล่อนจึงเดินเลี่ยงแต่เขากลับจับข้อศอกไว้อัญมณีจึงกระทุ้งศอกเข้าใส่แรงจนได้ยินฝ่ายนั้นครางอ๋อย ก่อนสะบัดแขนแล้วเดินหนี แต่ทันทีที่เลี้ยวข้างศาลาก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนเกือบล้ม
“เป็นอะไรไหมมานี่ ทำเหมือนหนีอะไรมา” ตั้มถามหลังช่วยจับไม่ให้หล่อนเซ
“หมอนั่นไง” หล่อนโบ้ยไปข้างหลัง
“อ้าว รู้จักหมอชลด้วยเหรอ ไหนบอกไม่รู้จักใครในงาน”
“อะไรนะ นายคนนั้นเป็นหมอหรือ” หล่อนลากตั้มให้เดินตาม แต่คนถูกลากกลับหันไปโบกมือลาคนที่หล่อนถามถึง
“กลับก่อนนะหมอชล แล้วเจอกันครับ”
“ขอบคุณนะครับที่แวะมา”
หมอชล ตั้มเรียกเขาว่าหมอชล อัญมณีหันไปมองเขาเชิดหน้าใส่ทั้งที่เห็นเขาโบกมือให้ หล่อนคิดว่าคงโบกมือให้ตั้มมากกว่า
“มานี่บอกว่าวิ่งหนีหมอชล ทำไมหรือ” ตั้มยังไม่ปล่อยผ่าน ถามขึ้นเมื่อเดินออกมาหน้าวัด พลางมองหารถของสวิชที่จะมารับ
“นี่ไม่ชอบ มาเซ้าซี้ถามว่าทำไมอัญมณีไม่มาเอง จะรู้ไหมละคนไม่ได้ตัวติดกันเสียหน่อย”หล่อนพูดไปตรงๆ และตั้มก็ไม่มีคำตอบหรือคำถามเพิ่ม มีแต่เสียงอือออรับทราบเท่านั้น
ฉับพลันรถสปอร์ตสีแดงเพลิงแล่นออกจากประตูวัดก็มาจอดเทียบ กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลงพร้อมคนขับชะโงกหน้าตะโกนถาม
“ให้ไปส่งไหมครับ”
“ขอบคุณครับหมอเรารอรถเพื่อนอยู่ครับ ใกล้มาแล้วละ” ตั้มตอบ แล้วค้อมศีรษะให้คนมีน้ำใจอีกครั้ง
“อ๋อ งั้นผมไปก่อนนะครับ แล้วเจอกัน”
เมื่อชายคนนั้นขับรถออกไปอัญมณีรีบถามทันที
“ใคร”
“ก็หมอชลไง”
“ก็รู้แล้วว่าชื่อหมอชล แต่ทำไมต้องพูดเหมือนจะเจอกันอีก” หล่อนเลิกคิ้ว
ตั้มไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงแตรรถก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณ สองคนจึงรีบเดินเร็วๆ ไปขึ้นรถเพราะจอดตรงนั้นนานไม่ได้ และตลอดทางก็ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องนี้อีกเลย
อัญมณีในชุดทะมัดทะแมงเหมาะสมกับหน้าที่การงานเดินลงบันไดมาช้าๆ หน้าตาไม่สดใสแม้จะแต่งหน้าบางเบาเพื่อปกปิดริ้วรอยแล้วก็ตามที
“ไม่สบายหรือมานี่” อังกาบที่กำลังจัดวางจานอาหารเช้าบนโต๊ะถาม
“เปล่าค่ะแม่ แต่นอนไม่ค่อยหลับ” หล่อนตอบตามความจริง แล้ววางกระเป๋าบนโต๊ะ เดินไปชงกาแฟแล้วกลับมานั่งที่ประจำของตน
อังกาบเลื่อนจานอาหารเช้าง่ายๆ เป็นไส้กรอก ไข่ดาวและขนมปังปิ้งเข้ามาให้
“แม่ไม่กินเหรอ แล้วพ่อละคะ”
“มานี่กินก่อนได้เลย ต้องรีบไปทำงานนี่ พ่อเดินอยู่รอบๆ บ้านนี่แหละเดี๋ยวก็คงมา”
“งั้นนี่กินนะคะ” หล่อนบอก แล้วเริ่มลงมือกิน
อังกาบนั่งลงข้างๆ ไม่ได้กินอาหารเช้าเพราะรอกินพร้อมสามี แค่อยากคุยเป็นเพื่อนลูกสาว
“มานี่ไปงานใครหรือลูกเมื่อคืน ทำไมแม่ไม่คุ้นชื่อ”
“คนรู้จักค่ะแม่”
“ไปรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไง มานี่”น้ำเสียงอังกาบบอกอาการดูถูกคนตายจนอัญมณีอดถามไม่ได้
“คนแบบไหนคะแม่ แล้วแม่รู้จักเค้าเหรอ”
“ไม่รู้จัก แต่รู้จากข่าวชาวบ้านพูดกันว่าถูกผัวฆ่าตายเพราะคบชู้ ข่าวว่าชู้ที่ว่าน่ะเป็นผู้หญิงด้วยนะ”
อัญมณีอึ้งเล็กน้อยเพราะไม่รู้เรื่องนี้ รู้แต่ถูกไหว้วานให้นำพวงหรีดไปแทนเพราะคนตายเป็นแฟนนิยายตัวยงและไม่ได้บอกสาเหตุการตาย ส่วนหล่อนก็ไม่ได้ถามใครเสียด้วยตอนไปร่วมงานศพ
‘อัญมณี’ เป็นนามปากกาของนักเขียนนิยายระดับแถวหน้า ที่ไม่ยอมเปิดเผยหน้าตา มีเพียงบรรณาธิการเล่มและหล่อนเท่านั้นที่รู้จักตัวตนของอัญมณีผลงานของอัญมณีโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักอ่าน จนมีกลุ่มแฟนคลับมากมายอยากพบเห็นตัวจริง เคยมีคนบุกไปถึงสำนักพิมพ์เพื่อขอประวัติ ขอรูปเพื่อให้เห็นหน้าค่าตาของนักเขียนที่ชื่นชอบแต่ก็ต้องผิดหวัง ประวัติและรูปร่างหน้าตาของอัญมณีถือเป็นความลับสุดยอด และการที่หล่อนต้องเป็นตัวแทนนำพวงหรีดไปวางตามงานศพของแฟนคลับที่พอจะเดินทางไปได้ ยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าสายตา บ้างมาถามตรงๆ ว่าหล่อนใช่อัญมณีหรือไม่
ชื่ออัญมณีค่ะ แต่ไม่ใช่นักเขียนนามปากกา อัญมณี คำถามนี้หล่อนตอบจนเบื่อแล้ว
‘หรือนายคนนั้นคิดว่าเราคืออัญมณี และเป็นชู้กับคนตาย? บ้านะสิ’
อังกาบยังเล่าต่อว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่บ้านไม่ต้องทำงานอะไรรอผัวที่ทำงานต่างประเทศเลี้ยงดู มีลูกสาวคนเดียวอายุประมาณสิบห้าสิบหกดูแลตัวเองได้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นชอบอ่านนิยายมาก ทั้งบ้านเต็มไปด้วยหนังสือนิยายโดยเฉพาะนามปากกา ‘อัญมณี’ แต่ระยะหลังมีการคบหาเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต มีการออกไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนจนถูกสามีฆ่าตายดังกล่าว
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าเค้ามีชู้ละแม่ คนออกเที่ยวกลางคืนไม่ได้เสเพลทุกคนนะคะ” อัญมณียังกังขา
“ก็ชาวบ้านเขาพูดกันว่าเอาเงินผัวไปปรนเปรอทอม แล้วได้ยินผัวด่าก่อนจะเชือดคอจนตายนะสิ”
เชือดคอ น่าสยดสยองจริงๆ ป่านนี้ผัวของผู้หญิงคนนั้นคงติดคุก แล้วลูกจะอยู่กับใคร
อัญมณีนึกถึงเด็กสาวที่เกือบใช้ธูปจุดไฟมาทิ่มหน้าตน เพราะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เด็กถึงดูกร้าว แต่ไม่น่ามีเหตุให้คิดจะทำเช่นนั้นกับตน เพราะเวลาส่งธูปให้คนอื่นๆ เคารพศพก็ดูปกติดี แล้วผู้ชายคนนั้นคือใคร คนที่ตั้มเรียก ‘หมอชล’
“มานี่ มานี่”
“คะ คะ” อัญมณีหลุดจากภวังค์รีบขานรับเสียงเรียกของแม่ ก่อนมองสบตาอย่างสงสัย
“ใจลอยไปไหน รีบกินสิลูกเดี๋ยวพี่วิชไม่รอนะ” อังกาบเตือน
“อ๋อ นี่ไปเองแม่ พี่วิชไปทำธุระที่กรุงเทพ ป่านนี้คงไปแล้วมั้ง”
“อ้าวเหรอ พี่วิชก็ขยันจริง พี่เขาเกริ่นเรื่องแต่งงานบ้างหรือยัง”
อัญมณีงันไปชั่วครู่กับคำถามของแม่ ใช่ว่าเพียงแค่แม่เท่านั้นที่อยากให้หล่อนกับสวิชแต่งงานกันเร็วๆ แต่เป็นผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่พวกท่านไม่รู้หรอกว่าทั้งหล่อนและสวิชยังไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลย
“ไม่ต้องรีบแต่งหรอกแม่ นี่ยังสนุกกับงาน พี่วิชก็เหมือนกัน แม่ก็เห็นว่าเรางานยุ่งแค่ไหน พี่วิชอยู่ติดบ้านที่ไหน เดี๋ยวบินไปโน่นไปนี่ แต่งไปก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก อยู่กับแม่ดีกว่า มีคนทำกับข้าวให้กินอร่อยสุดในสามโลก” อัญมณีออดอ้อนพร้อมกอดแม่ คนถูกประจบหัวเราะแล้วดันลูกออกห่าง
“พูดอย่างกับถ้าเราแต่งงานไปแล้ว แม่จะไม่ทำกับข้าวให้กินนั่นแหละ”
“ก็พูดเผื่อไว้ เห็นแม่ทำเหมือนรังเกียจผลักไสลูกให้ไปป่วนบ้านโน้นบ่อยๆ” พูดจบหล่อนก็หัวเราะ
อังกาบหัวเราะตามแล้วลุกไปจากโต๊ะ
อัญมณีมองตามแม่แล้วลอบถอนใจ ถ้าหากไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้นแม่จะรู้สึกยังไง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะว่าอย่างไร
อัญมณีขี่จักรยานยนต์แบบผู้ชายคันโปรดแต่ขัดใจแม่เพราะอยากให้ใช้รถยนต์มากกว่า แม่ห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่หล่อนห่วงเวลาและความสะดวกรวดเร็วเวลาไปทำงาน ยิ่งบ้านกับที่ทำงานอยู่ไม่ไกลมากแต่ต้องลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยจึงสะดวกเวลาใช้รถเล็กที่มีความคล่องตัวสูง
ทว่าวันนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้วหล่อนรู้สึกเหมือนกำลังถูกตาม มองผ่านกระจกก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งที่ขับตามอยู่ หล่อนชะลอรถเพื่อให้ผ่านไปก่อน แต่รถคันนั้นกลับเลี้ยวไปอีกซอย อัญมณีถอนใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าคิดมากไปเอง แต่เมื่อเลี้ยวรถเข้าซอยกลับพบรถคันนั้นขับช้าอยู่ด้านหน้าช้าๆ
“คิดมากๆ” หล่อนบอกตนเอง
มันไม่ใช่เวลามืดค่ำที่จะได้กลัวพวกปล้นจี้ อีกทั้งมีรถสวนไปมาผู้ร่วมเดินทางก็มีเป็นระยะๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นหล่อนก็ตั้งใจแซงชึ้นไป ทว่ารถคันนั้นกลับเร่งความเร็วไม่ยอมให้แซงแล้วเลี้ยวเข้าซอยไปอีกครั้ง
“เฮ้อ” อัญมณีถอนใจดังๆ มั่นใจว่าคิดมากไปจริงๆ
หล่อนขี่รถมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางจนรู้สึกว่าถูกตามอีกครั้ง คราวนี้มั่นใจว่าถูกตามแน่นอนเพราะเป็นรถคันเดิม เมื่อเพ่งมองคนขับที่กำลังยิ้มเย็นก็ยิ่งตกใจ
ผู้ชายคนเมื่อคืนที่ตั้มเรียกว่า ‘หมอชล’มิน่าเล่ารถคุ้นๆ