“เสียใจนำเด้อครับป้า” (เสียใจด้วยนะครับป้า)
ผมยกมือขึ้นลูบหลังปลอบใจหญิงวัยกลางคนที่ร้องไห้สะอื้นอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะจูงมือไอ้คาลออกมาเพื่อต่อคิวตักกะเพาะปลาในงานศพกิน
“เอ้า กินถะแมะ เฮ็ดเซเวหยังบาดหนิ” (กินสิ นั่งนิ่งอยู่ทำไม)
ผมหันไปคะยั้นคะยอให้มันกินข้าวตรงหน้า หลังจากที่มันทำหน้าพะอืดพะอมราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ที่มึงบอกว่าพามากินข้าวนอกบ้านนี่หมายถึง…พามากินข้าวงานศพหรอวะ”
“แมน เป็นหยัง” (ใช่ ทำไม)
“มึงรู้จักเขาหรอวะ”
“หื่อ”
ผมส่ายหน้าพัลวันพร้อมกับตักกระเพาะปลาเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ่ย ๆ
“เชี่ยย!! ไม่รู้จักแต่มึงพากูมากินข้าวงานศพเขาเนี่ยนะ”
มันโพล่งออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ
“ชูวววว!! บักห่าหนิ มึงสิเว่าแฮงหาสะแตกเบาะ กินไปอย่าเว่าดุ” (ไอ้ห่า มึงจะพูดเสียงดังทำไมวะกินไปอย่าพูดมาก)
บักหนิแหมะ มึงบ่เคยเลาะหากินในงานศพบ้อวะ ดีปานได๋แล้วมาร่วมงานเพินน่ะ (ไอ้นี่ มึงไม่เคยหากินในงานศพเหรอวะ ดีแค่ไหนแล้วมาร่วมงานเขาน่ะ)
“เอ้ากิน อย่าเว่าหลาย” (เอ้ากิน อย่าพูดมาก)
ผมว่าแล้วก็เลื่อนอาหารไปตรงหน้ามันจนมันต้องถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากท่ามกลางเสียงร้องไห้จากผู้มาร่วมงาน
ผมลึ่งแล้วล่ะครับ แต่บักคาลมันน่าสิบ่เคยพ้ออิหยังแบบนี้ เพินไห้ขึ้นบาดไหน ผมกะเห็นมันสะเดิดขึ้นบาดนั่น จังแมนมึงเนาะ (ผมชินแล้วล่ะครับ แต่ไอ้คาลมันน่าจะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เขาร้องไห้ขึ้นตอนไหน ผมก็เห็นมันสะดุ้งตัวขึ้นตอนนั้น มึงนี่นะ)
หลังจากกินข้าวกินปลาเสร็จผมก็จัดการห่ออาหารกลับบ้านด้วยซะเลย เรียกได้ว่าช่วยงานยี่สิบบาท คุ้มเสียยิ่งกว่าช่วยงานเป็นพันอีก
“เดี๋ยว ๆ ๆ มึงมีเงินจักซาวบ่”
ผมหันหน้าไปถามไอ้คาลเมื่อเดินผ่านข้างล่างศาลาที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งร่วมวงกันอยู่
“ซาวบาท?”
มันขมวดคิ้วทวนคำถามอย่างงงงวย
“ยี่สิบบาทแหมะ ใบเขียว ๆ น่ะมีบ่”
“อ๋ออ~ มี ๆ ลูกค้าให้ทิปเมื่อวาน”
“แก๋ววว กูยืมแน” (เยี่ยม กูยืมหน่อย)
ผมฉีกยิ้มกว้างยื่นแบมือไปตรงหน้ามัน มันเองก็รีบควักเงินวางแหมะที่ฝ่ามือผมอย่างไว ผมก็ไม่รอช้ารีบจูงแขนมันเดินเข้าไปร่วมวงทันที
“ไพ่ป๊อกเบาะครับ เล่นนำแน” (ไพ่ป๊อกหรอครับ เล่นด้วยหน่อยได้มั้ย)
“มา ๆ หำ” (มา ๆ)
ป้าที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้ามือกวักมือเรียกผมลงไปนั่งข้าง ๆ
ผมคุ้นเคยกับวงไพ่เป็นอย่างดี ตอนอยู่วัดผมชอบแอบหลวงตาเข้าไปร่วมวงในงานศพบ่อย ๆ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมไม่ได้เล่นนานแล้ว ตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพก็ไม่ค่อยได้มีเวลาออกมาเล่นข้างนอก แต่วันนี้ถือว่าพาไอ้คาลออกมาเปิดหูเปิดตา
เมื่อทุกคนวางเงินกันครบ ป้าเจ้ามือก็โชว์สเต็บสับไพ่ขั้นเทพ บอกได้เลยว่าวิชานี้ไม่ได้เรียนกันง่าย ๆ ไม่กี่อึดใจไพ่จำนวนสองใบก็ถูกวางลงตรงหน้าผม
ผมค่อย ๆ หยิบแผ่นกระดาษแข็ง ๆ ตรงหน้าขึ้นมาเปิดดูอย่างลุ้นละทึก
ห่ามึงเอ๊ย!!! K โพธิ์ดำ กับKดอกจิก
ผมมองหน้าไอ้คาลเลิ่กลั่กด้วยความสิ้นหวัง รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้ K อีกตัวนั้นมีน้อยนิด
“เอาครับ”
ไอ้คาลพยักหน้าบอกเจ้ามือ ขณะที่แกหันมาถามว่าเอาเพิ่มอีกใบมั้ย
มันค่อย ๆ เอื้อมมือเข้าไปหยิบแผ่นไพ่สีขาวที่วางบนผ้าถุงสีครามขึ้นมาเปิดดู ยิ่งส่งให้เสียงหัวใจผมเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุออกมา
‘K โพธิ์แดง’
“ตองK!!”
ผมรวบไพ่แล้วโยนลงตรงหน้าด้วยความดีอกดีใจ ราวกับได้เงินเป็นแสน
เจ้ามือทำหน้าเบื่อเซ็ง แต่ก็ควักเงินออกมาจ่ายให้ผม หกสิบบาทตามจำนวนคูณสาม
บ๊ะ!! บักคาลนี่มันมากับดวงอีหลีวะ (ไอ้คาลนี่มันมากับดวงจริง ๆ ว่ะ)
“ปะ เมือบ้าน” (ปะ กลับบ้าน)
เมื่อได้ตังค์แล้ว ผมก็จูงแขนไอ้คาลออกมาจากวงไพ่ทันที
“ทำไมไม่เล่นอีกล่ะ”
มันเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เราเดินเรียบถนนออกมาจากวัด
“มึงฮู่บ่ คนเฮามันสิหมานที่สุดตอนเล่นเทือแรก นอกนั่นเจ้ามือสิกินเรียบ มันเป็นกลยุทธ์” (มึงรู้ไหม คนเรามันจะโชคดีที่สุดตอนเล่นครั้งแรก นอกนั้นเจ้ามือก็จะกินเรียบมันเป็นกลยุทธ์)
ไอ้คาลได้ฟังดังนั้นมันก็พยักหน้าหงึกหงักรับรู้ทันที
“รู้มั้ย ว่าทำไมถึงได้แค่ช่วงแรก ๆ”
มันหันหน้ามาถามผมอีกครั้ง
“บ่รู้วะ ดวงมาแค่ตอนแรกบ้อ” (ไม่รู้ว่ะ ดวงมาแค่ตอนแรกมั้ง)
“ผิด ขึ้นชื่อว่าการพนันมันใช้ดวงอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ อย่างเช่นบ่อนใหญ่ ๆ เขาจะใช้ทฤษฎีหลอกล่อให้คนมาติดกับดักเรียกว่าปลากินเบ็ด มนุษย์กับความโลภน่ะคือสิ่งที่ถูกสร้างมาให้คู่กัน ต่อให้บอกว่าจะเล่นแค่รอบเดียว แต่ถ้าได้เงินกลับมาเป็นกอบเป็นกำมีหรอจะหยุดแค่รอบเดียวได้”
“จังได๋วะ” (ยังไงวะ)
ผมถามกลับอย่างนึกสงสัย
“พวกบ่อน ๆ ใหญ่เขาก็มีเทคนิคของเขา พวกโต๊ะเอย เก้าอี้เอย ลูกเต๋าเอย หรืออุปกรณ์ทุกชิ้นในบ่อนล้วนมีไว้สำหรับโกงทั้งนั้นแหละ”
“โอโธ่ ฮู่ดีปานเป็นเจ้าของบ่อนโลดเนาะมึง” (โห รู้ดีอย่างกับเป็นเจ้าของบ่อนเลยนะมึง)
ผมเอ่ยปากแซวทำเอาคนโดนแซวชะงักไปครู่หนึ่ง นี่ผมเผลอไปพูดจี้ใจดำมันตรงไหนรึเปล่า หรือว่าที่มันหมดตัวต้องกลายเป็นคนตกงานเพราะผีพนันเข้าสิงอย่างงั้นหรอ?
“เอ่อ…กูก็ฟังเขาพูดต่อ ๆ กันมานี่ล่ะ”
“คาล ๆ มึงเห็นบักม่วงนวยนี่บ่” (คาล ๆ มึงเห็นมะม่วงลูกนั้นไหม)
ผมหยุดฝีเท้าที่กำลังเก้าเดินเมื่อสายตาอันแหลมคมสอดส่องไปเห็นมะม่วงลูกโตที่ห้อยเต็มต้นภายในรั้วสูง และมีบางลูกยื่นออกมาจากรั้ว แต่ก็อยู่สูงพอประมาณ
“อื้อ ทำไมหรอ”
“บักม่วงยายรี ไผกะซาว่าเลาขี่ถี่แฮง” (มะม่วงยายรี ใครก็ลือกันว่าแกขี้เหนียวมาก)
มันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้
“มึงอยากกินมะม่วงหรอ เดี๋ยวกูพาไปซื้อ”
“บ่ กูบ่อยากกินบักม่วงซื้อ กูอยากกินหมากหนิ” (ไม่ กูไม่อยากกินมะม่วงซื้อ กูอยากกินมะม่วงลูกนี้)
ว่าแล้วผมก็กวาดสายตามองหาไม้ยาวมาสอยไอ้ลูกสีเขียวที่มันห้อยลงมาล่อตาล่อใจ
“ดะ เดี๋ยว มึงจะทำอะไร แกหวงมากไม่ใช่หรอ”
“ชูวววว!! เสียงดังหาแม่มึงเบาะ หันหลังมานี่ กูขี่หลังแนมันบ่มีไม้ส่าว” (เสียงดังหาแม่มึงหรอวะ หันหลังมานี่ กูขี่หลังหน่อยมันไม้มีไม้สอย)
“เอาจริงหรอวะ”
ไอ้คาลหน้าถอดสี แต่ก็ขัดผมไม่ได้ มันจำต้องยอมแบกผมขึ้นหลังเพื่อขโมยมะม่วงน้ำดอกไม้ตามความประสงค์ของผม
“ซ่ายอีก ๆ หลายโพดแล้ว ขวาอีกจักนอย” (ซ้ายอีก ๆ เยอะเกินไปแล้ว ขวาอีกนิดนึง)
ผมยื้อแขนขึ้นจนสุดเอื้อมหยิบลูกมะม่วงตรงหน้า
พอได้ลูกนึงก็เกิดความโลภอยากได้อีกสองสามลูก
“ได้ยังวะ”
ไอ้คาลร้องถาม มันคงหนักอยู่ไม่น้อย ก็น้ำหนักตัวเรามันเกือบเท่า ๆ กันเลยหนิ
“อะฟ่าว ๆ อีกจักลูกก่อน” (แป๊บนึง ๆ อีกซักลูกก่อน)
ผมตอบกลับขณะเอื้อมมือหวังจะหยิบมะม่วงลูกสุดท้าย แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“เฮ่ย!! ซุมปอบหนิสูเฮ็ดหยัง สูลักบักม่วงกูติ” (เฮ้ย!! พวกมึงทำอะไร พวกมึงขโมยมะม่วงกูหรอ)
เสียงแหลมแปร๊ดแสบแก้วหูตะโกนออกมาจากหน้าบ้าน พลันยายวัย70ต้น ๆ ก็ถือไม้กวาดวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
ผมเบิกตาโพลง แต่สติยังอยู่ดีรีบคว้ามะม่วงลูกสุดท้ายแล้วกระโดดลงจากหลังไอ้คาลทันที
ผลัก!!
“เออะ!!” (โอ๊ย!!)
ร่างหนาของผมกลิ้งไปกับพื้นจนเข่าถลอก แต่ผมก็ยังมีสติรีบหอบมะม่วงแล้วใส่เกียร์หมาทันที
“แลน!!!” (วิ่ง!!)
สิ้นประโยค ทั้งผมทั้งไอ้คาลก็วิ่งหนีด้ามไม้กวาดจากยายรีสุดชีวิต โชคดีที่แกแก่แล้ววิ่งตามมาไม่ทัน
ห่ามึงเอ้ย! โคตรตื่นเต้น