บทที่๙/๑

1455 คำ
ในห้องทำงานของร้อยตำรวจโทนิรุจน์สารวัตรสืบสวนเพื่อนสนิทของชลทิศ ทั้งเจ้าของห้องและผู้มาเยือนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะหลักฐานที่คิดว่าจะทิ้งรอยนิ้วมือคนร้ายกลับไม่มีรอยนิ้วมือแปลกปลอม รอยนิ้วมือที่ปรากฏก็ต่างอธิบายที่มาที่ไปในการสัมผัสได้ทั้งสิ้นซึ่งน่าแปลกมาก และนั่นทำให้ความหวังที่จะสืบหาฆาตกรจากลายนิ้วมือก็หมดไป “เดี๋ยวๆ นะคะ” อัญมณีแย้งขึ้นก่อนได้ยินข้อสรุป ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันทั้งสามคนในห้องต่างมองหล่อนเป็นตาเดียวจนต้องทำหน้าเจื่อนก่อนอ้อมแอ้มพูด “คือนี่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับลายนิ้วมือ” “ครับ ว่ามา” ผู้กองหนุ่มเจ้าของสถานที่เอ่ย “หมอชลมั่นใจว่าสร้อยถูกกระชากออกจากคอน้าพุดจีบจนมีรอยบาดใช่มั้ยคะ แต่รอยนิ้วมือที่สร้อยมีเจ้าของแน่นอนและรู้ว่าจับต้องด้วยเหตุใด ไม่มีใครน่าสงสัยว่าจะเป็นคนกระชากสร้อย ส่วนฆาตกรถ้าสวมถุงมือก็ไม่ทิ้งรอยนิ้วมือไว้ แต่ปัญหาน่าสงสัยคือทำไมของทุกชิ้นถึงกลับมาอยู่ในห้องน้าพุดจีบ หรือว่าแกไม่ได้สวมเครื่องประดับพวกนี้ออกไปถ้าอย่างนั้นประเด็นฆ่าชิงทรัพย์ก็ตัดไป แต่หมอชลบอกรอยสร้อยบาดเป็นรอยใหม่ ก็คงไม่ใช่ว่าแกทำขาดบาดคอตัวเองแล้วเอาไปเก็บไว้ในห้องนะคะ” “เป็นไปได้ว่าแกทำขาดเองด้วยการเกี่ยวสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำให้เป็นรอยกระชากบาดคอ แล้วก็เอาไปซ่อมเองคือเอาด้ายร้อยไว้ก่อนกันหายแล้วค่อยไปทำที่ร้านทองทีหลังก็ได้ สร้อยถึงอยู่ในห้อง”ชลทิศอธิบาย “ใครเจอสร้อยคะ” “ดารา ผมให้ดาราจัดเสื้อผ้าเครื่องประดับให้ ก่อนเอาไปให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยน” “อ้าว! ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่มีลายนิ้วมือดวงดาราละคะ” อัญมณีสงสัยแต่รู้สึกว่าคำพูดจากความรู้สึกของหล่อนกำลังทำให้ใครบางคนโกรธ ชลทิศมองหล่อนตาเขียว แล้วถาม “คุณกำลังจะพูดว่า ดวงดาราหยิบของพวกนั้นทำไมไม่มีรอยนิ้วมือ คุณกำลังโยงให้หลานสาวผมเป็นฆาตกรสวมถุงมือสินะ” “โห หมอคิดเป็นฉากๆ เลยฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย แค่สงสัยก็ไม่ได้” ตอนท้ายหล่อนพูดอุบอิบเพราะไม่มีคนฟังคำแก้ตัวแล้ว ชลทิศเดินออกจากห้องท่าทางอารมณ์ไม่ปกติ ตั้มรีบลาเจ้าของห้องแล้วตามไป หล่อนรู้ว่าตั้มต้องไปช่วยพูดแก้ต่างให้ แต่อย่างไรหล่อนก็ยังคลางแคลงใจจึงหันไปถามร้อยตำรวจโทนิรุจน์เจ้าของห้องที่นั่งอึ้งอยู่ “ผู้กองคิดว่า คดีนี้ฆาตกรรมอำพรางหรือฆ่าชิงทรัพย์แต่ไม่ได้ทรัพย์คะ” แต่หล่อนยังไม่ทันได้คำตอบก็ร้องตกใจเสียก่อน “โอ๊ย!” อัญมณีถูกกระชากปกเสื้อ ลากออกไปจากห้องพร้อมเสียงเครียดกรอกหู “อย่าเป่าหูให้ตำรวจไขว้เขว หลานสาวผมบริสุทธิ์เข้าใจไหม” “เข้าใจค่ะ ปล่อยได้แล้วอายเค้า” อัญมณีพ้อ ดึงมือเขาพัลวัน ชลทิศยอมปล่อยคอเสื้อแต่จับข้อมือหล่อนลากออกไปจากสถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว “หมอรถผมจอดโน่น” ตั้มรีบบอกพลางเดินตามมาติดๆ “ผมไปส่งมานี่เอง มีเรื่องต้องตกลงกัน ผมไม่ชอบให้สงสัยหลานสาวผมแบบนี้ แต่รับรองความปลอดภัยไปส่งถึงสถานีโดยไม่บุบสลายถ้าไม่กวนโมโหผมมากกว่านี้” “ก็บอกแล้วว่าแค่คิดไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ตั้งใจสงสัยหลานคุณ” หล่อนพ้อ แต่เขาไม่ฟังลากจนไปถึงรถแล้วเปิดประตูให้ อัญมณีรู้ดีว่าหากหล่อนไม่เข้าไปเขาก็คงจับหล่อนยัดเข้าไปให้ตกเป็นเป้าสายตาได้อายมากไปกว่นี้ จึงยอมแต่โดยดี “เจอกันที่สถานีค่ะ ไม่ต้องห่วงนี่นะ” หล่อนโบกมือให้ตั้ม ยอมรับว่าแกล้งพูดให้ตั้มเบาใจ ทั้งที่ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อใจชลทิศสักเท่าไหร่ เพราะยังจำวันที่เขาแกล้งบีบคอหล่อนได้ สวิชคิดว่าเขามีข้อมูลใหม่น่าจะเอามาต่อเติมในนิยายและเพิ่มฉากฆาตกรรมให้ได้ความยาวสมใจดวงสมรแล้ว แต่เขาก็ยังติดขัดไม่เห็นภาพชัดเจนจึงโทรไปปรึกษาดวงสมร “ไว้หมอนไปหารูปจากเพื่อนส่งให้นะคะ ว่าแต่คุณอันไม่ขึ้นมากรุงเทพบ้างหรือคะ” “วันมะรืนจะขึ้นไปติดต่อเรื่องค้าขาย แล้วจะแวะไปนะครับ” “แต่ตอนนี้หมอนอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวแชร์โลเคชันให้นะคะ” มีเสียงหัวเราะเบาๆ ลอดมาตามสาย ก่อนดวงสมรวางสายไปไม่นานก็มีข้อความเข้ามา สวิชกดอ่านแล้วยิ้ม “ผมไม่เข้ามาแล้วนะ แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ด้วยมีอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้” เขาบอกเลขาหน้าห้องก่อนออกจากบริษัท อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาจอดรถหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ห่างไกลชุมชม ประตูรั้วเปิดกว้างรอให้เขาขับรถเข้าไปแล้วปิดคล้องโซ่เอาไว้ หากมองจากด้านนอกรั้วลวดหนามที่มีหญ้ารกเลื้อยไปตามแนวเส้นลวดคลุมพื้นหนาจนเหมือนกำแพงสีเขียวปนเหลืองทึบๆ ไม่น่ามองนัก มองผ่านไปด้านในก็รกไปด้วยต้นไม้หลายขนาดจนมองไม่เห็นบ้านชั้นเดียวที่อยู่ลึกเข้าไปเกือบยี่สิบเมตรเลยทีเดียว สวิชจอดรถหน้าบ้านแล้วปิดประตูเสียงค่อยที่สุด หญิงสาวที่ปิดประตูรั้วกำลังจะเดินผ่านเขาไป ชายหนุ่มคว้าเอวดึงหล่อนเข้ามากอดแล้วจุมพิตอ้อยอิ่ง “เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” หล่อนบอกท่าทีเอียงอายเมื่อดันตัวออกจากอ้อมกอด สวิชจูงหล่อนเข้าไปในบ้านชั้นเดียว โถงหน้าโล่งไร้เครื่องเรือนใดๆ เช่นเดียวกับห้องที่ปิดอยู่ก็เป็นห้องโล่งเช่นกัน แต่ในโถงมีฟูกผืนบางปูอยู่ พร้อมหมอนสองใบที่วางคู่กัน ข้างๆ มีขวดน้ำดื่มที่ไอความเย็นเกาะโดยรอบ มีแซนวิชและนมเปรี้ยว และยังมีเทียนไขที่ปักไว้บนเหรียญสิบบาทแต่ยังไม่ได้จุด สวิชทอดกายลงนอนเหยียดยาว หญิงสาวตามลงไปนอนซบอกเขา สูดหายใจลึกเหมือนอยากเก็บกลิ่นกายเขาไว้ให้นานเท่านาน ก่อนลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วปลดกระดุมเสื้อเขา ลูบไล้ผิวขาวสะอาดของเขาอย่างหลงใหล “เขาปล่อยให้หล่อนลูบไล้เนื้อตัวอย่างหื่นกระหาย แล้วก้มลงเลียยอดอกสีชมพูตามธรรมชาติชนิดที่สาวๆ บางคนต้องอิจฉา หล่อนสูดกลิ่นเหงื่อที่เคลือบผิวกายเขาลึกล้ำ แล้วผ่อนออกช้าๆ เหมือนจิตวิญญาณหล่อนล่องลอยไปในอากาศ แล้วยิ้มมองเขาตาเชื่อมหวาน หล่อนเริ่มเลียเขาจากยอดอกลงไปเรื่อยๆ ตามร่องกลางลำตัวทำให้เขาสยิวครั้งแล้วครั้งเล่า จนไปวนเวียนแถวขอบกางเกงขายาวสีเข้ม หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขาเหมือนจะขออนุญาตแล้วลงมือดึงเข็มขัดเขาออก ปลดตะขอแล้วรูดซิบลง ก่อนสอดมือเข้าในบ็อกเซอร์เนื้อบางเบาของเขาเพื่อแหวกแก่นกลางออกมา ทักทายมันด้วยกลีบปากอ่อนนุ่มและไล้เลียดุจมันเป็นไอศกรีมแท่งหวาน ก่อนจะครอบครองทั้งแท่งด้วยปากกระจับที่แย้มออกกว้าง ระหว่างที่หล่อนเพลิดเพลินกับไอศกรีมแท่งโปรด เขาก็เอื้อมมือไปหยิบเข็มขัดหนังแท้ผิวมันวับที่หล่อนปลดออกจากหูกางเกงมาวางไว้ใกล้มือ เขาคล้องเข็มขัดไปที่คอหล่อนแล้วดึงเข้าหาตัว ก่อนจะรัดแน่น หล่อนดิ้นรนไขว้คว้าอากาศแต่ไม่อาจทานทนได้นาน สุดท้ายก็ขาดใจตาย” “แหม จะเอาแบบนี้เลยหรือคะ ผู้หญิงคนนั้นคงทรมานน่าดูก่อนจะขาดใจตาย” “นั่นสิ แต่พี่ยังมองไม่เห็นภาพที่จะถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือเลย” “แต่ที่พี่บรรยายเป็นคำพูดก็เห็นภาพแล้วนะคะ แต่เอาไว้เราไปหาเหยื่อกันนะคะ จะได้เห็นภาพจริงๆ มาค่ะ คิดถึงจังเลย ทำแบบที่บรรยายเมื่อกี้นะคะ แต่ไม่ต้องรัดคอหนูนะ หนูยังไม่อยากตาย” หล่อนหัวเราะคำพูดตนเอง ลูบไล้เขาอย่างหลงใหล สวิชมองเข็มขัดหนังแท้ราคาแพงของตนเองที่หล่อนปลดมาไว้ใกล้มือเขา ใกล้จนอยากหยิบมันขึ้นมาแล้วรัดคอใครสักคนจริงๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม