By: คาล
หลังจากที่เซียงออกไปเรียน ผมก็รีบจัดการโทรเรียกลูกน้องเข้ามาเก็บกวาดร้านให้สะอาดกริบเหมือนใหม่ บอกได้เลยครับว่าผมมีความสุขมาก เมื่อคืนผมได้นอนดูหน้าเขาใกล้ ๆ ด้วยแหละ แม่งโคตรจะมีความสุขเลย ถึงจะทรมานร่างกายไปหน่อยก็เถอะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ที่ผมได้ลงไปนอนที่พื้นแข็ง ๆ แถมจิ้งจกยังวิ่งหยอกกันเล่นทั้งคืน
วันนี้ผมเลยจัดการทำความสะอาดบ้านยกใหญ่ โชคดีที่เจ้ดาวเจ้าของห้องแถวแกมีเตียงสำรอง ผมเลยได้เตียงเล็ก ๆขนาด 3ฟุตมาวางเรียงกับเตียงของเซียง คืนนี้ผมจะได้นอนข้าง ๆ เขาด้วยนะ ได้มองดูหน้าให้ถนัดตา ผมจะมีความสุขแค่ไหนไม่อยากจะคิดเลย
“คุณคาลอยู่ได้จริง ๆ หรอครับ”
ไอ้ปอนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะที่กวาดสายตามองดูรอบ ๆ ตึกสีขาวที่ตอนนี้ตามผนังแทบจะกลายเป็นสีน้ำตาลอยู่แล้ว
“ฉันอยู่ได้ ไม่เห็นลำบากเลย”
ผมว่าพลางเปิดอ่านหนังสือคำศัพท์ภาษาอีสานในมือ
ผมยังคงต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยล่ะครับ
“ผนังมันเก่ามาก ให้ผมทาสีทับใหม่เลยมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง แค่ขัดออกให้ทั่วก็พอ เกิดฉันทาสีใหม่เขาก็สงสัยสิ”
ผมตอบกลับมันไปเสียงเรียบ ตาก็จับจ้องมองดูหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ
“คุณคาลครับ ตอนนี้ของในครัวที่หมดก็มีพวกน้ำปลา ผงชูรส แล้วก็น้ำตาลครับ ให้ซื้อใหม่เลยมั้ยครับ”
ลูกน้องที่ทำความสะอาดวิ่งขึ้นมารายงานผมที่ชั้นบน
“ไปซื้อมากรอกใหม่ ไม่ต้องเปลี่ยนขวดนะ กรอกเข้าไปไม่ต้องเยอะมาก เดี๋ยวเขาสงสัย”
ว่าแล้วผมก็ดันตัวขึ้นแล้วเดินลงไปสำรวจรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้มีชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บกวาดพื้นอย่างตั้งใจ
“ทำไมคุณคาลไม่เข้าไปจีบเขาตรง ๆ เลยล่ะครับ”
ไอ้ปอนเอ่ยถามอย่างคาใจ
“ฉันอยากให้เขาค่อย ๆ ตกหลุมรักฉัน เพราะตัวของฉันเอง ไม่ใช่เพราะฐานะทางสัมคมหรือเงินทองเหมือนคู่นอนคนอื่น ๆเพราะคนนี้ฉันจริงจัง”
ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ผมลุ่มหลงในตัวเขานัก ผมเป็นคนเจ้าระเบียบ ชอบความสะดวกสบาย แต่พอเป็นเขา ผมกลับยอมทำทุกอย่างแม้มันจะโคตรยากเย็นแสนเข็นก็ตาม
“นี่ก็บ่ายสองแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะกลับมา พวกแกกลับไปก่อนเถอะ อยากได้อะไรเดี๋ยวฉันโทรไปสั่ง”
ผมหันไปสั่งลูกน้อง พวกมันก็รีบก้มหัวรับคำแล้วเดินออกไปจากร้าน
ฟูวววว!!
ห้องน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย ค่อยยังชั่ว
ผมนอนรอเขาอยู่บนเตียงนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะความเพลียที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนที่ไม่ได้นอน ทำให้ผมผลอยหลับไปอย่างง่ายดาย
ตื่นมาอีกทีก็ปาไปเกือบห้าโมงเสียแล้ว
ผมรีบดันตัวลุกขึ้นแล้วสำรวจดูรอบ ๆ ไม่เห็นเซียงอยู่ในห้อง มีเพียงกระเป๋าของเขาวางอยู่เท่านั้น เขาน่าจะอยู่ชั้นล่างแล้วล่ะมั้ง
ผมเดินลงมาก็เห็นเขากำลังบรรจงเตรียมวัตถุดิบสำหรับเปิดร้านคืนนี้อยู่
“มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
“มากะดีแล้ว มาซอยหอมใส่กระปุกไว้ให้แหน่” (มึงมาก็ดีแล้ว มาช่วยซอยหอมใส่กระปุกไว้ให้กูหน่อย)
เขาว่าก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปที่ต้นหอมกองโต
เกิดมาผมเคยเข้าครัวกับเขาซะที่ไหนกันล่ะ
เอาวะ แค่ซอยหอมเอง ใคร ๆ ก็ทำได้เปล่าวะ
ผมจัดการวางต้นหอมลองบนเขียงแล้วง้างมือสับจนละเอียด
“เอ้า ๆ ๆ บักห่าหนิ มึงเฮ็ดหยังหนิ” (ไอ้ห่า! มึงทำอะไรเนี่ย)
เขาตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ รีบรั้งแขนผมไว้อย่างลนลาน
“ก็…ซอยหอมไง”
“บ้านมึงเอิ้นซอยเบาะแบบหนิ โอ๊ยยย!! ห่ามึงเอ๊ย เฮ็ดบ่เป็นกะคึบ่ปาก” (แบบนี้บ้านมึงเรียกซอยเหรอวะ โอ้ยยย ถ้ามึงทำไม่เป็นทำไมไม่บอก)
บ่ปาก หมายถึงไม่พูดสินะ ผมอ่านผ่าน ๆ ตามาอยู่บ้าง
“เบิ่ง เฮ็ดจังซี่” (ดู ทำอย่างนี้)
เขาเดินเข้ามาซ้อนผมไว้ก่อนจะใช้มืออ้อมมาทาบผมไว้อีกที นาทีนี้หัวใจผมแทบหยุดเต้นเลยครับ
ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย!! นี่เขากำลังกอดผมอยู่อย่างงั้นหรอ แถมเขากำลังจับมือผมซอยหอมด้วย โคตรอยากเก็บโมเม้นนี้เอาไว้นาน ๆ
“ลองเฮ็ดเองเบิ่งดู้ล่ะ” (ลองทำเองดูซิ)
ผมผละออกพร้อมกับกอดอกยืนจ้องมองดูมัน
“เอ้ออ!! จังซี่แนแมะ เทือหน้าเฮ็ดบ่เป็นกะฮู่จักถามแน” (อย่างงี้แหละ คราวหลังถ้าทำไม่เป็นก็ถาม เข้าใจไหม)
ผมพยักหน้ารับ ขณะที่หัวใจยังเต้นระรัว
“เอ้า!? มื่อวานน้ำปลามันสิเบิดแล้วบ่แมนเบาะวะ” (เมื่อวานน้ำปลามันใกล้หมดแล้วไม่ใช่เหรอวะ)
เขาหยิบขวดน้ำปลาที่มีมากกว่าครึ่งขวดมาส่องดูอย่างพิจารณา ทำเอาผมลนลาน
“เอ้อ…ว่าจะถาม”
ผมรีบพูดเบี่ยงเบนความสนใจเขาทันที
“ทำไมถึงได้เปิดร้านลาบหรอ”
ผมเอ่ยถามขณะที่มือก็ซอยหอมอย่างตั้งใจ
“แต่กี่กูกะเร่ร่อนคือมึงนี่ล่ะ แต่กูอยากเรียนหนังสือนำหมู่ กูเลยหาแนวเฮ็ด กูย่างไปเจอร้านค้าร้านนึง คะเจ้าเปิดโฆษณาอันนึงกูจำบ่ได้ดอกโฆษณาขายอิหยัง กูจำได้แค่ว่ามันเว่าเร็ว ๆ ว่า อะแฮ่ม ๆ” (เมื่อก่อนกูก็เร่ร่อนเหมือนมึงนี่แหละ แต่กูอยากเรียนหนังสือเหมือนเพื่อนกูเลยหาอะไรทำ กูเดินไปเจอร้านค้าร้านหนึ่งเขาเปิดโฆษณาอะไรนี่แหละกูก็จำไม่ได้ จำได้แค่ว่ามันพูดเร็ว ๆ ว่า อะแฮ่ม ๆ)
เขาวางมือลงจากเขียงไม้แล้วหันมาจ้องมองดูผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอาซี่นมาฟักให้มันหมุ่น เอาไปคั่วให้สุก ใส่เคียงปรุง หมากพริกหมากนาวปลาแดกข้าวคั่ว ใส่หัวสิงไคแล้วคน ๆ แล้วกะซิมเบิ่ง” (เอาเนื้อมาสับให้มันละเอียด เอาไปคั่วให้สุข ใส่เครื่องปรุง พริก มะนาว น้ำปลาร้า ข้าวคั่ว ใส่ตะไคร้แล้วก็คน ๆ จากนั้นก็ชิมดู)
“ฮะ?”
ผมหน้าเหวอในทันทีเมื่อเขาโชว์สเต็บแลปภาษาอีสานจนผมฟังแทบไม่ทัน
“นั่นล่ะ มันอยู่ในโฆษณา กูมักคัก เห็นซำนั่นล่ะกูฟ่าวโทรกลับไปหาหลวงพ่อเลย” (นั่นแหละ มันอยู่ในโฆษณา กูชอบมาก เห็นแค่นั้นกูก็รีบโทรกลับไปหาหลวงพ่อเลย)
เขาว่าแล้วก็ทำมือเป็นจับโทรศัพท์คล้ายจำลองเหตุการณ์ให้ผมดู
“ฮัลโหล หลวงพ่อ ยืมเงินแนข่อยสิเปิดร้านลาบ มึงเซือบ่ เลาบ่ถามกูจักคำว่าสิเปิดไสอิหยังจังได๋ เพินโอนมาเลยแหมะเซียมั่นกูคัก” (ฮัลโหลหลวงพ่อ ยืมเงินหน่อย ผมจะเปิดร้านขายลาบ มึงเชื่อไหม แกไม่ถามกูซักคำว่าจะเปิดที่ไหนอะไรยังไง โอนตังค์มาเลยว่ะ โคตรเชื่อมั่นในตัวกูเลย)
เขายกยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าพัลวัน ส่งให้ผมเผลอยิ้มตามรอยยิ้มที่ดูสดใสนั่น
“มึงก็ทำออกมาได้ดีนี่”
“หึ ได้ดีหยัง แต่อาทิตย์หน้าสิจ่ายค่าเทอมแล้วหนิ เงินกูยังบ่พอจ่ายอยู่” (ได้ดีอะไรล่ะ อาทิตย์หน้าจะจ่ายค่าเทอมแล้วเนี่ยกูยังมีไม่พอจ่ายเลย)
เขาพูดไปยิ้มไปราวกับไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
“แล้วถ้าครบกำหนดจ่ายค่าเทอมยังไม่มีตังค์จ่ายล่ะ”
“ยากหยัง กูกะดรอปเรียนตั๊ว มึงว่ากูดรอปเรียนมาจักเทือแล้ว เขาเอิ้นว่าความสามารถพิเศษ” (จะไปยากอะไรวะ กูก็ดรอปเรียนไง มึงว่ากูดรอปเรียนมากี่ครั้งแล้ว เขาเรียกว่าความสามารถพิเศษเว้ย)
ผมนิ่งอึ้งกับคำตอบของเขาจนเผลอชะงักมือที่กำลังซอยหอม นี่เขาลำบากถึงขนาดนั้นเลยหรอ..?
ผมน่าจะเจอเขาเร็วกว่านี้ เขาจะได้ไม่ต้องทนลำบากมากขนาดนี้เพียงลำพัง
“ว่าแต่มึงเถาะ เอาจังได๋ต่อ” (ว่าแต่มึงเถอะ จะเอายังไงต่อ)
“เอ่อ…กูไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้ากูจะขออยู่กับมึง ทำงานแลกค่าข้าวไปก่อน มึงโอเคมั้ย”
“เอาสั่นเบาะ” (เอางั้นหรอวะ)
ผมพยักหน้าตอบรับเขาอย่างวิงวอน
“บ่มีค่าจ้างเด้อมึง มีให้แต่บอนนอนกับแนวกิน แต่กูผู้เดียวกะสิบ่รอดอยู่หนิ” (ไม่มีค่าจ้างนะมึง มีให้แค่ที่นอนกับอาหาร แค่กูคนเดียวก็ไม่รู้จะรอดรึเปล่าเนี่ย
“แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว”
ผมหันไปยิ้มแฉ่งตอบรับ
เราทั้งคู่ต่างช่วยกันเตรียมความพร้อมสำหรับเปิดร้านจนถึงสองทุ่ม
พอร้านเปิดปุ๊บ ลูกค้าก็ต่างหลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย ผมช่วยเขาเสิร์ฟอาหารจนหัวหมุน ยอมรับเลยว่าไม่เคยเหนื่อยเท่านี้มาก่อน ไหนจะสาว ๆ แวะเวียนไปหยอกล้อเซียงทั้งคืน ผมก็พยายามไปกันท่าให้พวกหล่อนออกห่าง แต่กลายเป็นว่าสาว ๆดันมาติดหนึบที่ผมแทน
เห้อออ!!
“เมือยบ่” (เหนื่อยไหม)
เขาเอ่ยถามขณะดึงประตูร้านลง
ตอนนี้ย่างเข้าตีสองแล้ว ภาพผู้คนที่หนาแน่นบัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าที่แสนเงียบสงบอย่างที่ผมปรารถนา
“นิดหน่อย แล้วมึงล่ะ”
“กูลึ่งแล้วล่ะ” (กูชินแล้วแหละ)
เขาไหวไหล่ด้วยท่าทางสบาย ๆ
ยอมรับเลยว่าเขาเป็นคนที่เก่งมาก การบริการ การเอาใจลูกค้า การบริหารเงิน ทุกอย่างเขาทำมันออกมาได้ดี นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นแค่เพียงเด็กบ้าน ๆ ที่หาเลี้ยงตัวเอง ถ้ามีทุนให้เขาล่ะก็เขาคงได้ไปไกลกว่านี้แน่
“ปะ ฟ่าวนอน มื่ออื่นวันหยุด กูสิพามึงไปหากินข้าวนอกบ้าน” (ปะ รีบนอน พรุ่งนี้วันหยุดกูจะพามึงไปกินข้าวนอกบ้าน)
“หือ!? ไม่เป็นไร ตังค์มึงยังไม่พอจ่ายค่าเทอมเลยไม่ใช่หรอ”
“หึหึ ข้าวนอกบ้าน บ่ได้เสียเงินจักบาท แถมบรรยากาศฟิน ๆ เทิงภัตตาคารหรูอย่างดี” (ข้าวนอกบ้าน ไม่ได้เสียตังค์ซักบาท แถมบรรยากาศฟิน ๆ บนภัตตาคารหรูอย่างดี)
ว่าจบเขาก็เหยียดยิ้มออกมา สร้างความงุนงงให้ผมได้ไม่น้อย
เขาจะพาผมไปที่ไหนกัน?