บทที่๓(จบ)

2547 คำ
อัญมณีรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องยามหล่อนเดินอยู่ในลานจอดรถที่ค่อนข้างโล่งเพราะดึกพอสมควรคนอื่นๆ จึงกลับกันหมดยกเว้นพวกทำงานกะกลางคืนไม่กี่คน ความหวาดระแวงทำให้ต้องมองกวาดรอบๆ ก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยานยนต์คู่กาย หากพ่อแม่รู้ว่ากลับดึกแบบนี้คงไม่ปล่อยให้ขี่รถมาเอง เพราะบ่อยครั้งหากสวิชว่างก็จะถูกกะเกณฑ์ให้มารับหล่อนโดยทิ้งรถคู่ใจของหล่อนไว้ที่สถานี แต่ช่วงเวลานี้สวิชไม่อยู่และหล่อนบอกไว้ว่าหากต้องกลับดึก จะมีเพื่อนขับรถตามไปส่งถึงบ้านเช่นทุกครั้งพ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ทว่าวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ตั้มต้องทำงานกะกลางคืนแทนอีกคนที่มีธุระกะทันหัน หล่อนจึงไม่มีคนขี่รถตามไปส่งถึงหน้าบ้าน หล่อนไม่เคยกลัวการขับขี่รถกลางคืนคนเดียวแต่นั่นหมายถึงต้องไม่บอกให้พ่อกับแม่รู้ ไม่เช่นนั้นหล่อนจะหมดโอกาสทำเช่นในทันที เพราะทั้งสองจะต้องให้คนมารับหรือมาเองในบางครั้ง อัญมณีรีบสตาร์ทรถและรู้สึกว่าวันนี้ติดยากเหลือเกิน ทั้งความรู้สึกว่าถูกมองยังไม่หายไปไหนทำให้หล่อนลนลาน หันมองรอบๆ พร้อมการสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะรู้สึกว่าเบาะรถยวบลงและสัมผัสอุ่นนาบแผ่นหลัง พร้อมมือตวัดมากอดเอว “ว้าย!” อัญมณีร้องเสียงหลง ทว่าเมื่อมองในกระจกก็ถอนใจเฮือก “โอ๊ย!ตั้มเล่นอะไรบ้าๆ” อันที่จริงหล่อนคิดว่าสายตาจ้องมองที่สัมผัสได้เป็นของชลทิศ คนที่ยังปักใจว่าหล่อนเป็นต้นเหตุให้พี่สาวเขาถูกสามีฆ่าตาย แม้ไม่มีเหตุให้เขามาอยู่แถวนี้ก็ตามทีบางทีหล่อนอาจระแวงเขาจนคิดมากไปเอง “ขวัญอ่อนจริงนะ มานี่” ตั้มพูดกลั้วหัวเราะ แล้วเหวี่ยงตัวลงมายืนข้างรถ “ต่อให้จิตแข็ง ก็หัวใจวายได้ เล่นมาไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้” หล่อนค้อนอีกที “ขอโทษจ้ะ แค่อยากแกล้งเล่นนะ” “แล้วลงมาทำไม ไหนบอกว่าต้องทำงานต่อ” “ก็ลงมาดู ดึกแล้วปล่อยมานี่กลับไปคนเดียวคงไม่ดีแน่ ผมหิวด้วยไปหาอะไรกินก่อนดีไหมเดี๋ยวผมไปส่งมานี่ที่บ้านแล้วค่อยกลับมาทำงาน” ตั้มเสนอ เขามีน้ำใจกับหล่อนเสมอ “ไม่เป็นไรค่ะ นี่กลับคนเดียวได้ แค่นี้เอง” “ไม่ต้องเกรงใจ ผมหิวจริงๆ เลยลงมาหาอะไรกิน แล้วเดี๋ยวค่อยหิ้วติดมือไปให้พวกข้างบน บอกมันไว้แล้วว่าจะไปส่งมานี่ที่บ้านด้วย” “ขอบคุณนะ” หล่อนซึ้งน้ำใจของเพื่อนร่วมงานที่มีให้เสมอมา ทั้งตั้มยังบอกให้จอดรถจักรยานยนต์ของหล่อนไว้ที่นี่เขาจะไปส่งกับรถยนต์ของสถานีหลังกินข้าวเสร็จ ร้านที่ตั้มเลือกเป็นร้านอาหารริมทางทว่าใหญ่โตพอสมควร “ร้านเพื่อนผมเอง นานๆ มาอุดหนุนมันที” ตั้มบอกเมื่อหล่อนมองหน้าหลังเลี้ยวรถเข้ามาจอด “อ๋อ ดูครึกครื้นจัง เหมือนมีงานเลี้ยง” “น่าจะใช่ อาหารอร่อย ราคายุติธรรม ดนตรีไพเราะ คนชอบมาจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ไปจ้ะ” เขาชวนเมื่อจอดรถได้ที่แล้ว พนักงานออกมารับแล้วพาเดินไปด้านใน บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่นเป็นกันเอง มีโต๊ะใหญ่อยู่ฟากหนึ่งของทางเดินมองออกว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ และจากโต๊ะที่วางกล่องของขวัญก็พอให้เดาว่าเป็นงานเลี้ยงวันเกิดหรือพูดให้ถูกก็คือวันคล้ายวันเกิด มีคนเล่นดนตรีที่เป็นอิเลคโทน มีกีร์ต้าโปร่งวางพิงอยู่ไม่ไกล นักร้องที่ดูออกว่าเป็นมือสมัครเล่นกำลังร้องเพลงตามสมัยนิยมที่เพี้ยนมากพอสมควรจนตั้มหันมายิ้มกับหล่อน เป็นอันเข้าใจกันว่ายิ้มทำไม โต๊ะที่บริกรพามาอยู่ด้านใน แต่มองเห็นเวทีได้ชัด ทำให้อัญมณีสะดุดตากับนักร้องสมัครเล่นคนต่อมาที่หันไปมองเพราะเสียงร้องเพลงที่เริ่มดังขึ้นใหม่เขาร้องได้ไม่ต่างจากนักร้องอาชีพเท่าไหร่นัก “ไม่คิดว่าหมอชลจะร้องเพลงเพราะ” ตั้มเอ่ยขึ้นเมื่อหันตามเสียงแล้วเห็นคนร้องเพลงบนเวทีเล็กๆ ชัด “งานวันเกิดพวกหมอพยาบาลละมั้ง” อัญมณีเปรยแต่บริกรที่ยังรอรับรายการอาหารส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ เจ้าของวันเกิดเป็นแฟนหมอค่ะพี่” “อ๋อ มิน่า”ตั้มพูด อัญมณีเบ้ปากเลิกสนใจหันมาเลือกรายการอาหาร แล้วจิ้มบอกบริกร เพราะตั้มบอกว่าตามใจหล่อน ระหว่างนั่งรออาหารก็ฟังเพลงจากนักร้องสมัครเล่นไปด้วย และช่วยไม่ได้ที่อดเปรียบเทียบเสียงร้องของแต่ละคนที่ฟังมาสามคนรวมถึงคนที่ร้องอยู่ตอนนี้ว่าชลทิศเสียงดีร้องดีที่สุด ระหว่างนั่งคิดเพลินๆ เคล้าเสียงเพลงก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมอง และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับเจ้าของสายตากำลังเดินเข้ามา “สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้ว” ไม่อยากเจอเลย อัญมณีอยากพูดออกไปตรงๆ แต่คงทำไม่ได้เพราะตั้มเชิญเขานั่งเสียแล้ว “นั่งด้วยกันสิครับ” แล้วชลทิศก็ไม่ปฏิเสธเสียด้วย เขาดึงเก้าอี้ตรงข้ามหล่อนไปนั่ง “มากินข้าวกันสองคนหรือครับ หรือมางานวันเกิด” ชลทิศถาม “แวะกินข้าวครับ เดี๋ยวไปส่งมานี่ที่บ้าน วันนี้ดึกไปไม่อยากให้กลับคนเดียว” ตั้มบอก อัญมณีคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกมากขนาดนี้ก็ได้ เพราะคำพูดของตั้มทำให้ชลทิศหันมามองหล่อน ถ้าตาไม่ฝาดเห็นแววเวทนาในดวงตาจนอยากตะโกนใส่หน้า ว่าหล่อนกลับคนเดียวได้ ไม่ได้ขี้ขลาดหรือหวาดกลัวใดๆ “งานครึกครื้นนะครับ หมอก็ร้องเพลงใช้ได้เลย” ตั้มยังชวนคุย “มาทันได้ฟังหรือครับ นานๆ ครั้งครับ พอดีขัดเจ้าภาพไม่ได้” ชลทิศออกตัว สองคนยังพูดคุยกันเรื่อยจนอาหารมาวางตั้มบอกให้หล่อนลงมือได้เลย อัญมณีลงมือกินโดยไม่สนใจว่าเขาจะนั่งอยู่หรือจะจ้องมอง ตามที่ตั้มบอกและตักข้าวให้ในทีแรกซ้ำยังตักกับข้าวให้ไม่หยุดหล่อนจึงก้มหน้าก้มตากิน “ท่าทางมานี่จะหิวมาก กินเอากินเอาไม่ยอมพูดยอมจาเลย” ชลทิศเรียกอย่างสนิทสนมซึ่งหล่อนย่อมไม่ชอบ ตวัดสายตาขุ่นมองแล้วเบ้ปากใส่เล็กน้อย ก่อนชะงักเมื่อเห็นว่าเขาเป็นคนตักอาหารให้ไม่ใช่ตั้มอย่างที่หล่อนคิด ช้อนในมือจึงถูกวางลงทันที “ปกติของเค้าละครับ เวลาหิวเวลากินมานี่ไม่พูดไม่จาตั้งใจกินจนอิ่ม ค่อยคุย” ตั้มพูดเอ็นดู อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แต่คนถูกกล่าวถึงเบ้ปากหนัก ค้อนทั้งสองคนแล้วพูดอ้อมแอ้ม “แม่ไม่ให้คุยเวลากินข้าว แม่บอกว่าไม่มีมารยาท” “อ้าว!” สองหนุ่มที่ถูกกระทบพูดขึ้นพร้อมกัน แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย “ไปได้ยัง” อัญมณีเสถามตั้ม แม้เห็นว่าเขายังไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว เพราะเอาแต่คุยถูกคอกับหมอปากไม่ดี “โห ยังไม่ได้กินเลย รอแป๊บสิ มานี่ก็ยังกินไม่เสร็จนี่กินต่อสิ กินข้าวเหลือไม่ดีนะสงสารชาวนา หมอชลกินข้าวด้วยกันครับ” ตั้มบอกแล้วชวนชลทิศแต่หมอหนุ่มยังไม่ทันพูดอะไรเสียงวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น ชลทิศรีบเดินหนีเสียงอึกทึกในร้านเพื่อฟังให้ชัดเจน อัญมณีหันไปสบตาตั้ม เขาพยักหน้าโดยไม่ต้องพูดสักคำ เป็นอันรู้กันว่าควรทำอย่างไร หล่อนรีบตามชลทิศไปส่วนตั้มเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วค่อยตามไป “หมอชล ไปด้วยๆ รอด้วยๆ” อัญมณีวิ่งตามออกไป เห็นหลังชลทิศไวๆ ไปที่ลานจอดรถ ไม่ว่าเขาจะยินยอมให้ไปหรือไม่หล่อนก็ดึงดันไป เพราะมาถึงรถและเปิดประตูเข้าไปนั่งคู่เขาแล้ว “รู้หรือผมจะไปไหน”เขาหันมาถาม “มีอุบัติเหตุไม่ใช่หรือคะ ไปด้วยค่ะ” “ตั้มล่ะ” “เดี๋ยวตามมาค่ะ ว่าแต่แถวไหนคะจะได้โทรบอกตั้ม” หล่อนถือโอกาสถาม เมื่อชลทิศบอกจุดเกิดเหตุ ก็รีบโทรบอกตั้มให้ตามมา เพราะอย่างไรหากอยู่ที่สถานีตั้มก็ต้องออกมาทำข่าวอยู่แล้ว “พวกคุณเลิกงานแล้วไม่ใช่หรือ” ชลทิศถาม “ก็เหมือนหมอ เลิกงานแล้วนี่ ยังไปทำได้เลย” “นี่งานพิเศษ งานอาสา ผมทำเมื่อมีเวลาว่าง” “ก็เหมือนกันค่ะ งานพวกเราไม่เป็นเวลา” “เก่งนะยังมีเวลาเขียนนิยาย” เขายังเชื่อเช่นนั้น ทำให้อีกฝ่ายหันขวับมาเหมือนจะพูดอะไร แต่เขาไม่สนใจ เร่งความเร็วรถจนเกือบจะเหาะไปบนถนนที่ปลอดรถสวนไปมา ไม่นานก็ถึงที่เกิดเหตุที่เห็นแสงไฟกะพริบๆ เสียงไซเรนดังบีบคั้นหัวใจ ทั้งคู่ลงจากรถแล้วเดินแกมวิ่งไปยังจุดที่เริ่มมีคนมุง ชลทิศแยกไปที่รถของมูลนิธิ ส่วนหล่อนรีบหยิบกล้องถ่ายรูปมาเตรียมไว้ แต่ยิ่งเข้าไปใกล้เท้าหล่อนยิ่งก้าวช้าลงเพราะป้ายทะเบียนรถคันที่เกิดอุบัติเหตุคุ้นตาเหลือเกิน รถหรูคันนั้นตะแคงอยู่บนบาทวิถี ใกล้กันมีเสาไฟฟ้าหักโค่น มีเจ้าหน้าที่สามสี่คนกำลังช่วยกันงัดรถ ห่างออกไปมีจักรยานยนต์สภาพพังยับล้มอยู่ ไม่ไกลมีร่างจมกองเลือดนอนอยู่บนถนน ชลทิศผละมาจากรถที่ไปหยิบเครื่องมือที่จำเป็นลงมา เห็นอัญมณีก้าวช้าแบบกล้าๆ กลัวๆ จึงแตะไหล่ ทันทีที่เขาแตะหล่อนก็สะดุ้งสุดตัว “เป็นอะไร” ชลทิศถามอีกครั้ง หล่อนหันมาใบหน้าซีดเผือดจนเขาตกใจ “ไหวไหมคุณ ไม่สบายหรือเปล่า” เขาแปลกใจไม่น้อย เพราะหล่อนไปทำข่าวอุบัติเหตุ ข่าวคนตายบ่อย ไม่น่าจะตกใจกับภาพที่เห็น จังหวะนั้นตั้มที่ตามมาทันก็ถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรมานี่” “รถพี่วิช” เสียงหล่อนแทบไม่ออกจากปาก ก่อนทำเหมือนคนเพิ่งหลุดจากภวังค์ รีบวิ่งไปที่รถซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันงัด ชลทิศหันมองตั้ม และได้คำตอบโดยไม่ต้องถาม “รถคุณสวิชแฟนมานี่” ตั้มบอกแล้วรีบเดินตามไป ชลทิศเองก็รีบวิ่งไปดูคนเจ็บที่นอนข้างรถจักรยานยนต์ อัญมณีเฝ้ารอให้เจ้าหน้าที่งัดประตูเพื่อช่วยคนขับออกมา ได้ยินเสียงบอกกันว่าคนขับบาดเจ็บส่วนไหนบ้างและยังมีสติดี ทำให้โล่งใจไปเปราะหนึ่ง มีแรงถ่ายรูปทำงานตามหน้าที่ จนช่วยกันดึงร่างสวิชออกมาได้ก็เข้าไปส่งเสียงให้เขารู้ว่าหล่อนอยู่ตรงนี้ “พี่วิชเป็นยังไงบ้างคะ” “มานี่หรือ พี่เจ็บหน้าอก” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หมออยู่ใกล้แล้วนะคะ ไม่ต้องกลัว” หล่อนบอก แล้วเปิดทางให้ชลทิศและเจ้าหน้าที่ทำงาน ส่วนตัวเองก็ไปถ่ายรูปรอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ จากปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์และกล้องวงจรปิด ทำให้ปิดคดีได้ง่าย จักรยานยนต์คันนั้นขับตัดหน้ากะทันหัน ทำให้สวิชหักหลบ เฉี่ยวจักรยานยนต์ล้มก่อนไปชนเสาไฟฟ้า เพราะคาดเข็มขัดนิรภัยทำให้เขาเจ็บเล็กน้อย ส่วนคนขับจักรยานยนต์ก็ไม่ถึงตาย แม้สวิชไม่ใช่คนผิดแต่เขาก็ช่วยเหลือชายดังกล่าว ด้วยการมอบเงินทำขวัญให้ก้อนหนึ่งพร้อมของเยี่ยม แต่เขาไม่ได้ไปด้วยตนเองเพราะยังต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล อัญมณีจึงต้องเป็นคนนำกระเช้าและเงินไปให้ และยังถูกไหว้วานให้สานต่องานของเขาอีกด้วย ชายชะตาขาดเดินตามเส้นทางที่เงียบยามดึกสงัด แม้มีไฟทางให้มองเห็นหนทางที่กำลังเดินทว่าไม่มีคนสัญจรไปมาเป็นเพื่อนร่วมทางให้อุ่นใจ แต่เขาก็เดินไปเรื่อยอย่างชาชินกับการใช้ชีวิตข้างถนนเพียงลำพัง แสงไฟที่สาดมาแล้วเลยไปพร้อมรถเก๋งคันโตผ่านพ้น ทว่าไม่นานรถคันนั้นกลับหยุดแล้วถอยมาอย่างรวดเร็ว รถจอดใกล้เขาพร้อมกระจกที่ลดลงช้าๆ คนขับชะโงกหน้ามาถาม “ไปส่งมั้ยครับ” “ไม่เป็นไร” เขาไม่ได้เกรงใจ แต่เพราะไม่มีจุดหมาย คนเร่ร่อนชอบเดินไปเรื่อยๆ ริมถนน ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น “ไม่ต้องเกรงใจ ขึ้นมาเร็ว” “ไม่ได้เกรงใจ แต่ไม่รู้จะไปไหน เดินเล่นแถวนี้ เจอบ้านร้างหรือป้ายรถเมล์ก็นอน” “แถวนี้ไม่มีบ้านร้างหรอกอีกไกลแหละ ขึ้นมาจะพาไปส่งที่บ้านร้าง” เจ้าของรถลงจากรถมาลากชายเร่ร่อนขึ้นรถ แต่เมื่อถูกขัดขืนการยื้อยุดจึงเกิดขึ้น และโดยไม่คาดฝันเจ้าของรถก็ชักปืนออกมาจ่อขมับชายเร่ร่อนแล้วเหนี่ยวไกทันที คนถูกยิงล้มทั้งยืนและกระตุกบนพื้นสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป ชายเจ้าของรถรีบอุ้มร่างที่เลือดหยดจากศีรษะขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที “ใช้ปืนยิงแล้วคนอื่นไม่ได้ยินเสียงหรือคะ”อัญมณีถามแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดาษในมือ “ติดกระบอกเก็บเสียงจ้ะ” รถที่ปิดไฟหน้าแล่นมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วอุ้มร่างนั้นเข้าไป ดีที่คนเร่ร่อนนั้นผอมบางจึงไม่ต้องออกแรงในการอุ้มเยอะ เขาวางร่างนั้นกับพื้นแล้วออกมาหยิบถุงกระดาษในรถ ก่อนจะกลับเข้าไปใช้แสงไฟจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่องสว่าง จัดการถอดเสื้อผ้าของชายเร่ร่อนแล้วสวมชุดที่อยู่ในถุงกระดาษให้แทน แล้วอุ้มมานั่งพิงผนัง นำปืนกระบอกที่ปลิดชีพเมื่อครู่มาใส่มือชายเร่ร่อนในลักษณะกำไว้ ร่างที่เขายืนมองจึงเหมือนคนที่ยิงตัวตาย “พี่วิช แล้วอย่างนี้จะไม่มีรอยนิ้วมือของฆาตกรที่ด้ามปืนหรือคะ” อัญมณีเงยหน้าจากกระดาษปึกหนาในมือ ซึ่งเป็นต้นฉบับนิยายบางส่วนที่สวิชหรือนักเขียนนามปากกาอัญมณีปรินซ์ออกมาให้ช่วยอ่านเพื่อดูความสมจริงสมจังของบางฉากบางตอนที่ช่างภาพซึ่งคุ้นเคยกับสภาพศพอย่างหล่อนจะช่วยแนะนำเขาได้ “ไม่มีจ้ะ อ่านต่อไปก็จะรู้ว่าเขาใส่ถุงมือ” “แสดงว่าตั้งใจฆ่า” สวิชที่นอนบนเตียงผู้ป่วยไม่ตอบ แต่ยิ้ม “โรคจิตชัดๆ” หล่อนบ่นพึมพำ แต่ไม่ได้หมายถึงเขา หล่อนหมายถึงตัวละครที่สวิชบอกว่าเป็นตัวเอกของเรื่อง ต้องฆ่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม