By : คาล
เคยสงสัยกันมั้ยครับ ว่าอะไรคือจุดสูงสุดในชีวิตที่มนุษย์เราต้องการแสวงหา อำนาจ บารมี เงินตรา หรือว่าศักดิ์ศรี ถ้าคุณมีคำตอบเป็นหนึ่งในสี่ข้อนี้ ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่ามันไม่ใช่ เพราะตอนนี้ผมก็มีครบทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมา แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังรู้สึกขาดหายอะไรไปบางอย่าง
ผมชื่อคาลครับเกิดมาในตระกูลราชกิตติสวัสดิ์ ชีวิตที่ผ่านมาของผม มันโคตรจะเพอร์เฟค ผมมีพี่ชายคนนึงชื่อคิล เราทั้งคู่สนิทกันมาก ไม่ได้แกร่งแย่งอำนาจเหมือนครอบครัวอื่น ๆ ทั่วไป ไอ้คิลมันมีเมียแล้วครับ ชื่อเจ้เมย แกเป็นสาวที่สวยมากกกขนาดมีลูกแล้วคนนึงยังไม่ทำให้ความสาวแกดูลดน้อยถอยลง และตอนนี้แกก็กำลังจะมีเบบี๋คนที่สองอยู่ในท้อง นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับตระกูลผมเลยล่ะครับ ที่จะมีทายาทไว้สืบทอดถึงสองคน เพราะคงหวังพึ่งอะไรกับผมไม่ได้ ถ้าจะถามว่าทำไมน่ะหรอ?
ก็เพราะว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิงยังไงล่ะครับ
การที่ไอ้คิลมีลูกมีเมียจึงถือว่าเป็นเรื่องดีกับผม เพราะผมไม่ต้องคอยรับแรงกดดันจากป๊ากับม้าว่าจะมีหลานให้อุ้มเมื่อไหร่ แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะครับ ข้อเสียมันก็มี หลัก ๆ เลยก็คือ ทำให้ผมอิจฉา
ใช่ครับ อิจฉาที่มันมีคนรักนี่แหละ ในขณะที่ไอ้คิลมีลูกมีเมียมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ชีวิตผมกลับย่างเข้าเส้นเขตแดนของความเดียวดายขึ้นทุกวัน ปีนี้ผมจะอายุครบ30แล้วครับ แต่แฟนซักคนยังหาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเอานะ แต่ผมดันเป็นคนเรื่องมากซะเอง ผมไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลยซักครั้ง ไม่มีใครซักคนที่พิเศษพอที่จะทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ จะมีก็เพียงแต่น้องเบส รุ่นน้องสมัยเรียนมหาลัย จะเรียกแฟนก็คงไม่เต็มปาก ให้เรียกว่าคู่นอนขาประจำดีกว่าครับ น้องเขาไม่ได้ตรงสเปกผมเท่าไหร่ เป็นคนร่างบาง ๆ ผิวขาว พูดเพราะ ๆ แต่ไอ้ผมมันคนหยาบช้าหน้ามึนนี่สิครับ อยากได้แฟนที่ห่าม ๆแมน ๆ คุยกัน เพราะผมเอาใจใครไม่เก่ง และไม่ชอบเอาใจใครด้วย
ผมกับน้องเบสตกลงกันว่าถ้าบั้นปลายชีวิตเราทั้งคู่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ ผมกับน้องเขาก็จะตกลงปลงใจกัน ข้อเสนอนี้อาจจะเห็นแก่ตัวสำหรับเขามาก แต่มันก็แฟร์ไม่ใช่หรอครับ ที่เราไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องเอาชีวิตไปผูกมัดกันจนขาดอิสระ
ที่ผ่านมาผมก็ดูแลน้องเขาดีตลอด อาจจะมีแวะเวียนไปหาคู่นอนคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราไม่ใช่แฟนกัน
ตอนนี้ผมออกมาส่งน้องเบสไปดูงานที่อเมริกา เกือบสามเดือนเต็มที่เราจะไม่ได้เจอกัน แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสหรอกนะ เขาไม่อยู่ผมก็ไหลไปกับคู่นอนอื่นไปเรื่อยอยู่แล้ว
ครืดดดด~
เสียงมือถือดังขึ้นขณะที่ผมกำลังจอดรถติดไฟแดงแยกหน้าผับดังทางกลับบ้าน ฝ่ามือหนาปล่อยจากพวงมาลัยรถคันหรูเพื่อคว้ามือถือในกระเป๋าขึ้นดู
‘เจ๊เมย’
หน้าจอมือถือโชว์ชื่อผู้โทรเข้ามา ผมไม่รอช้า รีบกดรับสายในทันที
“ครับเจ๊”
“คาลลลลล~”
เรียกแบบนี้คงจะเรียกใช้อะไรซักอย่างสินะ
“จะเอาอะไรว่ามาเลย”
ผมรีบดักทางอย่างรู้ทัน
“ออกไปส่งเพื่อนที่สนามบินใช่มั้ย ตอนนี้ถึงไหนแล้ว”
“ส่งเสร็จแล้ว กำลังกลับบ้าน ติดไฟแดงหน้าผับโรบอทอยู่เนี่ย”
“หูยยย พอดีเลย แวะซื้อลาบให้เจ๊หน่อย เจ๊อยากกินลาบ”
“ฮะ!”
ผมแทบจะขมวดคิ้วในทันที เมื่อกี้หล่อนบอกว่าอยากกินอะไรนะ ลาบอย่างงั้นหรอ ผมหูฝาดไปรึเปล่า
“ตั้งแต่ท้องมาเจ๊ก็อยากกินอะไรแปลก ๆ แล้วเลื่อนไปเจอเพจนึงเขารีวิวอาหาร ชื่อร้านลาบบักเซียง อยู่ตรงข้ามผับโรบอทน่ะเจ้ฝากซื้อหน่อยนะ ๆ”
ผมแทบจะกลอกตามองบนในทันที ตั้งแต่เจ๊เมยแกท้อง ไอ้คิลก็ทำหน้าที่ขนของกินมาให้เจ๊เขากินไม่ขาดสาย แต่สองสามวันมานี้ไอ้คิลมันติดดิลงานกับลูกค้าที่ภูเก็ต หน้าที่จัดหาอาหารเลยตกเป็นของผมโดยปริยาย แล้วประเด็นคือเจ๊แกไม่ยอมใช้ลูกน้องด้วยนะ ต้องเป็นผมเท่านั้น บอกว่าหลานในท้องอยากให้ผมซื้อให้ คนท้องนี่เอาใจยากซะจริง
ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบตกลง สัญญาญไฟจราจรก็เด้งไปที่ปุ่มสีเขียว ไม่มีเวลาให้ผมได้ตัดสินใจเลยสินะ
“เค ๆ แค่นี้นะ ไฟเขียวแล้ว”
ผมว่าก่อนจะวางมือถือลง แล้วกวาดสายตามองหาร้านลาบบักเซียงที่เจ้เมยบอก
พลันสายตาก็เหลือบไปมองเห็นร้านเล็ก ๆ ขึ้นป้ายไม้เก่า ๆ ว่า ร้านลาบบักเซียง แต่คนดันเยอะจนแน่นร้าน แถมที่จอดรถก็เต็มอีกต่างหาก
ผมล่ะโคตรเบื่ออะไรแบบนี้เลย
แต่ทำไงได้ล่ะ ก็เผลอรับปากไปแล้ว ถ้าเกิดกลับบ้านมือเปล่ามีหวังโดนเจ๊เมยบ่นจนหูชาแน่
ผมขับรถเรียบถนนมาเรื่อย ๆ กว่าจะมีที่จอดก็ต้องได้วนรถกลับไปอีกไกลเลยล่ะ
ปกติผมไม่ค่อยขับรถไปไหนมาไหนเองหรอกนะ ส่วนมากจะให้ไอ้ปอนลูกน้องคนสนิทขับให้ แต่วันนี้ผมแค่ออกมาส่งน้องเบสแป๊บเดียวเลยขับรถมาเอง
ผมย่างขาลงจากรถ วันนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ได้เข้าบริษัท จึงใส่ชุดธรรมดา ๆ ไม่ต้องทนใส่ชุดสูทที่มันแน่นจนอึดอัด
เนื่องจากจอดรถไกลมาก ผมจำต้องเดินย้อนกลับไปที่ร้านลาบบักเซียง แต่ความซวยยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่ออยู่ ๆรถเก๋งสีแดงก็แล่นมาเทียบข้างพร้อมกับเหยียบโคลนตมที่นองเต็มหลุมข้างทางกระเด็นใส่ผมอย่างจัง
ซ่าา!!!
“เชี่ยเอ๊ย!!”
ผมเบิกตาโพลง รีบหันหน้าเบี่ยงหลบแต่ไม่ทันเสียแล้ว บัดนี้โคลนตมสีน้ำตาลถูกสาดกระเด็นจนเลอะเต็มเสื้อสีขาวผมไปหมด
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย เหยียบมาได้ มึงไม่เห็นคนหรอวะ”
ผมสบถไล่หลัง แต่คนที่ทำให้ผมอารมณ์เสีย ก็ไม่อยู่ให้ผมต่อว่าเสียแล้ว รถสีแดงขับเคลื่อนออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไม่แม้แต่จะชลอดูผมที่ยืนหัวเสียอยู่ตรงนี้
มันน่ายิงทิ้งซะจริง ถ้าผมอารมณ์เสียกว่านี้อีกหน่อย ผมขับรถตามไปยิงกระบาลมันแน่ ผมไม่ใช่คนใจดีอะไรขนาดนั้นหรอกนะผมบ้าระห่ำแค่ไหนใคร ๆ ก็รู้ โดยเฉพาะกับคู่แข่งทางการค้า ใครที่มันคิดจะลองดีกับผมก็ไม่ได้ตายดีซักราย
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเดินวนกลับไปที่รถตามเดิม แต่แล้วเสียงแจ้งเตือนก็ทำให้ฝีเท้าผมหยุดชะงัก
ตื้อดึงงง~
‘เอามาสองถุงเลยนะ ขอแซ่บ ๆ เอาต้มเนื้อเปื่อย ๆ มาด้วย’
เฮ้อออ!!
ผมอยากจะบ้าตาย แค่คิดว่าเจ้เมยต้องร้องห่มร้องไห้เพราะไม่ได้กินลาบอย่างใจหวังผมก็รู้สึกผิดลึก ๆ ในใจแล้ว
ช่วยไม่ได้สินะ
ผมตัดสินใจก้าวขาฉับ ๆ เดินไปยังร้านลาบบักเซียงตามที่เจ้เมยบอก
ไม่กี่อึดใจผมก็เดินมาถึงร้านอาหารที่คนนั่งรออาหารกันจนแน่นร้าน ซ้ำยังมีคนต่อแถวรออาหารกันยาวเป็นหางว่าว
ถอดใจตอนนี้ทันมั้ยวะ
ผมยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าร้านลาบ ไม่รู้ว่าต้องสั่งอะไรก่อนดี แล้วไม่รู้ว่าจะต้องสั่งยังไง ร้านนี้มีพ่อค้าแค่คนเดียว ไม่ได้มีพนักงานมีค่อยถือเมนูอาหารให้เหมือนร้านอาหารในห้าง
และที่ทำให้ผมประหม่ามากยิ่งขึ้นก็คงเป็นสายตาของลูกคนคนอื่น ๆ ที่จับจ้องมาที่ผมอย่างกับเป็นตัวประหลาด ก็แหงล่ะ ผมเล่นเปื้อนโคลนซะเละขนาดนี้ ใครไม่มองสิแปลก
“เอาหยังครับอ้าย” (เอาไรครับพี่)
เสียงทุ้มของพ่อค้าที่ใส่แมสก์ปิดหน้าไว้เอ่ยถามขณะที่มีกำลังขมักเขม่นกับการสับเนื้อบนเขียงไม้เก่า ๆ
“เอ่ออ….”
ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรบ้าง ไม่มีเมนูหรอวะ
“เบิ่งทรงแล้ว บ่มีเงินแมนเบาะ ไปนั่งโลดเดี๋ยวข่อยเอาไปให้” (ดูท่าทางแล้วไม่มีตังค์ใช่มั้ยล่ะ ไปนั่งเถอะเดี๋ยวผมเอาไปให้)
เขาว่าพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปยังโต๊ะด้านในสุด
ไม่มีตังค์อย่างงั้นหรอ!? นี่สภาพผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอวะเนี่ย
ผมไม่รู้ว่าต้องวางตัวยังไง เลยรีบเดินไปนั่งเก้าอี้ตามที่เขาบอก
บ้าไปแล้วแน่ ๆ ผมเป็นถึงมาเฟียที่น่าเกรงขาม ใคร ๆ ก็เกรงกลัวผมทั้งนั้น แต่ตอนนี้ผมกำลังจะมานั่งรออาหารฟรีในร้านลาบแคบ ๆ ในฐานะยาจกผู้ยากจน ให้ตายเถอะ
ผมนั่งมองดูพ่อค้าทำอาหารทยอยเสิร์ฟโต๊ะนั้นโต๊ะนี้จนเกือบหมด เขาจึงเดินถืออาหารที่คาดว่ายังปรุงไม่เสร็จเดินตรงมาที่ผม
แกร๊ก!
“เอ้ากิน กินหลาย ๆ โลด นี่ผักแพวยัดลงไป บ่อิ่มกะบอกสิเอามาตื่มให้” (กินเยอะ ๆ นี่ผักไผ่ กินลงไป ไม่อิ่มก็บอกนะ เดี๋ยวเอามาเพิ่มให้)
ผมได้แต่มองดูอาหารตรงหน้าตาปริบ ๆ เมื่อกี้ฟังไม่ทันยังพอเข้าใจ แต่ไอ้เนื้อที่ปรุงยังไม่สุกนี่ผมไม่เข้าใจ
“เอ่อ…มันไม่สุกหรอ”
“เอ้า สิกินสุกสั่นเบาะ กะบ่บอก” (จะกินสุกก็ไม่บอก)
เขาว่าก่อนจะคว้าจานบนโต๊ะกลับเข้าไปที่เดิม
ผมจะบอกเขายังไงดีล่ะว่าผมไม่ได้เป็นคนไร้บ้าน ถ้าผมบอกไปเขาจะรู้สึกเขินหรือเปล่า
ไม่ถึงห้านาที พ่อค้าก็เดินกลับมาพร้อมกับลาบจานเดิม แต่คราวนี้มันถูกปรุงจนสุกแล้ว
“เอ้านี่ เข่าเหนียว” (เอ้านี่ ข้าวเหนี่ยว)
กระติกไม้ไผ่กลม ๆ ถูกส่งมาต่อหน้าผม สร้างความงงงวยให้ผมได้ไม่น้อย
“นั่งซือลือหยังบาดหนิ คึบ่กิน” (นั่งนิ่งทำไมล่ะ ทำไมไม่กิน)
“ไม่มีช้อนหรอ”
“สิใซ่ซ่อนเฮ็ดหยัง มือหนิมือ โอ๊ยน้ออ คนไทยใหญ่” (จะใช้ช้อนทำไม ใช้มือนี่ โอ๊ยยย พ่อคนในเมือง)
เขาบ่นอุบก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าผมพร้อมกับถอดแมสก์ที่ปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมที่ยากเกินกว่าจะละสายตา
ดวงตาคมลับกับสันจมูกโด่ง ริมฝีปากที่หยักเป็นกระจับบาง ๆ ลับกับโครงหน้าคมเข้มนี้เป็นอย่างดี ยอมรับเลยว่าทันทีที่ผมเจอหน้าเขาแบบเต็มตา ผมก็รู้สึกแปลก ๆ
ตึกตัก
ตึกตัก
ตึกตัก
นี่ผม…. กำลังจะหัวใจเต้นแรงงั้นหรอ
“เบิ่ง เฮ็ดมือจังซี่” (ดู ทำมืออย่างนี้)
เขาว่าพร้อมกับชูมือขึ้นมาให้ผมทำตาม
“กำนิ้วก้อยกับนิ้วนางลง จ่งไว้สามนิ้วนี่ แล้วกะจกบาดหนิ จกลงกระติบเข่า แล้วกะปั้น ๆ ให้เป็นก้อนขู่หลู่ ๆ คุ้ยบาดหนิ” (กำนิ้วก้อยกับนิ้วนางลงเหลือไว้ 3 นิ้วแล้วล้วงลงไปในกระติบข้าว จากนั้นก็ปั้น ๆ ให้มันเป็นก้อนกลม ๆ เสร็จแล้วก็จ้ำลงไป)
ว่าแล้วเขาก็ใช้ปั้นข้าวจิ้มอาหารในจานเข้าปาก
“ใส่ผักเข่าไปนำ แล้วกะย่ำ ๆ แล้วกะกลืน มันสิยากหยังประสากินเข่า กินแต่น้อยจนใหญ่กะสิให้บอกสั่นเบาะ” (ใส่ผักเข้าไปด้วย แล้วก็เคี้ยว ๆ แล้วก็กลืนลงไป มันจะไปยากอะไรวะ กะอีแค่กินข้าว กินตั้งแต่เล็กจนโตยังจะให้บอกอีกหรอ)
ผมพยักหน้ารับรู้ ขณะที่ตาจับจ้องมองใบหน้าคมเข้มอย่างนึกหลงใหล
“พี่เซียงขาาา ขอต้มขมอีกหนึ่งค่าา”
“ค้าบบบ~”
เขาหันไปตอบกลับลูกค้าเสียงหวานก่อนจะดันตัวลุกจากเก้าอี้ไป
น่าแปลกที่ตอนนี้เขากำลังยืนหันหลังทำอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เพียงแค่แผ่นหลังเขา ก็ทำเอาหัวใจผมเต้นระส่ำไม่มีท่าทีจะหยุด
สาบานได้เลยว่าผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน หรือความรู้สึกนี้เขาจะเรียกกันว่า รักแรกพบ...