บทที่๖(จบ)

1980 คำ
หลังกินข้าวเสร็จชลทิศอาสาช่วยพุดจีบล้างจาน แต่ระหว่างนั้นพุดจีบก็อยู่ในครัวและเดินวนเวียน พลางหยิบมีดมาถือเหมือนจะทำอะไรสักอย่าง จนชลทิศละมือจากงานหันมาถามอย่างคนใส่ใจ “ทำไมครับน้า จะทำอะไรหรือเปล่า” “เปล่าไม่ได้ทำอะไรหรอก แต่สงสัย ทำไมมีดนี่ดูใหม่ๆ” “ยังไงครับ” เขายื่นมือไปรับมีดจากพุดจีบที่ส่งให้ทันทีไม่ต้องขอซ้ำ “มีดบ้านนี้มันเป็นชุด ยี่ห้อเดียวกันหมด ที่ใช้อยู่ก็เก่าๆ เท่ากัน แต่เล่มนี้มันดูเหมือนของใหม่” พลางหยิบมีดอีกเล่มซึ่งเล็กกว่ามาให้ดู พร้อมชี้ที่ด้ามจับ ชลทิศรับไปเทียบกันดูก็เห็นความแตกต่าง “เล่มนี้ดูใหม่มากนะครับ คงซื้อทีหลังแต่ยี่ห้อเดิม” เขาตั้งข้อสังเกต “ไม่นะ น้าไม่เคยซื้อของใช้เพิ่ม แล้วตั้งแต่มาอยู่วันแรกน้าก็ใช้มีดขนาดนี้มาตลอด แต่มั่นใจว่าไม่ใช่เล่มนี้” “แล้วมาจากไหนละครับนี่” “นั่นนะสิมาจากไหน แต่น้าอาจดูไม่ดี อาจมีปนอยู่แล้วกระมังตาคนแก่นี่นะ” พุดจีบสรุปตัดบทเหมือนไม่อยากยุ่งยากหาที่มาที่ไปของมีดที่ตนมั่นใจว่าใหม่และแปลกไปจากเล่มอื่นๆ ในบ้านหลังนี้แน่นอน “ผมก็ว่าอย่างนั้นละครับ แต่ละบ้านข้าวของเครื่องใช้ในครัวต้องมีสลับสับเปลี่ยนกับเพื่อนบ้านบ้าง บางทีก็ไปสลับกันตอนไปวัด ตอนไปช่วยงานบุญงานแต่งบ้านใคร พี่ดาวอาจไปช่วยงานเพื่อนบ้านแล้วสลับกันมาไม่ได้เอาไปเปลี่ยนคืนก็ได้ เพราะถือว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ”ชลทิศเห็นพ้องและหาเหตุผลเพิ่มเติม “มีดยี่ห้อที่ใช้ในบ้านนี้ไม่เล็กน้อยนะ ถ้าเป็นชุดก็หลายตังค์อยู่ แต่อย่างว่าแม่ดาวมีเงินใช้ไม่ขาดมือ อาจไม่เสียดายไม่ใส่ใจเหมือนน้า แต่ถ้าได้ของใหม่กว่าของตัวมาแบบนี้เป็นน้าก็ไม่เอาไปแลกคืนหรอก เฮ้อ! คิดแล้วก็สงสารสังเวชใจนะ ชีวิตแม่ดาวนะสุขสบายมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งสบาย ผัวรักผัวหลงเงินทองไม่ขาดมือ ไม่น่ามาเกิดเรื่องเลย แต่อย่างว่าไกรสรมันรักของมันมากก็หึงรุนแรง น้าละอยากเห็นหน้านัง” “น้าพุดครับ ขอร้องอย่าพูดเรื่องนี้อีกลืมมันไปเถอะครับ สงสารดาราถ้ามาได้ยินเข้า หลานกำลังทำใจให้ลืมอยู่นะครับ” ชลทิศรีบขัด “ขอโทษจ้ะ น้าจะไม่พูดอีกแล้ว ขอโทษนะ” “ขอบคุณครับ เสร็จแล้วออกไปข้างนอกเถอะครับ วันนี้ผมว่างน้าพุดกับดาราจะออกไปซื้อของเข้าบ้านไหม เดี๋ยวผมพาไป” “ก็ดีนะ เครื่องครัวขาดหลายอย่าง น้าว่าจะออกไปซื้อในตลาดอยู่เหมือนกัน ไปห้างก็ดีเดินตากแอร์เย็นๆ สบายดี” พุดจีบพูดแล้วหัวเราะ “ได้ครับ ซื้อของเสร็จก็หาอะไรกินในห้างด้วยเลยดีมั้ยครับ” “นานๆ ที กินของนอกบ้านก็ดีเหมือนกัน” “น้าพุดไปเตรียมตัว ผมไปบอกดาราเอง” ชลทิศมาเคาะเรียกดวงดาราที่ห้องนอน เมื่อเด็กสาวเปิดประตูออกมามองอย่างแปลกใจเขาจึงเอ่ยขอ “ให้น้าเข้าไปได้มั้ย” “เชิญค่ะ แต่ถ้าน้าชลมาพูดเรื่องขายบ้านหลังนั้น ดาราไม่ขายนะ” ดวงดาราขยับเปิดทางเขาเข้าไปในห้อง ชลทิศยิ้มบาง ส่ายหน้าช้าๆ พร้อมขยี้ผมหลานสาว “เรื่องนี้จบไปแล้วตั้งแต่ดารายืนยันไม่ขาย ของดาราจะเก็บไว้หรือจะขายดารามีสิทธิ์เต็มที่จ้ะ” “ขอบคุณค่ะ” หลานสาวหันมายิ้ม แล้วพูดต่อ “นั่งสิคะ รกหน่อยนะ” หล่อนหยิบหนังสือกองโตบนเตียงนอนออกเพื่อให้น้าชายนั่ง ห้องนอนของดวงดารานั้นขนาดไม่เล็กเมื่อเทียบกับห้องนอนของบ้านทั่วไป เพียงแต่ดูแคบลงเพราะมีเครื่องเรือนหลายชิ้น ทั้งเตียงนอนขนาดใหญ่ ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะหนังสือและเครื่องเรือนชิ้นใหม่ที่เคยอยู่ในห้องรับแขกคือตู้หนังสือของดวงดาว ที่เด็กสาวเพิ่งย้ายเข้ามาไว้ในห้องไม่นาน “เอาตู้หนังสือมาเก็บในนี้ ทำให้ห้องดูแคบไปเลย” เขาเปรยไม่ได้คิดมากกว่านี้แต่เหมือนหลานสาวจะหวงของมากไปจึงมองเขาตาข้นเขียวแต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ก่อนสลายแววตานั้นไปแล้วเอ่ยเบาๆ “ของแม่ดาราอยากเก็บไว้ใกล้ตัว” “จ๊ะ น้ารู้ ไม่ได้คิดจะให้ย้ายออกไปหรอก แต่ตู้หนังสือเอามาไว้ในนี้ต้องดูแลเรื่องฝุ่นเรื่องมดมอดดีๆ แล้วนี่จะเอาไปไหน” เขาถามถึงกองหนังสือบนเตียงที่ดวงดารายกออกไปวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ “เอามาใส่ปกค่ะ บางเล่มยังไม่ได้ใส่ปกเลย” เด็กสาวบอกแล้วเดินไปหยิบหนังสือเหล่านั้นใส่ตู้หนังสือตามเดิม แล้วปิดตู้ลั่นกุญแจเหมือนเป็นของสำคัญและมูลค่ามหาศาลจึงกลัวหาย ทั้งที่อยู่ในห้องนอนและพุดจีบบอกว่าดวงดาราล็อกห้องเสมอเมื่อออกนอกห้อง “ออกไปข้างนอกกันมั้ย น้าจะพายายพุดไปจ่ายของในห้างแล้วหาอะไรกินข้างนอกเลย” “ดารานัดเพื่อนไว้จะไปทำรายงาน คงเสร็จค่ำๆ น้าชลพายายพุดไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงดารา เดี๋ยวดารากินข้าวข้างนอกก่อนกลับบ้านเองค่ะ” “เอาอย่างนั้นหรือ แล้วอยากได้อะไรมั้ยจะได้ซื้อมาให้” “ไม่ค่ะ ของใช้ดาราค่อยซื้อเองยายกับน้าชลซื้อให้ไม่เป็นหรอก ส่วนของกินไม่อยากกินอะไรเลย เดี๋ยวอ้วน” “เอาอีกแล้ว ทำไมสาวๆ สมัยนี้กลัวอ้วนกันจัง ไอ้ค่านิยมชมชอบคนที่ผอมจนเห็นกระดูกนะเอามาจากไหนกัน ทำไมไม่ชอบคนที่แข็งแรงสุขภาพดี ดาราไม่อ้วนนะยังกินอีกเยอะ แล้วอายุขนาดนี้ร่างกายยังเจริญเติบโตอีก ต้องกินอาหารเข้าไปเสริมรู้ไหม” “รู้ค่ะ แหมน้าชลก็ ดาราไม่ได้อดแค่เลือกกินค่ะ ไม่ต้องห่วง” “ให้มันจริงเถอะ ถ้าน้ารู้ว่าเราอดอาหารลดความอ้วนนะ เป็นเรื่องแน่” เขาตั้งใจขู่ เพราะกลัวหลานสาวจะใช้วิธีการผิดๆ แล้วมีผลตรงข้ามกับที่อยากได้ แทนที่จะผอมแต่กลับอ้วนเพราะระบบเผาผลาญแปรปรวนจากการอดอาหาร ดวงดาราทำตาวาวแล้วหัวเราะ รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการอดอาหารแน่นอน เสียงพุดจีบแว่วๆ เข้ามาว่าแต่งตัวเสร็จแล้ว ชลทิศจึงออกมาจากห้องดวงดารา อัญมณีนอนพักผ่อนในห้องเพราะไม่อยากตอบคำถามของแม่เกี่ยวกับชลทิศ และไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หล่อนนอนดูรูปที่ไปถ่ายมาเมื่อคืนแล้วนึกถึงสวิชขึ้นมา เพราะวันนี้รับปากว่าจะไปช่วยเขาทำงาน หล่อนจึงโทรไปหาเขาเอ่ยถามเพราะห่วงและสำนึกผิดที่ไม่อาจทำตามสัญญาได้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้แปลกใจมากขึ้น สวิชบอกว่าเขามีคนช่วยทำงานแล้วหล่อนไม่ต้องห่วง พักผ่อนให้เต็มที่แต่ก่อนวางสายเขากลับถามถึงชลทิศดูเหมือนเขาจะสนใจหมอคนนี้เอามากๆ แต่หล่อนคิดว่าเขาคงอยากได้ข้อมูลไปเขียนนิยายเพราะรู้ว่าชลทิศเป็นทั้งหมอและอาสาสมัครของมูลนิธิ คลุกคลีกับคนเจ็บสภาพต่างๆ และศพมากมายหลายหลากการตาย แต่หล่อนก็เตือนเขาไปว่าหากเขาถามเชิงลึกจะทำให้ชลทิศสงสัยได้ ไม่คิดเลยว่าแค่คำเตือนด้วยความหวังดีของหล่อน กลับทำให้ถูกใช้งานเพิ่มขึ้น “หาข้อมูลจากหมอชลให้พี่หน่อย เรื่องสภาพศพ แยกแยะยังไงว่าตายด้วยเหตุใด” แล้วเขาก็ให้การบ้านหล่อนมาถามชลทิศว่า หากคนตายด้วยมีดปักอก แล้วจะตรวจสอบอย่างไรว่าฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม “พี่วิชคะ มานี่ตอบให้เองนะไม่ต้องรอคำตอบจากหมอชลหรอก”หล่อนบอกไปหลังรับฟังสิ่งที่ฝากถาม “ไหนลองว่ามาสิ” “อย่างแรกก็ดูว่ามีร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุไหม ดูว่าสภาพการตายเป็นยังไง นั่งหรือนอน มือวางตรงไหน มีเลือดเปื้อนมือหรือเปล่า แล้วก็ดูรอยนิ้วมือที่ด้ามมีด แต่อันนี้ตำรวจคงต้องตรวจสอบเราดูด้วยตาเปล่าคงไม่เห็น” “แล้วถ้าคนทำใส่ถุงมือ ตำรวจจะหาหลักฐานมาจากไหน” “รอยเท้า วัตถุพยานที่ตกในที่เกิดเหตุ ดีเอ็นเอ อาจมีเส้นผมหรืออะไรตกอยู่ก็ได้นะคะ เพราะฉะนั้นคนทำต้องรอบคอบเซฟตัวเองให้มาก แค่นี้ก็ตามหาคนทำผิดยากแล้ว” “มานี่คิดอย่างนั้นหรือ” “ค่ะ ทำไมคะ หรือพี่วิชว่ามีอะไรมากกว่านี้” หล่อนถาม เสียดายที่ไม่เห็นสีหน้าเขา “แต่พี่คิดว่า บางทีตำรวจหรือหมออาจมีวิธีสืบหาคนร้ายได้มากกว่านี้ เหมือนการสืบจากศพที่ออกเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คอะไรทำนองนี้ มานี่ช่วยพี่ถามจากหมอชลหน่อยสิ พี่อยากให้ฆาตกรของพี่เป็นอะไรที่สืบหาลำบาก จับตัวยาก จนวินาทีสุดท้ายเลย” “โห มันจะน่ากลัวไปไหมคะนี่ แค่เปลี่ยนมาเขียนแนวฆาตกรรมนี่ก็ฉีกมามากแล้ว ถ้าขืนฆาตกรของพี่วิชเป็นโรคจิตตามจับยากเข้าไปอีก คนอ่านจะสลับขั้วทันหรือคะ” “นี่แหละสิ่งที่พี่หมอนต้องการละ”เขาเอ่ยถึงดวงสมรบรรณาธิการที่รู้จักหน้าค่าตาเขาอีกคน “บอกอเป็นโรคจิตหรือเปล่า ว่าแต่ใครช่วยพี่วิชเขียนคะ ไหนบอกว่าไม่มีใครรู้จักตัวตนของพี่ไง” หล่อนยังคาใจ แต่สาบานว่าไม่ได้หึงหวงหากผู้ช่วยของสวิชจะเป็นผู้หญิง จึงรีบตัดบทก่อนเขาจะตอบ “แต่ช่างเถอะค่ะ พี่วิชมีคนช่วยก็ดีแล้ว นี่ไม่ถนัดเรื่องพิมพ์ด้วยสิ แค่นี้นะคะไม่กวนแล้ว” “หึงใช่มั้ย” คำถามกลับสั้นๆ ของเขาทำเอาหล่อนวางสายไม่ลง “จะหึงทำไม ก็พี่วิชว่านี่เป็นทอมไม่ใช่หรอ” หล่อนย้อนได้ยินเสียงสวิชหัวเราะเบาๆ “ถามจริงๆ มานี่เคยรักพี่หรือเปล่า” จู่ๆ เขาก็ถาม ทำเอาหล่อนอึ้งไปทีเดียว อะไรดลใจให้เขาถามแบบนี้คะ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าต่างคนต่างไม่ได้มีใจให้กัน หมั้นหมายกันเพราะความต้องการของผู้ใหญ่เท่านั้น “ก็นี่เป็นทอมจะรักพี่วิชได้ยังไง” “งอนใช่ไหมที่พูดแบบนี้ พี่ขอโทษสัญญาว่าจะมีเวลาให้มานี่มากขึ้น ปิดต้นฉบับเรื่องนี้เสร็จพี่จะรีบหาฤกษ์แต่งงานของเราให้เร็วที่สุด แล้วคนช่วยทำงานของพี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน บอกอนั่นแหละพี่พูดอัดเทปให้แกช่วยพิมพ์อยากเร่งต้นฉบับ อยากได้ไวๆ ก็ต้องช่วยกันแบบนี้แหละ กระจ่างแล้วใช่ไหมครับ ไม่ต้องหึงนะ พี่รักมานี่นะครับ” อัญมณีไม่มีข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งใดๆ เพราะกำลังอึ้งกับคำที่ว่าจะหาฤกษ์แต่งงานหลังปิดต้นฉบับเรื่องนี้และคำว่ารักที่ฟังดูง่ายๆ พูดอกมาง่ายๆ เหมือนไม่มีความรู้สึกเจือปนเหมือน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม