พวกไอ้แคนกลับไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลือไว้มีเพียงจานชามกองโต เศษขยะที่เกลื่อนพื้น ไหนจะเหล้าที่หกเลอะโต๊ะ ลามไปถึงพื้น
ซุมขี้เมานี่มันเป็นตาซังคักอิหลีครับ
ผมกับไอ้คาลจัดการเก็บกวาดพื้นจนสะอาดเอี่ยม ก่อนจะเดินลากสังขารที่ยังโอนเอนเพราะแรงโน้มถ้วงของเหล้าขาวขึ้นมาที่ชั้นบน
ผมจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำทันที เพราะทนกลิ่นเหล้าที่เหม็นหึ่งเต็มเสื้อไม่ไหว พออาบเสร็จก็สลับให้ไอ้คาลเข้าไปอาบบ้าง
ระหว่างนี้ผมก็ไปหยิบกระปุกขนมที่ไอ้ปึ๊ดซื้อมาเป็นกับแกล้มขึ้นมาเจาะรูเป็นทางยาว
ผมค่อย ๆ กรีดปลายมีดลงที่ฝาด้านบนมันอย่างบรรจง ไม่นานนักเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของไอ้คาลก็เดินก้าวเข้ามาชิดที่ปลายเตียง
“ทำไรวะ”
ไอ้คาลในลักษณะผ้าเช็ดตัวผืนบางสีขาวพันรอบเอวเอาไว้หลวม ๆ เปลือยท่อนบน เดินเช็ดผมที่กำลังเปียกชุมเข้ามานั่งลงตรงหน้าผม
บอกตามตรง เวลามันอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ มันโคตรดูดีเลยครับ ผมที่ยาวเข้ามาปรกตามันเล็กน้อย ส่งให้ดวงตามันดูเฉี่ยวคมยิ่งขึ้น ผมรู้สึกเหมือนเป็นโรคจิตขึ้นทุกวันที่ชอบแอบมองมันเหมือนในตอนนี้
“เซียง มึงเป็นไรปะเนี่ย ทำไมดูเหม่อ ๆ”
มันว่าขณะเอามือเข้ามาทาบแตะหน้าผากดึงสติผมให้กลับคืนมา
“กะ กูบ่ได้เป็นหยัง วังยามึงถามว่าหยังเกาะ” (กูไม่ได้เป็นไร เมื่อกี้มึงถามว่าไงนะ)
“กูถามว่ามึงทำไร”
“อ๋ออ~ กูเฮ็ดคลังเอาไว้หยอดทิปจากลูกค้า” (กูทำกระปุกออมสินไว้หยอดทิปลูกค้า)
ผมชูกระปุกสีเงินสองใบขึ้นให้มันดู
“นี่มึงทำเผื่อกูด้วยหรอ”
มันเอื้อมมือเข้ามาหยิบกระปุกที่เขียนชื่อมันอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่ใบหน้าหล่อคมจะค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นมา
“เออ เอาไว้หยอดทิป”
“แต่ว่าชื่อกูมันไม่ได้เขียนอย่างงี้นะ ตัวสะกดสุดท้ายมันเป็นลอลิง ไม่ใช่นอหนู”
“เอ้าติ” (เอ้าหรอ)
“ไม่เป็นไรหรอก เขียนแบบนี้ก็ได้”
“บ่เป็นหยัง กูลบได้” (ไม่เป็นไร กูลบได้)
ผมหันไปคว้ากระปุกในมือมันขึ้นมาก่อนจะใช้มือแตะที่ปลายลิ้นแล้วใช้มือถูวนที่ตัวสะกดสุดท้ายบนกระปุก
“หึหึ มึงนี่นะ”
มันส่ายหน้าพัลวันแต่ปากก็ยกยิ้มขึ้นมาจนแก้มแทบจะปริออกมา
ผมวนถูอยู่ครู่หนึ่ง ตัวนอหนูมันก็จางลง ถึงไม่ได้หายไป แต่ก็น่าจะใช้ได้อยู่
ผมหันไปคว้าปากกาเมจิกที่โต๊ะหนังสือข้าง ๆ ขึ้นมาเขียนลอลิงลงทับจุดเดิมแล้วชูให้มันดู
“หมาน ๆ บาดหนิ ให้ได้ทิปหลาย ๆ สุมื่อ” (ขายดิบขายดี ขอให้ได้ทิปทุกวัน)
ผมยกยิ้มอย่างภูมิใจ
“แล้วคาลมันแปลว่าหยังวะ” (แล้วคาลมันแปลว่าอะไรวะ)
“ไม่รู้ว่ะ ตั้งให้คล้องจองกับพี่กูมั้ง มันชื่อคิล”
“เอ้า มึงมีอ้ายนำเบาะ” (มึงมีพี่ด้วยหรอวะ)
“อื้อ มีคนนึง แล้วมึงล่ะ เซียงแปลว่าอะไร”
มันหันมาเอ่ยถามมือก็เช็ดผมเรื่อย ๆ
“หลวงพ่อบอกว่าเซียงแปลมาจากเซียงเมี่ยง มึงฮู่จักบ่ศรีธนญชัย” (หลวงพ่อบอกว่าเซียงแปลมาจากเซียงเมี่ยง มึงรู้จักมั้ยศรีธนญชัย)
ผมเอ่ยถามแล้วยกก้นขึ้นไปนอนราบบนเตียงนอน
“อ๋ออ~ แล้วมึงมีพี่น้องมั้ย”
“บ่มีดอก กูโตคนเดียว หลวงพ่อบอกว่าพ่อกับแม่เอากูมาถิ่มหน้าวัด หมารุมเห่ากูเต็มเลย แต่เลามาพ้อก่อน กูเลยรอดมาได้ กูกะเลยได้เป็นสังกะลี ย่างนำก้นพระหากินข้าววัดมาแต่น้อย” (ไม่มีหรอก กูตัวคนเดียว หลวงพ่อบอกว่าพ่อกับแม่เอากูมาทิ้งที่หน้าวัด หมารุมเห่ากูเต็มเลย แต่แกมาเจอซะก่อนกูเลยรอดมาได้ กูก็เลยได้มาเป็นเด็กวัดเดินตามก้นพระ หากินตามวัดมาตั้งแต่เด็ก)
ผมหันไปตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้แล้ว
“เซียง…กูขอโทษนะที่ถามเรื่องนี้”
“โอ๊ย สิเป็นหยัง กูบ่ได้ซีเรียสซียางหยังดอก เพินกะคงสิมีเหตุผลของเพินนั่นล่ะ” (ไม่เป็นไร กูไม่ได้ซีเรียสหรอก เขาก็คงมีเหตุผลของเขานั่นแหละ)
ตึง ๆ ๆ!!
"อะ อ้าา~ แรง ๆ ค่ะพี่ขาาา อ้าา~"
เสียงเตียงห้องข้าง ๆ กระทบผนังห้องบวกกับเสียงครางกระเส่าดังเข้ามาเป็นระยะ ทำเอาผมกับไอ้คาลมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ที่นี่มันห้องพักราคาถูก ห้องข้าง ๆ เป็นห้องพี่นาง สาวขายข้าวแกงข้าง ๆ ร้านผม วันดีคืนดีแกก็จะเล่นกิจกรรมเข้าจังหวะกับผัวแกอย่างงี้ล่ะครับผมชินแล้ว
ปัง ๆ !!
ผมทุบผนังส่งสัญญาณให้แกเบาเสียงลง แต่ดูเหมือนแกจะตีความหมายผิดนะ เพราะผมรู้สึกเหมือนเสียงมันดังขึ้นหนักกว่าตอนแรกเสียด้วยซ้ำ
เห้อออ!!
“แล้ว มึงอยากรู้มั้ยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน กูช่วยมึงตามหาได้นะ”
ไอ้คาลที่เพิ่งเช็ดผมแห้ง มันค่อย ๆ เอนตัวลงมานอนข้าง ๆ ผม
“บ่เอาดอก กูบ่อยากฮู่ กูบ่แมนลูกเลาตั้งแต่เลาตัดสินใจเอากูมาถิ่มหน้าวัดแล้ว กูมีพ่อแม่คนเดียวกะคือหลวงพ่อ คนที่ดีกับกูที่สุด ถึงบางเทือเลาสิฮ่ายแน แต่กูกะฮู่ว่าเลาฮักกูแฮง” (ไม่เอาหรอก กูไม่อยากรู้ กูไม่ใช่ลูกเขาตั้งแต่วันที่พวกเขาตัดสินใจเอากูมาทิ้งหน้าวัดแล้ว กูมีพ่อแม่คนเดียวก็คือหลวงพ่อคนที่ดีกับกูที่สุด ถึงบางทีแกจะโหดหน่อย แต่กูก็รู้ว่าแกน่ะรักกูมาก)
ผมเหม่อมองเพดานเมื่อนึกถึงภาพในอดีต ถ้าวันนั้นหลวงพ่อเจอผมช้ากว่านี้อีกนิด ก็คงจะไม่มีผมในวันนี้สินะ
“มึงโคตรเข้มแข็งเลยว่ะ”
ไอ้คาลจ้องมองดูผมนิ่ง ในตาฉายแววเป็นห่วงจนปิดไม่มิด
“หึ เข้มแข็งหยัง ลางเทือกูกะอดคิดบ่ได้เด้ะว่ามันเป็นโซคดีคึโซคร้ายที่หลวงพ่อพ้อกูก่อนที่หมาสิรุมกัด กูฮู่สึกคึจังกูโตผู้เดียวขนาดพ่อแม่แท้ ๆ เพินยังบ่เอากูเลย หลวงพ่อเพินฮักกูกะแมนอยู่ แต่เพินกะเข้มงวดคัก บ่เคยโอ๋กูจักเทือ” (เข้มแข็งอะไรล่ะ บางครั้งกูก็อดคิดไม่ได้นะว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่หลวงพ่อมาเจอกูก่อนที่หมาจะรุมกัด กูรู้สึกเหมือนกูตัวคนเดียว ขนาดพ่อแม่แท้ ๆ แกยังไม่เอากูเลย หลวงพ่อแกรักกูก็จริงอยู่ แต่แกก็เข้มงวดมากไม่เคยโอ๋กูเลยสักครั้ง)
ไม่รู้เพราะฤทธิ์ของเหล้าหรือเพราะอะไรที่ทำให้ผมพลั่งพลูสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง น่าแปลกเหมือนกันที่ผมเลือกที่จะเล่าให้มันฟัง อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่กับมันแล้วผมสบายใจมั้ง
“เบิ่งคือจังกูเข้มแข็ง แต่อิหลีแล้วคนเฮามันจะมีแนวอ่อนแออยู่นั่นล่ะ เบิ่งคือจังกูเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ บ่หัวซาหยัง แต่ลึกๆ กูกะอยากได้ความฮัก อยากถืกกอดแนในมื่อที่กูฮู่สึกโตผู้เดียว” (ดูเหมือนกูเข้มแข็ง แต่จริง ๆ แล้วคนเรามันก็มีมุมอ่อนแออยู่นั่นแหละ ดูเหมือนกูเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ไม่คิดมากอะไร แต่ลึก ๆ กูก็อยากได้ความรัก อยากถูกกอดบ้างในวันที่กูรู้สึกโดดเดี่ยว)
ผมระบายออกมายาวเหยียด พอพูดเรื่องนี้แล้วก็เหมือนเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวใจ หยดน้ำตาสีใสเอ่อคลอที่ขอบตาจนรู้สึกร้อนผ่าว แต่ผมก็พยายามฝืนทนไว้
ไผสิอยากไห้ต่อหน้าผู้อื่นแมนบ่ล่ะครับ ใหญ่จนควายเลียดากบ่ถึงแล้ว อยากอายอยู่เด้ (ใครจะอยากร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นใช่ไหมล่ะครับ โตจนควายเลียก้นไม่ถึงอยู่แล้ว ผมก็อายเป็นนะ)
ไอ้คาลนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะขยับเข้ามาใกล้ มันค่อย ๆ สอดแขนเข้าไปใต้คอก่อนจะรั้งหาผมเข้าไปแนบชิดที่หน้าอกแกร่ง
“มะ มึงสิเฮ็ดหยัง” (มะ มึงจะทำอะไร)
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ ๆ มันก็รั้งตัวผมเข้าไปโอบกอดไว้แน่น
“โอบกอดในวันที่มึงรู้สึกตัวคนเดียวไง แต่ตอนนี้มึงไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ มึงยังมีกู กูสัญญาว่ากูจะไม่มีวันทิ้งมึงเซียง”
ทันทีที่มันพูดจบ หัวใจผมก็เริ่มสั่นไหวจนเจ็บหน้าอกไปหมด หยดน้ำตาที่เอ่อล้นถูกปล่อยให้ไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้นผมซบหน้าลงอกแกร่ง ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นมาวางทาบโอบกอดตอบมันแผ่วเบา
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้ง ที่ผมยอมเผยความอ่อนแอในใจออกมา น่าแปลกเหมือนกันที่ผมกับไอ้คาลเพิ่งเจอกันได้ไม่นาน แต่ผมกลับมั่นใจในคำสัญญาของมันโดยง่าย แม้ผมกับพวกไอ้แคนจะสนิทกันมาก แถมยังรู้จักกันก่อนไอ้คาล แต่ผมกลับรู้สึกอุ่นใจเวลาที่อยู่ใกล้ไอ้คาลมากยิ่งกว่า ไม่ใช่ว่าอยู่กับพวกไอ้แคนแล้วผมไม่อุ่นใจนะครับ เวลาผมอยู่กับพวกมันก็รู้สึกดีเหมือนกัน แต่ต่างกันกับไอ้คาลตรงไหน ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ที่มั่นใจแน่ ๆ คืออยู่กับพวกไอ้แคนหัวใจผมไม่เต้นแรงต่างจากไอ้คาลที่ผมอยู่ใกล้มันทีไรหัวใจผมจะเริ่มสั่นแปลก ๆ และผมก็มั่นใจว่ามันเองก็คงไม่ต่างจากผมหรอก ทำไมผมถึงรู้น่ะหรอครับ ก็เพราะว่าตอนนี้หูของผมแนบอยู่กลางอกมัน ผมได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงหัวใจของมันกำลังเต้นโครมครามเสียงดังราวกับจะทะลุออกมา ความรู้สึกแปลกใหม่นี้มันเรียกว่าอะไรกันนะ?