“ว่าได๋จารย์ คึพากันมาช้าแท้” (ไงเพื่อน ทำไมมาช้าจังวะ"
ผมตะโกนถามไอ้เพื่อนรักทั้งสองที่มันเพิ่งโผล่หัวมาขณะที่ผมกับไอ้คาลนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงรอจนเสียงแหบเสียงแห้ง
“มีงานหยังบ่วะ รถติดบักคัก” (เขาจัดงานอะไรมั้ยวะ รถโคตรติด)
มันบ่นอุบก่อนจะวางของกินที่หอบมาจนเต็มมือลงบนโต๊ะอาหาร
“เพื่อนมึงเป็นอาจารย์หรอวะ”
“อาจารย์อิหยัง” (อาจารย์อะไร)
“ก็…เมื่อกี้มึงทักเพื่อนว่าจารย์”
“ฮ่า ๆ ๆ บักห่านี่มันคึตลกแท้วะ” (ไอ้หมอนี่แม่งโคตรตลกเลยว่ะ)
ไอ้แคนเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับจ้องมองไอ้คาลอย่างสำรวจ
“ป๊าดติโธ โตคึหล่อแท้ล่ะหมอ เป็นคนทางได๋” (โอ้โห นายโคตรหล่อเลยนะ เป็นคนที่ไหนหรอ"
“เอ่อ… ชะ เชียงใหม่ครับ”
ไอ้คาลเหมือนนั่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“สมพอเนาะ หน้าขาวมุนลุน เบิ่งผิวหนังมึงกะดี บ่แมนหนังตีนเนียนกว่าหนังหน้าบักปึ๊ดพุ่นเบาะ” (มิน่าล่ะ หน้าขาวผ่องเชียว ดูผิวก็ดี ไม่ใช่หนังตีนมึงเนียนกว่าหนังหน้าไอ้ปึ๊ดเลยหรอวะ"
“เอ้าบักห่าหนิ” (เอ้า ไอ้ห่านี่)
เพิ่งมาถึง ความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นเลยครับ ปวดหัวแทนไอ้คาลเลย
“เซา ๆ ฟ่าวเทแนวกินนั่นเป็นหยัง กูหิวจนไส้กิ่วแล้วหนิ” (พอ ๆ รีบเทกับข้าวได้แล้ว กูหิวไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย)
ผมรีบห้ามศึกก่อนที่พวกมันจะวางมวยกันเสียก่อน
“มึงสิบ่แนะนำหมู่คนไทยมึงแนเบาะ” (มึงจะไม่แนะนำเพื่อนมึงหน่อยหรอวะ)
ไอ้ปึ๊ดเอ่ยทักท้วงขณะเทอาหารที่หอบมาลงชามเปล่าที่ผมเตรียมเอาไว้
“เออ กูกะลืมตั้ว คาล บักห่านี่ซือปึ๊ดเด้อ แล้วกะบักห่านี่ซือแคน มันเป็นเสี่ยวกู แล้วกะอันนี่บักคาลเด้อ ที่กูเว่าสู่ฟังนั่นล่ะ” (เออ กูลืมไปเลย คาล ไอ้หมอนี่มันชื่อปึ๊ดนะ แล้วไอ้นี่ก็ชื่อแคน มันเป็นเพื่อนกู ส่วนนี่ไอ้คาลนะ ที่กูเล่าให้ฟังนั่นแหละ)
ผมรีบแนะนำอย่างเป็นทางการ ไอ้คาลมันดูเกร็ง ๆ อยู่บ้าง ไม่ให้เกร็งได้ไงล่ะครับ ก็เพื่อนผมเล่นจ้องมันซะขนาดนั้น
“สรุป…คำว่าเพื่อนมันต้องใช้คำว่าหมอ จารย์ หรือว่าเสี่ยววะ”
คำพูดของไอ้คาลเล่นเอาทั้งไอ้ปึ๊ดไอ้แคนขำพรืด แต่ผมชินกับมันแล้วล่ะครับ อย่างที่บอก ผมแทบจะเป็นเครื่องแปลภาษาส่วนตัวให้มันแล้ว
“ทั้งเสี่ยว ทั้งหมอ ทั้งจารย์ ทั้งหมู่ กะเป็นคำเอิ้นว่าเพื่อนเบิดนั่นล่ะ” (ทั้งเสี่ยว ทั้งหมอ ทั้งจารย์ ทั้งหมู่ ก็เป็นคำเรียกว่าเพื่อนทั้งหมดนั้นแหละ)
ผมหันไปตอบคลายความสงสัยให้มัน
“อ๋อออ~”
มันพยักหน้าตอบรับ
“เอ้าหนิ ลองซิมเบิ่งดู้เคยกินบ่” (ลองชิมดู เคยกินมั้ย)
ไอ้ปึ๊ดเลื่อนชามกับแกล้มส่งไปตรงหน้าพร้อมกับเทเหล้าขาวใส่แก้วเป๊กให้มัน
ไอ้คาลค่อย ๆ ใช้ช้อนจ้วงตักอาหารเข้าไปเคี้ยวตุ่ย ๆ ในปาก
เริ่มแรกมันก็ทำหน้าลำบากใจอยู่หรอก แต่พอกินเข้าไปแล้วมันก็ทำตาลุกวาวเป็นประกาย
“เป็นจังได๋ แซบบ่” (เป็นไงบ้าง อร่อยมั้ย)
“อื้อ แซบดี อันนี้มันคืออะไรหรอวะ”
“ผัดเผ็ดงูสิง”
แกร๊ง!!
อยู่ ๆ ไอ้คาลก็มือไม้อ่อน ช้อนที่กำลังตักงูสิงค้างไว้ถึงกับล่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง
“งะ งูหรอ”
ไอ้คาลทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วกออกมาจนผมต้องชี้หน้าขู่
“นั่น ๆ ๆ ห้ามฮาก เสียดายของ มันแฮงหายากอยู่ กลืนลงไป” (ห้ามอ้วก เสียดายของมันยิ่งหายากอยู่ กลืนลงไปเลย)
“บักห่าหนิ บ่ฮู่จักแนวแซบเด้หนิ” (เอ้าไอ้ห่า ไม่รู้จักของอร่อยใช่มั้ยเนี่ย")
ไอ้แคนพูดเสริมขึ้นมาอีกคน
มองดูก็สงสารมันอยู่หรอกครับ แต่ทำไงได้ของมันหายากนี่ ผมมองดูมันก็นึกสงสารจึงเลื่อนแก้วเหล้าส่งให้มันเพื่อล้างคอ แต่กลับกลายเป็นว่ามันกระดกเหล้าเข้าไปแล้วดันทำหน้าพะอืดพะอมหนักยิ่งกว่าเดิม
“อ้าาา!! เหล้าอะไรวะ บาดคอฉิบหาย”
“อย่าว่าเด้อว่าบ่เคยกินเหล้าขาว” (อย่าบอกนะ ว่ามึงไม่เคยกินเหล้าขาว)
ผมรีบชูขวดเหล้าสีน้ำตาลขึ้นให้มันดู มันเองก็ส่ายหน้าพัลวัน
“มึงผ่านชีวิตจนใหญ่มาปานนี่ได้จังได๋วะ” (มึงผ่านชีวิตจนโตมาขนาดนี้ได้ยังไงวะ)
ผมส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจ ไอ้นี่มันเคยทำอะไรบ้างวะ ผมรู้สึกเหมือนเข้าไปเปิดโลกมันมาก ชีวิตมันคงเพิ่งจะเจอกันความตื่นเต้นสินะ
พวกผมนั่งกินเหล้ากันต่อจนถึงเที่ยงคืน ยิ่งดื่มก็ยิ่งคึก เริ่มแรกไอ้คาลมันก็ดูเกร็ง ๆ อยู่หรอก แต่นานไปเหล้าในตัวก็ทำให้มันผ่อนคลายมากขึ้น ล่าสุดมันลุกขึ้นไปเต้นแล้งเต้นกาเป็นเพื่อนไอ้ปึ๊ดไอ้แคนแล้ว
เมื่อเริ่มดึก พวกผมก็เปลี่ยนจากเปิดเพลงเป็นดีดกีตาร์คลอเบา ๆ กีต้าร์ตัวนี้มันคือเครื่องดนตรีคู่ใจผม เรียกได้ว่าแบกติดตัวมาตั้งแต่อยู่บ้านนอกเลยล่ะครับ
“มาเหมื่อยแท้เบื่อสิคิดฮอด เฮ็ดได้แต่กอดเสาเถียง แนมไปกองเฟียงได้เห็นแต่หน้าขาว ๆ เมากะเมาพอตายยังเห็นแต่ภาพเก่า ๆ กูคิดฮอดเขา โอโอ้ย”
ผมร้องเพลงคลอเบา ๆ โดยมีไอ้คาลนั่งจ้องมองผมไม่วางตา มันน่าจะสนใจกีต้าร์ล่ะมั้ง
“เสาเถียงคืออะไรวะ”
เอาอีกแล้วบักห่าหนิ (เอาอีกแล้วไอ้นี่)
“เสาเถียงกะคือเสากระท่อมนี่ล่ะ”
“มึงดีดกีต้าร์โคตรเท่ สอนกูบ้างดิ”
“ฮันแน สิเอาไว้จีบสาวทางได๋” (ฮันแน จะเอาไว้จีบสาวทางไหนล่ะ)
ผมหันไปแซวมันอย่างล้อ ๆ
“แค่ดีดกีตาร์ เกี่ยวหรอวะว่าต้องเอาไปจีบใคร”
“เกี่ยวล่ะเนาะ” (เกี่ยวสิวะ)
“แล้ว…มึงดีดเอาไว้จีบใครวะ”
“โอ๊ยยย บักเซียงน่ะเบาะ มันกะเอาไว้จีบผู้สาวเบิดมหาลัยนั่นล่ะ” (ไอ้เซียงน่ะหรอ มันก็เอาไว้จีบสาวทั่วมหาลัยนั่นแหละ)
เป็นไอ้ปึ๊ดที่หันมาตอบคำถามแทนผม
“หรอ แล้วจีบติดบ้างปะ”
ไอ้คาลยังคงถามต่อ ตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของมัน
“ระดับอาจารย์เซียง สมัยปีนึงเด้อ กูว่าแมนมันสิได้ปั้นหำตาก”
“ฮะ!? อะไรคือปั้นหำตาก”
“มันเป็นคำเปรียบเทียบ ประมาณว่า หำเคียวแฮง แรดน่ะ สี่ไปทั่วนั่นล่ะ”
“ละ แล้วอะไรคือสี่ไปทั่ว”
“ฮ่า ๆ ๆ โอ๊ยยย!!! บักคาลน้อบักคาล”
พวกผมสามคนถึงกับฮาลั่นจนท้องขดท้องแข็งเมื่อเจอความใสซื่อของมัน
“สี้กะคือมีเพศสัมพันธ์กันน่ะแหมะ”
ผมหันไปอธิบายอีกที
“อ๋อออ~”
มันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้
“กูสิเว่าอันนึงสู่ฟัง มื่อเช้ากูไปเลาะหากินอยู่งานศพ หลวงพ่อเพินเลยให้ฝ่ายผูกแขนมาสี่อัน” (กูจะเล่าอะไรให้ฟัง ตอนเช้ากูออกไปหากินข้าวอยู่งานศพ หลวงพ่อแกเลยให้ด้ายผูกข้อมือมาสี่เส้น)
ผมหันไปบอกเพื่อน ๆ พร้อมกับยื่นด้ายผูกข้อมือให้พวกมันจนครบคน ฝ้ายผูกแขนตัวนี้เป็นสีเขียวสองเส้น สีม่วงสองเส้น ผมกับไอ้คาลได้สีม่วงมา ส่วนสีเขียวผมให้ไอ้ปึ๊ดกับไอ้แคนไปคนละเส้น
“ฝ่ายผูกแขนคึทรงขลังแท้วะ มีฮอดลูกประคำ” (ฝ้ายผูกแขนดูโคตรขลังเลยว่ะ มีลูกประคำด้วย)
ไอ้แคนชูฝ้ายผูกแขนขึ้นดูอย่างนึกชื่นชม
“ถือว่าได้ฤกษ์งามยามดีผูกแขนเป็นเสี่ยวกันเนาะเฮา” ( ถือว่าได้ฤกษ์งามยาวดีผูกแขนเป็นเพื่อนกันเนาะ)
ไอ้แคนหันไปคล้องคอไอ้คาลไว้หลวม ๆ อย่างสนิทสนม เป็นตาอยากหัวเนาะสู พ้อหน้ากันดั้มสามชั่วโมงกะผูกแขนเป็นเสี่ยวกันแล้ว (น่าตลกฉิบหาย เจอหน้ากันแค่สามชั่วโมงพวกมึงก็ผูกแขนเป็นเพื่อนกันซะแล้ว)
พวกผมต่างสลับกันผูกฝ้ายผูกแขนให้กันโดยมีไอ้คาลนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความพอใจ ไม่รู้มันดีใจอะไรนักหนา
“มักเบาะ” (ชอบหรอ)
ผมหันไปสะกิดถามมันเบา ๆ
“อื้อ ชอบ…ชอบมาก”
มันหันกลับมาตอบขณะที่จับจ้องมองมาที่ผมนิ่งทำให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่มันนั่งทำแผลให้ ไม่รู้ผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าไอ้หมอนี่มันซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในแววตา มันไม่ได้น่ากลัว แต่ผมก็แปลความหมายของแววตาคู่นี้ไม่ออก
“กูเข้าห้องน้ำแป๊บนะ”
ไอ้คาลว่าก่อนจะผละออกไป
ผมนั่งดูมันเดินห่างออกไปจนลับตา เมื่อแน่ใจว่ามันจะไม่ได้ยินแล้ว ผมจึงรีบเรียกไอ้ปึ๊ดกับไอ้แคนให้ขยับเข้ามาใกล้
“แมนหยังวะ” (อะไรวะ)
ไอ้แคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ยานคางด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“มื่อเช้ากูแลนล้ม” (เมื่อเช้ากูวิ่งล้ม)
“คึปึกตายแม่มึงแท้” (โง่ฉิบหาย)
“บักห่า อย่าฟ่าว กูยังเว่าบ่จบ แล้วบัดเทือหนิกูกะเลยหัวเข่าเหลิ่น” (ไอ้ห่า อย่าเพิ่งขัดสิ กูยังพูดไม่จบ แล้วทีนี้หัวเข่ากูถลอก)
ว่าแล้วผมก็ชันหัวเข่าขึ้นให้พวกมันดูประกอบคำพูด
“แล้วจังได๋บาดหนิ” (แล้วยังไงต่อ)
“ซุมสู…. เป่าให้กูแน” (พวกมึง...เป่าให้กูหน่อยดิ)
“ฮะ!? เป่าหาซะแตกหยัง หัวเข่าเด้ะบ่แมนเค้ก” (เป่าทำเหี้ยไร หัวเข่านะไม่ใช่เค้ก)
“เออน่าา~ อย่าถามหลาย กูบอกให้เป่ากะเป่าโลดเป็นหยัง” (อย่าถามมาก กูบอกให้เป่าก็เป่าเถอะน่า)
ผมยังคงคะยั้นคะยอให้พวกมันเป่าเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่พวกมันก็ยอมเป่าแผลให้ผมจนน้ำลายกระจายเต็มหัวเข่า
กูสิได้ติดเชื้อโรคตายมื่อนี่ล่ะ (กูจะได้ติดเชื้อโรคตายวันนี้แหละ)
ผมค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นไปทาบบนหน้าอกตัวเองแผ่วเบา แต่สิ่งที่พบกลับไม่ได้ทำให้ความสงสัยของผมถูกไขให้กระจ่างเลยแม้แต่น้อย ทำไมหัวใจของผมมันไม่เต้นแรงเหมือนตอนไอ้คาลเป่าให้วะ หรือว่ามันต้องพูดด้วย
“มึงลองเว่าคำว่า หายไว ๆ นะดู้ล่ะ” (มึงลองพูดคำว่า หายไว ๆ นะหน่อย"
ไอ้ปึ๊ดกับไอ้แคนหันไปมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะพูดออกมา
“หายไว ๆ เด้อ”
แปะ!!
“เออะ!! มึงตบหัวกูห่าสะแตกหยังบักห่าหนิ” (โอ๊ย!! มึงตบหัวกูทำไมวะไอ้ห่า)
ไอ้แคนลูบหัวปรอย ๆ เมื่อโดนฝ่ามือหนาของผมวาดลงที่หลังหัวเสียงดังลั่น
“กะยังว่า หายไว ๆ นะ สิมาหายไว ๆ เด้อหยัง เว่าใหม่” (กูบอกว่าหายไว ๆ นะ ไม่ใช่หายไว ๆ เด้อ พูดใหม่)
“เอ้า มันกะสิบ่คือกันน่ะเบาะ” (มันไม่เหมือนกันรึไงวะ)
“บ่คือ! เว่าใหม่” (ไม่เหมือน! พูดใหม่)
“ทำไรกันวะ”
ไม่ทันที่ไอ้แคนจะได้พูดประโยคที่ผมบีบบังคับ ไอ้คาลก็ดันเดินออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน
“กะบักเซียงนี่ล่ะ จักมันเสียเส้นหยัง อยู่ซือ ๆ มันกะอุ๊บ!!” (ก็ไอ้เซียงน่ะสิ ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร อยู่ดี ๆ มันก็ อุ๊บ!!)
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมจึงรีบปรี่เข้าไปเอามือปิดปากไอ้แคนไว้จนแน่นสนิท จนน้ำลายมายืดมาติดมือ
“สะ สูบ่พอกลับล่ะเบาะ สิตีหนึ่งแล้วเด้ กูหิวนอนล่ะหนิ” (พะ พวกมึงกลับได้แล้วมั้ง จะตีหนึ่งละนะ กูง่วงนอนแล้วเนี่ย)
ผมผละออกจากไอ้แคนก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงประเด็นสนใจ
“ถุย บักห่าหนิ มือมึงคือเค็มตายแม่มึงแท้” (ไอ้ห่านี่ มือมึงเค็มฉิบหาย)
“บ่เค็มจังได๋ กูเงียวบ่ทันล้างมืออยู่” (ไม่เค็มได้ไงล่ะ กูฉี่เสร็จยังไม่ทันล้างมือเลยเนี่ย)
“แหวะ!!”
ไอ้แคนรีบยกน้ำขึ้นมาบ้วนปากยกใหญ่ สมน้ำหน้า ใครบอกมึงอยากปากสว่างดีนัก ต้องเจออย่างงี้แหละ
“กลับกะกลับสั่น ไว้พ้อกันมื่อหน้า เอ้อ กูลืมบอก กูตีไก่ชนะตั๊ว คันมึงหาค่าเทอมบ่ทันมาเอานำกูก่อนเด้อ” (กลับก็กลับ ไว้เจอกันวันหลัง เอ้อ ลืมบอกไป กูพนันไก่ชนชนะ ถ้ามึงหาค่าเทอมไม่ทันมาเอากับกูก่อนก็ได้นะ)
ไอ้ปึ๊ดหันมาตบไหล่ผมเบา ๆ
“เออ ๆ ขอบใจหลายเพี่ยน คึดว่าสิพออยู่ดอก คันบ่พอจังได๋กูสิบอกเด้อ” (ขอบใจมากเพื่อน น่าจะพออยู่หรอก หรือถ้าไม่พอกูจะยืมมึงแล้วกัน)
ถึงชีวิตของผมจะเกิดมาในความโชคร้าย แต่มันก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่เสมอ ผมหอบกระเป๋าเข้ากรุงเทพมาตัวคนเดียวก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ได้มีเพื่อนรักทั้งสองที่มันดีกับผมมาก ๆ แล้วต่อไปก็คงจะเป็นเพื่อนรักทั้งสามแล้วล่ะเพราะรวมไอ้คาลเข้าไปด้วย