บทที่๒
คำว่า‘บ้านร้าง’นั้นสร้างความสะพรึงกลัวให้คนได้ยินอยู่แล้ว ยิ่งเป็นบ้านร้างท้ายซอยที่อยู่หลังวัดแสนวังเวงยิ่งทำให้ไม่มีใครใคร่สัญจรผ่าน ยิ่งเวลาโพล้เพล้สลัวไปทุกมุมมองยิ่งไม่มีใครกล้าสัญจรผ่านแต่เวลานี้หน้าบ้านร้างหลังนี้กลับมีรถจำนวนมากและคนจำนวนหนึ่งต่างอออยู่รวมถึงผู้สื่อข่าวและช่างภาพที่กำลังทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ข่าวที่รวดเร็วและแม่นยำ ตั้มและอัญมณีก็มาทำงานตามหน้าที่ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ตั้มสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง อัญมณีก็เก็บภาพคนตายและสถานที่ให้ได้มากที่สุด แล้วมาสะดุดตากับชายหนุ่มที่กำลังพลิกหน้าศพไปมา
ก่อนหน้านี้ศพที่เห็นถูกแขวนไว้กับขอบหน้าต่างมีเชือกรองเท้ารัดคอโยงไว้กับช่องลม เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิแห่งหนึ่งมาถึงจึงนำลงมานอนหงายอยู่บนพื้น และชายดังกล่าวกำลังชันสูตรเบื้องต้น
เขาเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิ?
“ฆาตกรรมอำพราง” ตั้มบอกเมื่อเดินมายืนใกล้หล่อน
อัญมณีทำตาโตแทบไม่เชื่อ เพราะได้ยินคนรอบข้างพูดว่าผู้ชายที่ตายเป็นคนเร่ร่อน อาศัยข้าวก้นบาตรและหลับนอนในวัดมานานแล้ว แล้วคนประเภทนี้จะมีศัตรูคู่แค้นถึงต้องฆ่าแกงกันเชียวหรือ ซ้ำยังอำพรางศพเสียด้วย
“อำพรางยังไง” หล่อนถามตั้ม แต่กลับได้คำตอบจากอีกคนที่ผละจากศพมาตอบเสียเอง
“ผู้ตายไม่ได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจเหมือนคนผูกคอตายทั่วไป แต่ตายเพราะถูกทุบด้วยของแข็งจนคอหักหมุนได้รอบ”
“แล้วคนฆ่าก็อำพรางด้วยการนำศพมาแขวน ให้คนคิดว่าผูกคอตาย”
อัญมณีดีดนิ้วเปาะชื่นชมตนเองที่คิดต่อได้ ซ้ำทั้งตั้มและเขาก็พยักหน้าเห็นพ้องหล่อนยิ่งภูมิใจ แต่ก็ยังสงสัยว่าชายคนนี้ทำไมต้องทำเหมือนขับรถไล่ตามจนหล่อนเกือบเกิดอุบัติเหตุเมื่อเช้านี้
เมื่อเช้าหลังเห็นชัดว่าเขาจงใจขับรถตาม หล่อนก็เร่งความเร็วเพื่อหนี แต่เกิดมีรถคันอื่นเลี้ยวตัดหน้ากะทันหันทำให้ต้องหักรถลงข้างทาง ดีที่ไม่ชนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าแต่ก็ใจหายใจคว่ำพอสมควร ซ้ำเมื่อหันกลับไปมองก็ไม่เห็นเขาแล้ว หล่อนยังคิดเลยว่าหากหล่อนตายหรือบาดเจ็บสาหัสเขาจะลงมาดูไหม
“เข้าไปฟังสวดก่อนไหมครับ”
เสียงชวนรั้งให้อัญมณีหลุดจากภวังค์ มองเจ้าของเสียงแล้วจึงรู้ว่าเขากำลังพูดกับตั้ม หล่อนลอบถอนใจที่เขาไม่ได้ชวนหล่อน ทว่า
“ครับ ไปมานี่” ตั้มรับปากง่ายดาย ซ้ำร้ายยังชวนหล่อนอีก
อัญมณีส่ายหน้าก่อนถาม “ไม่กลับไปถอดเทปข่าวหรือยังไง”
“นั่งทำในวัดก็ได้ ไปเหอะหาไรกินด้วยประหยัดค่าข้าวไปมื้อนึงเชียว” ตั้มชวนเหมือนคนเห็นแก่กิน แต่ก็น่ากินอยู่เพราะงานศพที่นี่มีข้าวปลาอาหารเลี้ยงตลอดวัน เรียกได้ว่าเลี้ยงดูปูเสื่อคนมาร่วมแสดงความเสียใจกันอิ่มหมีพีมันตามประสาคนต่างจังหวัดที่ใจดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
“แต่” หล่อนอยากปฏิเสธ แต่มีเรื่องสงสัย ยิ่งเห็นสายตาผู้ชายคนนั้นที่มองหล่อนยิ่งต้องรีบหาความกระจ่าง
“ก็ได้ ขากลับไปส่งนี่ด้วยแล้วกัน” เพราะตอนมาทำข่าวหล่อนมากับรถของสถานี ซึ่งกลับไปแล้วหลังตั้มบอกจะไม่กลับเข้าไปที่สถานีแล้ว และถึงรู้ว่าตั้มเองก็ไม่มีรถเพราะต่างทิ้งไว้ที่สถานีแต่หล่อนต้องการให้เขานั่งรถรับจ้างไปเป็นเพื่อน
“ได้ เดี๋ยวนั่งรับจ้างไปเอารถที่สถานี แล้วผมขี่ตามไปส่งถึงหน้าบ้าน รับรองปลอดภัยหายห่วง คุณนายไม่ว่าแน่นอน”
ตั้มหัวเราะตบท้ายเมื่อพาดพิงถึงแม่ที่หวงและพยายามร้องขอให้อัญมณีลาออกจากงานครั้งแล้วครั้งเล่า
อัญมณีเจอสายตาแข็งของเด็กสาวคนเดิมอีกครั้ง ครานี้ตั้มแนะนำให้รู้จักว่าชื่อดวงดาราเป็นลูกสาวดวงดาวคนตาย ส่วนหมอชลหรือนายแพทย์ชลทิศ เชลงธรคือน้องชายของดวงดาว เป็นหมออยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัดและอาสาสมัครของมูลนิธิบรรเทาสาธารณภัย ตั้มสนิทสนมกับชลทิศเพราะเจอกันหลายครั้งและสัมภาษณ์บ่อยเกี่ยวกับสาเหตุการตายของเหยื่อแต่ละคดี
“หมอผ่าศพหรือ”อัญมณีโพล่งถาม
“คนเป็นผมก็ผ่า เรียกใช้บริการได้นะครับ” คนถูกเอ่ยถึงมาตอบเสียงเอง ซ้ำยังยืนค้ำเก้าอี้ที่หล่อนนั่ง
ตั้มหัวเราะแล้วบอก
“มานี่คงไม่ต้องผ่าอะไร แต่ผมนี่สิมีคนบอกให้ผ่าหมาออกจากปากเสียบ้าง ไว้จะหาเวลาว่างมาปรึกษานะครับ”
“ยินดีครับ” ชลทิศรับมุก แล้วถามต่อ
“อาหารเป็นยังไงครับ ญาติๆ ช่วยกันทำไม่ได้จ้างแม่ครัวอาชีพ”
“อร่อยครับ นี่กำลังจะลุกไปตักเพิ่ม” ตั้มบอกแล้วลุกขึ้นทันที
“ผมจัดให้ครับ” ชลทิศบอก แต่ตั้มรีบค้าน
“ผมไปเองครับ ตีสนิทกับแม่ครัวไว้แล้ว”
ตั้มยิ้มแล้วมองไปทางโต๊ะยาวที่วางหม้อใส่อาหารใบเขื่องเรียงราย มีหญิงสาวหลายคนช่วยกันตักอาหารและจะยกไปตามโต๊ะต่างๆ ซึ่งมีคนนั่งรับประทานอาหารกันมากมาย
เมื่อตั้มเดินไปแล้วอัญมณีจึงอยู่กับชลทิศตามลำพัง เพราะทั้งโต๊ะไม่มีคนอื่นอีก มิหนำซ้ำยังอยู่มุมที่ห่างโต๊ะอื่นๆ มาพอสมควรจึงเป็นโอกาสให้หล่อนได้ถามเขาตรงๆ ในเรื่องค้างคาใจ
“คุณตามฉันทำไม”
“คุณคืออัญมณีใช่ไหม”
หล่อนไม่คิดว่าเขาจะถามคำถามเดิม แม้จะตอบปฏิเสธไปแล้วเขาก็ยังไม่เชื่อ หล่อนลอบถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ก่อนย้ำ
“ฉันชื่ออัญมณีจริง แต่ไม่ใช่นักเขียนนามปากกาอัญมณี”
“ไม่ใช่แล้วคุณมางานทำไม เราไม่รู้จักคุณ”
“อ้าว! ก็ฉันบอกแล้วว่ามาแทนคนรู้จัก”
“นักเขียนคนนั้นนะหรือ”
“ใช่”
“แล้วทำไมอัญมณีไม่มาเอง ทำไมต้องส่งตัวแทนมา ถ้าเป็นไปได้ช่วยบอกให้มาหน่อย มาดูผลงานตัวเองว่าทำอะไรไว้กับครอบครัวผมบ้าง” แววตาแข็งกร้าวยามเขาพูด
“คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า” หล่อนพอรู้ว่าเขาคงหมายถึงเรื่องที่แม่เล่าให้ฟัง แต่หล่อนไม่มีวันเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น
“คุณว่าเข้าใจผิด แสดงว่าคุณรู้ว่าเรื่องอะไร เพราะคุณคืออัญมณี” สุดท้ายก็ลงเอยที่คำเดิม สายตาที่มองนั้นบอกว่าเขาเชื่อเช่นนั้นจริงและไม่ยอมให้หล่อนปฏิเสธ เพราะเขากำลังจะผละเดินจากไปแล้ว
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
อัญมณีคว้าข้อมือเขาไม่ยอมให้ไปต้องการพูดให้เขาเข้าใจเสียใหม่ ชลทิศไม่ได้หันกลับมาแต่บิดข้อมือจนหลุด หล่อนกำลังจะลุกเพื่อยื้อเขาไว้ แต่เห็นดวงดาราเดินมาหาชลทิศพร้อมชี้กลับไปด้านหลังอัญมณีได้ยินเสียงแว่วว่าแขกถามหาชลทิศจึงต้องเปลี่ยนใจนั่งลงดังเดิม แต่เด็กสาวกลับเดินตรงมาหาหล่อน
ดวงดาราไม่พูดอะไร แต่จ้องด้วยแววอาฆาตจนหล่อนขนพองเสียวสันหลัง รู้สึกว่าสองคนน้าหลานคงคิดไม่แตกต่างกัน เห็นหล่อนเป็นศัตรูคู่แค้นโดยไม่สืบถามความจริง แต่ระหว่างที่กำลังอึดอัดกับสายตาของดวงดาราจนทำอะไรไม่ถูก ตั้มก็เดินกลับมาเหมือนผู้กำกับสั่งพัก สายตาดวงดาราเปลี่ยนไปแล้วหันไปพูดยิ้มแย้มกับตั้มทันที
“กินให้อิ่มนะคะ ขอโทษที่ไม่ได้ดูแล ต้องไปยกกับข้าวมาเองเลย”
“ไม่เป็นไรจ้ะ น้าตั้งใจไปตักเองอยู่แล้ว”
“ขอตัวก่อนนะคะ” ดวงดาราเดินจากไป
ตั้มนั่งลงที่เดิมแต่แววตาที่มองหล่อนไม่เหมือนเดิมจนอัญมณีต้องเอ่ยถาม
“มองทำไม มีอะไร”
“จับมือหมอชลทำไม อย่าบอกนะว่าปลอบใจแบบถึงเนื้อถึงตัว ตาสวิชมาเห็นเข้ามีเรื่องแน่”
“โอ๊ย ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วอย่างไหน ยื้อยุดกันทำไม ไหนบอกไม่รู้จักกันมาก่อน” ตั้มยังจ้องตาค้นหาคำตอบ แต่หล่อนไม่มีอะไรจะตอบนอกจากถามเขากลับ
“ถามจริงๆ เถอะ คุณดวงดาวเป็นอะไรตาย” เพราะที่หล่อนเห็นและได้ยินคนในงานพูดคือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหกล้มในห้องน้ำ ซึ่งต่างกับที่แม่ได้ยินมาโดยสิ้นเชิง
“ก็ตามที่เขาบอกไง” ตั้มตอบกระอึกกระอัก แล้วก้มหน้าก้มตากินไม่ยอมสบตาหล่อน ยิ่งทำให้อัญมณีปักใจว่าเรื่องที่แม่เล่าเป็นความจริง
“แล้วทำไมไม่เห็นผัวแกในงาน”
เหมือนตั้มจะชะงักมือ ก่อนเงยหน้ามาสบตาหล่อน แล้วตอบแบบขอไปที
“ก็คงรับแขกอยู่นั่นแหละ ผมไม่รู้จักเลยไม่รู้ว่าคนไหน”
“อ้าว ไหนบอกสนิทกับหมอชลเลยมางาน”
“ก็สนิทกับหมอชล ไม่ได้สนิทกับครอบครัวญาติพี่น้องเขานี่”
“แต่เมื่อกี้พูดเหมือนสนิทกับลูกสาวคนตายด้วย” หล่อนไม่ลดรา
“ถามเอาอะไรครับคุณมานี่ กินข้าวเหอะ เดี๋ยวไปถอดเทปพลางฟังสวดพลาง” ตั้มตัดบทอีกครั้ง แต่คู่สนทนาอย่างอัญมณีไม่ยอม
หล่อนยื่นหน้าเข้าใกล้แล้วพูดเสียงเบาลง
“ผัวแกไม่มางานเพราะถูกตำรวจจับฐานฆ่าเมียโดยเจตนา”
ช้อนในมือตั้มตกกระทบจาน เขาหันมองรอบๆ ก่อนกลับมาจ้องหน้าหล่อน แล้วถามกระซิบ
“ใครบอก”
“เขาลือกันให้แซด ปิดไม่มิดหรอกนะ พูดความจริงมาเถอะ”
“อยากรู้อะไรถามผมดีกว่า”
เสียงคนที่เดินหนีไปเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้งในระยะใกล้ชิดจนอัญมณีสะดุ้ง หันขวับไปมองสบเข้ากับดวงตาเป็นประกายอาฆาต
‘บ้าไปแล้วเขาไม่มีสิทธิ์มาแค้นเรา’
อัญมณีเชิดหน้าขึ้นหลังตั้งสติได้ แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรตั้มก็ชิงติงขึ้นก่อน
“เชื่ออะไรกับปากคน ปากยื่นปากยาวเล่า มานี่”
“ปิดไม่มิดหรอกตั้ม ยิ่งเราปิดคนยิ่งขุดคุ้ย” ชลทิศพูดตรงๆ จนตั้มทำหน้าเสียก่อนจะพยักหน้ายอมรับ
“สวดเสร็จผมไปส่งพวกคุณ มีเรื่องจะคุยด้วย” เขาบอก มองหน้าทั้งสองคนให้รู้ว่าหมายถึงทั้งคู่แล้วเดินไปรับแขกต่อ
“เรื่องอะไร” สองคนหันมาพูดขึ้นพร้อมกัน แล้วต่างส่ายหน้า