เวลาล่วงเลยมาถึงเลิกเรียน ดีหน่อยที่วันนี้มีเรียนไม่หนัก งานสบาย ๆ ผมเลยมีเวลาได้นอนเล่นเกมทำให้ความขุ่นมัวในจิตใจได้ลดลงบ้าง
ผมกลับมาถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นไอ้คาลมันกำลังบรรจงทำอะไรซักอย่างบนโต๊ะอาหาร
“เฮ็ดหยังวะ” (ทำอะไรวะ)
ผมเอ่ยถามขณะเดินตรงเข้าไปนั่งเก้าอี้แล้วถอดกระเป๋าคาดอกวางห้อยไว้ที่แขวนกระเป๋าติดผนัง
“มึงมาได้เวลาพอดีเป๊ะเลย กูปอกมะม่วงไว้ให้”
ว่าแล้วมันก็เลื่อนจานมะม่วงน้ำปลาหวานส่งมาตรงหน้าให้ผม
“คือมีบักม่วง มึงออกไปซื้อติ”
“อื้อ มึงเคยบอกว่าเวลาอารมณ์ไม่ดี ได้กินของเปรี้ยว ๆ ก็หายแล้ว กูเห็นเมื่อเช้ามึงอารมณ์เสียเลยออกไปซื้อเตรียมไว้ให้”
มันยังจำได้อีกติ ผมว่าแมนเคยเว่าคำนี่แต่คาวมันมาอยู่นำใหม่ ๆ พุ่น (นี่มันยังจำได้อีกหรอ ผมจำได้ว่าเคยพูดคำนี้ตั้งแต่สมัยมันย้ายมาอยู่ด้วยใหม่ ๆ)
“ลองชิมดู กูดูสูตรทำน้ำปลาหวานจากยูทูบ ไม่รู้จะถูกปากมึงหรือเปล่า”
ไม่ว่าเปล่าไอคาลหยิบชิ้นมะม่วงที่หั่นพอดีคำขึ้นมาจิ้มพริกน้ำปลาหวานแล้วนำมาจ่อที่ปากผม ผมจึงรีบคว้ามะม่วงมาถือไว้แต่มันก็ชักมือออกก่อน
“กูจะป้อน อ้าปากเร็ว”
บักห่าหนิ มือผมกะปกติดี บ่ได้เป็นง่อย จักมันสิป้อนเฮ็ดหยัง แต่ก็ตามใจมันเถาะครับ อยากป้อนกะป้อนโลด (ไอ้นี่ มือผมก็ปกติดีไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย ไม่รู้มันจะป้อนทำไม แต่ก็ตามใจมันเถอะครับ อยากป้อนก็ป้อนเถอะ)
ผมอ้าปากรับมะม่วงเปรี้ยวที่เคลือบไปด้วยพริกน้ำปลาหวานสูตรเด็ดเข้าไปเคี้ยวในปาก ถือว่ามีพัฒนาการนะเนี่ยฝีมือมันอร่อยขึ้นเป็นกองเลย
“เป็นไง แซ่บเปล่า”
“อือ แซบอยู่ ใซ่ได้” (อร่อยดี ใช้ได้)
ดูท่าจะเป็นคำตอบที่พึงพอใจ มันถึงได้ยกยิ้มจนแก้มแทบจะแตกขนาดนั้น
“แล้วมึงอารมณ์ดีขึ้นมั้ย”
มันเอ่ยถามขณะหยิบมะม่วงส่งมาให้ผมอีกชิ้น นี่มันกำลังเอาใจผมอยู่อย่างนั้นหรอ
“ดีขึ้นแล้ว เอ้าหนิ”
ผมว่าแล้วก็หยิบมะม่วงขึ้นป้อนให้มันคืนบ้าง ไอ้คาลมันไม่ได้ปฏิเสธอะไร แถมประคองมือผมไว้เบา ๆ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาเพื่อกัดมะม่วงในมือ แต่สายตากลับจ้องมองหน้าผมนิ่ง ทำเอาผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วแก้ม
“อะแฮ่ม ทำอะไรกันจ๊ะหนุ่ม ๆ”
เสียงมาก่อนตัว ทำเอาผมรีบผละออกจากไอ้คาลแล้วหันไปมองผู้มาใหม่
“นี่เจ๊มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าเอ่ย”
เจ๊ดาวว่าพลางมองผมกับไอ้คาลสลับกันไปมาอย่างจับผิด
“ขัดจังหวะอีหยัง มากินบักม่วงนำกันครับมา” (ขัดจังหวะอะไร มากินมะม่วงด้วยกันนี่มา)
ผมว่าแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ออกให้เจ๊แกนั่ง
“เอาเลยจ้าตามสบาย เจ๊แวะเอาตังค์มาให้น่ะ”
เจ๊ดาวว่าแล้วก็ควักเงินในกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูขึ้นมานับอย่างชำนาญ
“เงินค่าหยังครับหนิ” (ตังค์ค่าอะไรครับเนี่ย)
“เอ้า ก็ค่าหวยไง”
“ฮะ! ผมถึกเลขติ เลขออก 73 เบาะ” (ฮะ! ผมถูกหวยหรอ หวยออก 73 หรอ)
“ถูกหวย แต่ไม่ใช่ 73 ถูก 79 น่ะของพ่อคาลเขา”
เจ๊ดาวว่าแล้วก็ยื่นเงินให้จำนวนหนึ่ง
“ค่าหวย 480 ถูก 1,400 หักลบเหลือ 920 นี่จ้ะ”
เซ็งเลย ผมว่าแมนสิได้ถืกเลขคัก ๆ วะ (เซ็งเลย ผมนึกว่าจะถูกหวยเต็มซะอีก)
“เอ้าหนิ มึงเอาไป 200 พอ ที่เหลือกูคิดค่านายหน้า” ผมยื่นแบงค์ร้อยให้ไอ้คาลสองใบก่อนจะพับแบงค์ที่เหลือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง
“เจ๊ไปก่อนนะ ว่าจะรีบไปงานวัด เจ๊เปิดร้านสาวน้อยตกน้ำ แวะไปเล่นกันด้วยนะหนุ่ม ๆ”
ดูท่าแกน่าจะรีบจริง ๆ นั่นแหละครับ เพราะพูดจบแกก็รีบหอบกระเป๋าวิ่งออกไปเลย
“สะพอ กูได้ยินเสียงเครื่องไฟอยู่ตื้ม ๆ ไปอยู่เบาะเฮา”
(มิน่าล่ะ กูถึงได้ยินเสียงเครื่องไฟในงาน ไปไหมวะ”)
ผมหันไปเอ่ยชวนไอ้คาล
“งานวัด มันมีอะไรบ้างวะ”
“ฮะ!? อย่าว่าเถาะ มึงบ่เคยไปเล่นงานวัดติ” (อย่าบอกนะ ว่ามึงไม่เคยไปเล่นงานวัด)
“หื่อ ไม่เคย”
ไอ้คาลส่ายหน้าพัลวัน
ป๊าดดดด!! บักห่าหนิ ใหญ่จนหมาเลียดากบ่ฮอด ยังบ่เคยไปฮอดงานวัด แมนมึงไปอยู่ไสมา ไปลี่ในขวยกี่โป่มติ ฮึว่าหมุ่นอยู่ในกองขี้ควายคือกุดจี่ขี่
(โหหหห!! ไอ้นี่ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงอยู่แล้ว มันไม่เคยไปงานวัดจริงดิ นี่มึงไปอยู่ไหนมาวะ อยู่ในรูจี่โป่มหรืออยู่ในกองขี้ควายเหมือนกูดจี่)
“เอาซี่ มือนี่บ่ต้องเปิดร้าน กูสิพามึงไปเปิดหูเปิดตา แล้วมึงสิต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชีวิต ว่าครั้งหนึ่งชีวิตมึงได้ฮับความตื่นเต้นซำได๋” (งั้นเอางี้ วันนี้ไม่ต้องเปิดร้าน กูจะพามึงไปเปิดหูเปิดตา แล้วมึงจะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชีวิต ว่าครั้งหนึ่งชีวิตมึงได้รับความตื่นเต้นแค่ไหน)
ผมว่าพลางกอดอกเหยียดยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ที่ผ่านมาชีวิตกูยังตื่นเต้นไม่พออีกเหรอวะ มันยังมีอะไรที่ตื่นเต้นกว่านี้อีกเหรอ”
ไอ้คาลว่าด้วยน้ำเสียงที่ดูสิ้นหวัง เห็นแล้วก็โคตรตลกเลย ชีวิตมึงยังต้องเจออะไรอีกเยอะแล้วกูจะเปิดโลกมึงเองไอ้น้อง…