รักแรกพบ

2247 คำ
By : คาล เคยสงสัยกันมั้ยครับ ว่าอะไรคือจุดสูงสุดในชีวิตที่มนุษย์เราต้องการแสวงหา อำนาจ บารมี เงินตรา หรือว่าศักดิ์ศรี ถ้าคุณมีคำตอบเป็นหนึ่งในสี่ข้อนี้ ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่ามันไม่ใช่ เพราะตอนนี้ผมก็มีครบทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมา แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังรู้สึกขาดหายอะไรไปบางอย่าง ผมชื่อคาลครับเกิดมาในตระกูลราชกิตติสวัสดิ์ ชีวิตที่ผ่านมาของผม มันโคตรจะเพอร์เฟค ผมมีพี่ชายคนนึงชื่อคิล เราทั้งคู่สนิทกันมาก ไม่ได้แกร่งแย่งอำนาจเหมือนครอบครัวอื่น ๆ ทั่วไป ไอ้คิลมันมีเมียแล้วครับ ชื่อเจ้เมย แกเป็นสาวที่สวยมากกกขนาดมีลูกแล้วคนนึงยังไม่ทำให้ความสาวแกดูลดน้อยถอยลง และตอนนี้แกก็กำลังจะมีเบบี๋คนที่สองอยู่ในท้อง นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับตระกูลผมเลยล่ะครับ ที่จะมีทายาทไว้สืบทอดถึงสองคน เพราะคงหวังพึ่งอะไรกับผมไม่ได้ ถ้าจะถามว่าทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิงยังไงล่ะครับ การที่ไอ้คิลมีลูกมีเมียจึงถือว่าเป็นเรื่องดีกับผม เพราะผมไม่ต้องคอยรับแรงกดดันจากป๊ากับม้าว่าจะมีหลานให้อุ้มเมื่อไหร่ แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะครับ ข้อเสียมันก็มี หลัก ๆ เลยก็คือ ทำให้ผมอิจฉา ใช่ครับ อิจฉาที่มันมีคนรักนี่แหละ ในขณะที่ไอ้คิลมีลูกมีเมียมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ชีวิตผมกลับย่างเข้าเส้นเขตแดนของความเดียวดายขึ้นทุกวัน ปีนี้ผมจะอายุครบ30แล้วครับ แต่แฟนซักคนยังหาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเอานะ แต่ผมดันเป็นคนเรื่องมากซะเอง ผมไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลยซักครั้ง ไม่มีใครซักคนที่พิเศษพอที่จะทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ จะมีก็เพียงแต่น้องเบส รุ่นน้องสมัยเรียนมหาลัย จะเรียกแฟนก็คงไม่เต็มปาก ให้เรียกว่าคู่นอนขาประจำดีกว่าครับ น้องเขาไม่ได้ตรงสเปกผมเท่าไหร่ เป็นคนร่างบาง ๆ ผิวขาว พูดเพราะ ๆ แต่ไอ้ผมมันคนหยาบช้าหน้ามึนนี่สิครับ อยากได้แฟนที่ห่าม ๆแมน ๆ คุยกัน เพราะผมเอาใจใครไม่เก่ง และไม่ชอบเอาใจใครด้วย ผมกับน้องเบสตกลงกันว่าถ้าบั้นปลายชีวิตเราทั้งคู่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ ผมกับน้องเขาก็จะตกลงปลงใจกัน ข้อเสนอนี้อาจจะเห็นแก่ตัวสำหรับเขามาก แต่มันก็แฟร์ไม่ใช่หรอครับ ที่เราไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องเอาชีวิตไปผูกมัดกันจนขาดอิสระ ที่ผ่านมาผมก็ดูแลน้องเขาดีตลอด อาจจะมีแวะเวียนไปหาคู่นอนคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราไม่ใช่แฟนกัน ตอนนี้ผมออกมาส่งน้องเบสไปดูงานที่อเมริกา เกือบสามเดือนเต็มที่เราจะไม่ได้เจอกัน แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสหรอกนะ เขาไม่อยู่ผมก็ไหลไปกับคู่นอนอื่นไปเรื่อยอยู่แล้ว ครืดดดด~ เสียงมือถือดังขึ้นขณะที่ผมกำลังจอดรถติดไฟแดงแยกหน้าผับดังทางกลับบ้าน ฝ่ามือหนาปล่อยจากพวงมาลัยรถคันหรูเพื่อคว้ามือถือในกระเป๋าขึ้นดู ‘เจ๊เมย’  หน้าจอมือถือโชว์ชื่อผู้โทรเข้ามา ผมไม่รอช้า รีบกดรับสายในทันที “ครับเจ๊”  “คาลลลลล~”  เรียกแบบนี้คงจะเรียกใช้อะไรซักอย่างสินะ “จะเอาอะไรว่ามาเลย”  ผมรีบดักทางอย่างรู้ทัน “ออกไปส่งเพื่อนที่สนามบินใช่มั้ย ตอนนี้ถึงไหนแล้ว”  “ส่งเสร็จแล้ว กำลังกลับบ้าน ติดไฟแดงหน้าผับโรบอทอยู่เนี่ย”  “หูยยย พอดีเลย แวะซื้อลาบให้เจ๊หน่อย เจ๊อยากกินลาบ”  “ฮะ!”  ผมแทบจะขมวดคิ้วในทันที เมื่อกี้หล่อนบอกว่าอยากกินอะไรนะ ลาบอย่างงั้นหรอ ผมหูฝาดไปรึเปล่า “ตั้งแต่ท้องมาเจ๊ก็อยากกินอะไรแปลก ๆ แล้วเลื่อนไปเจอเพจนึงเขารีวิวอาหาร ชื่อร้านลาบบักเซียง อยู่ตรงข้ามผับโรบอทน่ะเจ้ฝากซื้อหน่อยนะ ๆ”  ผมแทบจะกลอกตามองบนในทันที ตั้งแต่เจ๊เมยแกท้อง ไอ้คิลก็ทำหน้าที่ขนของกินมาให้เจ๊เขากินไม่ขาดสาย แต่สองสามวันมานี้ไอ้คิลมันติดดิลงานกับลูกค้าที่ภูเก็ต หน้าที่จัดหาอาหารเลยตกเป็นของผมโดยปริยาย แล้วประเด็นคือเจ๊แกไม่ยอมใช้ลูกน้องด้วยนะ ต้องเป็นผมเท่านั้น บอกว่าหลานในท้องอยากให้ผมซื้อให้ คนท้องนี่เอาใจยากซะจริง ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบตกลง สัญญาญไฟจราจรก็เด้งไปที่ปุ่มสีเขียว ไม่มีเวลาให้ผมได้ตัดสินใจเลยสินะ “เค ๆ แค่นี้นะ ไฟเขียวแล้ว”  ผมว่าก่อนจะวางมือถือลง แล้วกวาดสายตามองหาร้านลาบบักเซียงที่เจ้เมยบอก พลันสายตาก็เหลือบไปมองเห็นร้านเล็ก ๆ ขึ้นป้ายไม้เก่า ๆ ว่า ร้านลาบบักเซียง แต่คนดันเยอะจนแน่นร้าน แถมที่จอดรถก็เต็มอีกต่างหาก ผมล่ะโคตรเบื่ออะไรแบบนี้เลย แต่ทำไงได้ล่ะ ก็เผลอรับปากไปแล้ว ถ้าเกิดกลับบ้านมือเปล่ามีหวังโดนเจ๊เมยบ่นจนหูชาแน่ ผมขับรถเรียบถนนมาเรื่อย ๆ กว่าจะมีที่จอดก็ต้องได้วนรถกลับไปอีกไกลเลยล่ะ ปกติผมไม่ค่อยขับรถไปไหนมาไหนเองหรอกนะ ส่วนมากจะให้ไอ้ปอนลูกน้องคนสนิทขับให้ แต่วันนี้ผมแค่ออกมาส่งน้องเบสแป๊บเดียวเลยขับรถมาเอง ผมย่างขาลงจากรถ วันนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ได้เข้าบริษัท จึงใส่ชุดธรรมดา ๆ ไม่ต้องทนใส่ชุดสูทที่มันแน่นจนอึดอัด เนื่องจากจอดรถไกลมาก ผมจำต้องเดินย้อนกลับไปที่ร้านลาบบักเซียง แต่ความซวยยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่ออยู่ ๆรถเก๋งสีแดงก็แล่นมาเทียบข้างพร้อมกับเหยียบโคลนตมที่นองเต็มหลุมข้างทางกระเด็นใส่ผมอย่างจัง ซ่าา!!! “เชี่ยเอ๊ย!!”  ผมเบิกตาโพลง รีบหันหน้าเบี่ยงหลบแต่ไม่ทันเสียแล้ว บัดนี้โคลนตมสีน้ำตาลถูกสาดกระเด็นจนเลอะเต็มเสื้อสีขาวผมไปหมด “ไอ้เหี้ยเอ๊ย เหยียบมาได้ มึงไม่เห็นคนหรอวะ”  ผมสบถไล่หลัง แต่คนที่ทำให้ผมอารมณ์เสีย ก็ไม่อยู่ให้ผมต่อว่าเสียแล้ว รถสีแดงขับเคลื่อนออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไม่แม้แต่จะชลอดูผมที่ยืนหัวเสียอยู่ตรงนี้ มันน่ายิงทิ้งซะจริง ถ้าผมอารมณ์เสียกว่านี้อีกหน่อย ผมขับรถตามไปยิงกระบาลมันแน่ ผมไม่ใช่คนใจดีอะไรขนาดนั้นหรอกนะผมบ้าระห่ำแค่ไหนใคร ๆ ก็รู้ โดยเฉพาะกับคู่แข่งทางการค้า ใครที่มันคิดจะลองดีกับผมก็ไม่ได้ตายดีซักราย ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเดินวนกลับไปที่รถตามเดิม แต่แล้วเสียงแจ้งเตือนก็ทำให้ฝีเท้าผมหยุดชะงัก ตื้อดึงงง~ ‘เอามาสองถุงเลยนะ ขอแซ่บ ๆ เอาต้มเนื้อเปื่อย ๆ มาด้วย’  เฮ้อออ!! ผมอยากจะบ้าตาย แค่คิดว่าเจ้เมยต้องร้องห่มร้องไห้เพราะไม่ได้กินลาบอย่างใจหวังผมก็รู้สึกผิดลึก ๆ ในใจแล้ว ช่วยไม่ได้สินะ ผมตัดสินใจก้าวขาฉับ ๆ เดินไปยังร้านลาบบักเซียงตามที่เจ้เมยบอก ไม่กี่อึดใจผมก็เดินมาถึงร้านอาหารที่คนนั่งรออาหารกันจนแน่นร้าน ซ้ำยังมีคนต่อแถวรออาหารกันยาวเป็นหางว่าว ถอดใจตอนนี้ทันมั้ยวะ ผมยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าร้านลาบ ไม่รู้ว่าต้องสั่งอะไรก่อนดี แล้วไม่รู้ว่าจะต้องสั่งยังไง ร้านนี้มีพ่อค้าแค่คนเดียว ไม่ได้มีพนักงานมีค่อยถือเมนูอาหารให้เหมือนร้านอาหารในห้าง และที่ทำให้ผมประหม่ามากยิ่งขึ้นก็คงเป็นสายตาของลูกคนคนอื่น ๆ ที่จับจ้องมาที่ผมอย่างกับเป็นตัวประหลาด ก็แหงล่ะ ผมเล่นเปื้อนโคลนซะเละขนาดนี้ ใครไม่มองสิแปลก “เอาหยังครับอ้าย” (เอาไรครับพี่) เสียงทุ้มของพ่อค้าที่ใส่แมสก์ปิดหน้าไว้เอ่ยถามขณะที่มีกำลังขมักเขม่นกับการสับเนื้อบนเขียงไม้เก่า ๆ “เอ่ออ….”  ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรบ้าง ไม่มีเมนูหรอวะ “เบิ่งทรงแล้ว บ่มีเงินแมนเบาะ ไปนั่งโลดเดี๋ยวข่อยเอาไปให้” (ดูท่าทางแล้วไม่มีตังค์ใช่มั้ยล่ะ ไปนั่งเถอะเดี๋ยวผมเอาไปให้) เขาว่าพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปยังโต๊ะด้านในสุด ไม่มีตังค์อย่างงั้นหรอ!? นี่สภาพผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอวะเนี่ย ผมไม่รู้ว่าต้องวางตัวยังไง เลยรีบเดินไปนั่งเก้าอี้ตามที่เขาบอก บ้าไปแล้วแน่ ๆ ผมเป็นถึงมาเฟียที่น่าเกรงขาม ใคร ๆ ก็เกรงกลัวผมทั้งนั้น แต่ตอนนี้ผมกำลังจะมานั่งรออาหารฟรีในร้านลาบแคบ ๆ ในฐานะยาจกผู้ยากจน ให้ตายเถอะ ผมนั่งมองดูพ่อค้าทำอาหารทยอยเสิร์ฟโต๊ะนั้นโต๊ะนี้จนเกือบหมด เขาจึงเดินถืออาหารที่คาดว่ายังปรุงไม่เสร็จเดินตรงมาที่ผม แกร๊ก! “เอ้ากิน กินหลาย ๆ โลด นี่ผักแพวยัดลงไป บ่อิ่มกะบอกสิเอามาตื่มให้” (กินเยอะ ๆ นี่ผักไผ่ กินลงไป ไม่อิ่มก็บอกนะ เดี๋ยวเอามาเพิ่มให้) ผมได้แต่มองดูอาหารตรงหน้าตาปริบ ๆ เมื่อกี้ฟังไม่ทันยังพอเข้าใจ แต่ไอ้เนื้อที่ปรุงยังไม่สุกนี่ผมไม่เข้าใจ “เอ่อ…มันไม่สุกหรอ”  “เอ้า สิกินสุกสั่นเบาะ กะบ่บอก” (จะกินสุกก็ไม่บอก) เขาว่าก่อนจะคว้าจานบนโต๊ะกลับเข้าไปที่เดิม ผมจะบอกเขายังไงดีล่ะว่าผมไม่ได้เป็นคนไร้บ้าน ถ้าผมบอกไปเขาจะรู้สึกเขินหรือเปล่า ไม่ถึงห้านาที พ่อค้าก็เดินกลับมาพร้อมกับลาบจานเดิม แต่คราวนี้มันถูกปรุงจนสุกแล้ว “เอ้านี่ เข่าเหนียว” (เอ้านี่ ข้าวเหนี่ยว) กระติกไม้ไผ่กลม ๆ ถูกส่งมาต่อหน้าผม สร้างความงงงวยให้ผมได้ไม่น้อย “นั่งซือลือหยังบาดหนิ คึบ่กิน” (นั่งนิ่งทำไมล่ะ ทำไมไม่กิน) “ไม่มีช้อนหรอ”  “สิใซ่ซ่อนเฮ็ดหยัง มือหนิมือ โอ๊ยน้ออ คนไทยใหญ่” (จะใช้ช้อนทำไม ใช้มือนี่ โอ๊ยยย พ่อคนในเมือง)  เขาบ่นอุบก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าผมพร้อมกับถอดแมสก์ที่ปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมที่ยากเกินกว่าจะละสายตา ดวงตาคมลับกับสันจมูกโด่ง ริมฝีปากที่หยักเป็นกระจับบาง ๆ ลับกับโครงหน้าคมเข้มนี้เป็นอย่างดี ยอมรับเลยว่าทันทีที่ผมเจอหน้าเขาแบบเต็มตา ผมก็รู้สึกแปลก ๆ ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก นี่ผม…. กำลังจะหัวใจเต้นแรงงั้นหรอ “เบิ่ง เฮ็ดมือจังซี่” (ดู ทำมืออย่างนี้) เขาว่าพร้อมกับชูมือขึ้นมาให้ผมทำตาม “กำนิ้วก้อยกับนิ้วนางลง จ่งไว้สามนิ้วนี่ แล้วกะจกบาดหนิ จกลงกระติบเข่า แล้วกะปั้น ๆ ให้เป็นก้อนขู่หลู่ ๆ คุ้ยบาดหนิ” (กำนิ้วก้อยกับนิ้วนางลงเหลือไว้ 3 นิ้วแล้วล้วงลงไปในกระติบข้าว จากนั้นก็ปั้น ๆ ให้มันเป็นก้อนกลม ๆ เสร็จแล้วก็จ้ำลงไป) ว่าแล้วเขาก็ใช้ปั้นข้าวจิ้มอาหารในจานเข้าปาก “ใส่ผักเข่าไปนำ แล้วกะย่ำ ๆ แล้วกะกลืน มันสิยากหยังประสากินเข่า กินแต่น้อยจนใหญ่กะสิให้บอกสั่นเบาะ” (ใส่ผักเข้าไปด้วย แล้วก็เคี้ยว ๆ แล้วก็กลืนลงไป มันจะไปยากอะไรวะ กะอีแค่กินข้าว กินตั้งแต่เล็กจนโตยังจะให้บอกอีกหรอ) ผมพยักหน้ารับรู้ ขณะที่ตาจับจ้องมองใบหน้าคมเข้มอย่างนึกหลงใหล “พี่เซียงขาาา ขอต้มขมอีกหนึ่งค่าา”  “ค้าบบบ~”  เขาหันไปตอบกลับลูกค้าเสียงหวานก่อนจะดันตัวลุกจากเก้าอี้ไป น่าแปลกที่ตอนนี้เขากำลังยืนหันหลังทำอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เพียงแค่แผ่นหลังเขา ก็ทำเอาหัวใจผมเต้นระส่ำไม่มีท่าทีจะหยุด สาบานได้เลยว่าผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน หรือความรู้สึกนี้เขาจะเรียกกันว่า รักแรกพบ...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม