By : เซียง
ย่างเข้าตีสอง ผู้คนที่หลั่งใหลออกจากผับเริ่มจะซาลง เช่นเดียวกับร้านลาบของผมที่ส่งแขกคนสุดท้ายที่เมาแอ๋พูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นรถกลับบ้านไปเป็นที่เรียบร้อย
ภาพเบื้องหน้าที่คุ้นตาฉายวนมาซ้ำ ๆ ราวกับใครบางคนกำลังกดเล่นแผ่นหนังชีวิตม้วนเดิมของผมกลับไปกลับมา ถึงมันจะน่าเบื่อไปบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็สงบสุขดี
ตื่นเช้ามาไปเรียนมหาลัย ค่ำมาก็เปิดร้านลาบ ตีสองก็ปิดร้าน พอรุ่งเช้าก็วนกลับไปที่มหาลัยอีกครั้ง ถ้าถามว่าที่ผ่านมาชีวิตผมลำบากมั้ย?
ผมก็คงตอบได้เพียงว่ามันอยู่ที่เรามอง ถ้าเรามองว่าทุกข์มันก็จะทุกข์ หรือเรามองว่าสุขมันก็จะสุข
ผมถูกรับเลี้ยงมาจากหลวงตาวัดดอนบักแต้ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ผมเขาเป็นใคร รู้เพียงว่าเขาเป็นคนเอาผมมาวางที่หน้าวัดให้หลวงตาเลี้ยง ฟังดูอาจจะใจร้าย แต่ผมก็เชื่อเสมอว่าทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเองเสมอ
ผมใช้เวลาเกือบสิบนาทีเก็บกวาดร้านจนเสร็จก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นแก๊งวัยรุ่นมากกว่าสิบคนกำลังรุมกระทืบใครบางคนอยู่หน้าผับ ภาพเหตุการณ์แบบนี้ผมชินแล้วล่ะ แถวนี้มักจะมีคนมาทะเลาะกันบ่อยครั้งจนผมชินตา
ผมเสมองไปทางอื่นทำทีไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่อยากหาเหาใส่หัว แต่บังเอิญว่าคงจะถึงคราวซวยนั่นแหละครับ ไอ้เหาตัวนี้ถึงได้วิ่งฝ่าถนนเข้ามาเกาะแขนให้ผมช่วย
“ชะ ช่วยด้วย”
ร่างกายที่สะบักสะบอมด้วยรอยตีนเกาะแขนผมไว้แน่นก่อนที่มันจะล้มฟุบลงพื้นจนผมต้องช่วยพยุง ในขณะที่พวกกลุ่มวัยรุ่นนั้นวิ่งตามมาจนถึง
“อ้าย ๆ ใจเย็น ๆ มีเรื่องหยังครับ” (พี่ ๆ ใจเย็น ๆ มีเรื่องอะไรกันครับ)
ผมทำทีเป็นใจดีสู้เสือ แม้ภายในใจจะเริ่มเต้นระส่ำด้วยความกลัว
โตต่อโตคืออยู่ เล่นบักสิบรุมหนึ่งบ่ตายกะคางเหลืองล่ะกูว่า (ตัวต่อตัวก็ว่าไปอย่าง นี่เล่นสิบรุมหนึ่ง ไม่ตายก็คางเหลืองล่ะวะ)
“ไอ้นี่มันกวนตีน มากินข้าวร้านกูแล้วจ่ายเงินไม่ครบ ขาดไปตั้ง 20 บาท”
หนึ่งในนั้นใช้ไม้หน้าสามชี้หน้าคาดโทษอย่างเดือดดาล
“ผมไม่รู้ว่าข้าวมันจานละ 80 ผมมีแค่ 60 บาท ผมไม่มีจริง ๆ ครับพี่”
ไอ้ผู้ชายร่างใหญ่รีบแก้ตัวพัลวัน
“ยังจะมาเถียง! อยากจะเจ็บตัวอีกใช่มั้ย”
ไอ้อ้วนที่ดูจะเป็นแกนนำเพื่อนง้างไม้ในมือเตรียมฟาด จนผมต้องรีบร้องปราม
“อ้าย ๆ พอแล้ว ๆ ซาวบาทแมนบ่ ผมให้เลยห้าสิบบาท เซาสา ผมขอซะเด้อ” (พี่ ๆ พอแล้ว ๆ ยี่สิบบาทใช่ไหม ผมให้เลยห้าสิบบาท พอเถอะนะ ผมขอร้องล่ะ)
ผมลนลานรีบหยิบเงินในกระเป๋ายื่นให้พวกมัน
“ถือว่ารอดตัวไปนะมึง ไปเว้ย”
ไอ้อ้วนหันมาชี้หน้าคาดโทษอีกรอบก่อนจะเดินนำพวกลูกน้องเดินจากไป
“คึขี้มาดตายแม่มึงแท้น้อ ซุมห่าหนิ ไล่ตีเอาปานอยู่หน้าฮ่านหมอลำ ประสาซาวบาทนึงกะดาย” (โคตรขี้เก๊กเลยว่ะไอ้พวกนี้ ไล่ต่อยตีอย่างกับอยู่หมอลำ กะอีแค่ตังค์ ยี่สิบบาทเอง)
ผมบ่นอุบไล่หลังพวกมันเบา ๆ ไม่กล้าพูดเสียงดังกลัวพวกมันจะย้อนกลับมาหาเรื่องอีก
“แล้วโตล่ะหมอ เอาจังได๋ต่อบาดหนิ” (แล้วนายล่ะเอายังไงต่อ)
“เอ่อ…ผมไม่ได้เป็นหมอครับ”
เห้ออ!! กูล่ะหน่ายบักคนไทยใหญ่หนิเด้วะ (กูล่ะเบื่อไอ้คนในเมืองนี่จริง ๆ)
“กูบ่ได้หมายถึงหมอ มันเป็นคำเอิ้นแบบสนิทสนม แล้วจังได๋หนิ สิไปไสต่อ” (กูไม่ได้หมายถึงหมอ มันเป็นคำเรียกแบบสนิทสนม แล้วยังไง จะไปไหนต่อ?)
“ผมไม่รู้เหมือนกันครับ ผมตกงาน ถูกไล่ออกจากหอพัก เงินติดตัวก็ไม่มีซักบาท”
มันว่าด้วยสายตาละห้อย
ผมกุมขมับอย่างคนคิดไม่ตก ง่วงก็ง่วงเหนื่อยก็เหนื่อย ยังจะต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
“เอาซี่ซะไป๋ มานอนนำกูก่อน มื่ออื่นเซ่าจังว่ากัน” (งั้นเอาอย่างงี้ มานอนกับกูก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน)
ตอนนี้ตีสองกว่า ๆ แล้ว ผมมีเรียน 9 โมง ไม่อยากที่จะเบียดเบียนเวลานอนอันน้อยนิดที่มี
“เอางั้นหรอ”
“เอ้อ เอาซี่ล่ะ บ่ต้องเกรงใจ เสื้อผ้าอิหยังกะมาใส่นำกูก่อน ทรงคือสิใส่ได้อยู่ดอก โตกะซำ ๆ กัน” (เออ เอาอย่างนี้แหละ ไม่ต้องเกรงใจ เสื้อผ้าอะไรก็มาใส่กับกูก่อน ดูแล้วน่าจะใส่ด้วยกันได้อยู่หรอกขนาดตัวก็เท่า ๆ กัน)
ผมว่าพร้อมกับสำรวจมันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
คึคุ้นหน้าบักห่านี่แถะว่ะ คึจังเคยพ้ออยู่ไสหนิล่ะ (ทำไมคุ้นหน้าไอ้หมอนี่จังเลยวะ เหมือนเคยเจออยู่ไหนซักที่)
“ขอบคุณมากนะ กูชื่อคาล มึงล่ะ”
“กูซือเซียง นี่ป้ายร้านกูร้านลาบบักเซียง ซือกูนี่ล่ะ” (กูชื่อเซียง นี่ป้ายร้านกู ร้านลาบบักเซียง ชื่อกูนี่แหละ)
ไม่ว่าเปล่า ผมชี้มือให้มันดูป้ายร้านประกอบคำพูดอย่างภาคภูมิใจ
บ่ฮู่ว่าผมไว้ใจคนง่ายไปบ่ที่หัวก่อเจอมันเทือแรกกะเอามันเข้าเฮือนโลด แต่ผมฮู่สึกว่าบักอันนี่มันไว้ใจได้อยู่เดะ สิเป็นย่อนว่าแต่ก่อนผมกะเคยเป็นคือมันนี่ล่ะ ผมเลยเข้าใจมัน ว่ายามมันบ่มีคัก ๆ มันเป็นเป็นจังได๋
(ไม่รู้ว่าผมไว้ใจคนง่ายไปไหมที่เพิ่งเจอมันครั้งแรกก็เอามันเข้าบ้านเลย แต่ผมรู้สึกว่าไอ้นี่มันไว้ใจได้อยู่นะ คงเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนผมก็เคยเป็นเหมือนมันนี่แหละ ผมเลยเข้าใจว่าเวลาลำบาก มันเป็นยังไง)