หลังจากตรวจอาการของซิ่วฮูหยินเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้สั่งให้บ่าวรับใช้พาท่านหมอจูไปส่งที่โรงหมอของเขา แต่ก่อนที่เขาจะออกจากเรือนไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้อีกฝ่ายช่วยเก็บเรื่องราวที่น่าอับอายของตระกูล ที่เขาได้พบเห็นในวันนี้ไว้เป็นความลับ ท่านหมอจูก็รับปากนางอย่างดีโดยมีหัวหน้ามือปราบหนุ่มเป็นพยาน
“ท่านแม่… ฮูหยินเป็นลมไปเช่นนี้แล้ว เห็นทีคงสอบสวนได้ไม่ง่ายนัก ลูกเห็นว่าพวกเราคุมขังอี๋นั่วเอาไว้ก่อน รอให้ฮูหยินอาการดีขึ้น แล้วเราค่อยสืบสวนเรื่องนี้ใหม่กันอีกคราได้หรือไม่ขอรับ” ใต้เท้าซิ่วเอ่ยขึ้นหลังจากที่ท่านหมอจูกลับไปแล้ว
“ผู้ใดจะเป็นลมก็เป็นไป แต่อี๋นั่ว…ข้าจะให้ท่านหัวหน้ามือปราบเป็นผู้สอบสวนนางเอง คนใกล้ตัวของเมียเจ้าเป็นผู้วางยาฆ่าแม่ เจ้าเป็นลูกยังจะทำใจเย็นอยู่ได้อีกรึ หรือว่า…แท้ที่จริงแล้วเป็นเจ้าเอง ที่อยากเห็นข้าตายไปสักคน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเสียงแข็งขึ้นมาทันใดเพราะรู้ทันแผนการของบุตรชาย ใต้เท้าซิ่วหน้าชาไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เพราะยิ่งพูดไปก็ยิ่งเข้าเนื้อตนเอง เขาจึงยินยอมปล่อยให้หัวหน้ามือปราบหนุ่มยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างไม่เต็มใจเท่าใด
ส่วนหลานชายทั้งสองคนก็ได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่กล้าแสดงความเห็นอันใดออกมาอีก ในเมื่อท่านย่ากล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว นั่นย่อมหมายความว่า นางต้องรู้ตัวอยู่แล้ว ว่าผู้ใดกันแน่ในจวนนี้ ที่ตั้งใจจะสังหารนางด้วยวิธีการที่ต่ำช้าอย่างการวางยาพิษ ซิ่วหวังและซิ่วจิ่วต่างก็รู้สึกหวั่นใจ ว่าผู้ร้ายตัวจริงคือมารดาของพวกตน
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดวางใจ เรื่องนี้ผู้น้อยจะสอบสวนออกมาอย่างเป็นธรรมที่สุด” เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่จะหันไปสนใจสาวรับใช้ที่ก้มหมอบอยู่บนพื้น ตัวนางสั่นเทาราวกับเป็นลูกนกที่พลัดหลงจากฝูง
“แม่นางอี๋นั่ว เหตุใดเจ้าถึงได้วางยาฮูหยินผู้เฒ่า รู้หรือไม่ว่าบ่าวคิดสังหารเจ้านายมีโทษเยี่ยงไร”
น้ำเสียงที่เย็นชาฟังดูช่างเหน็บหนาวภายในจิตใจดังขึ้นจากริมฝีปากของหัวหน้ามือปราบหนุ่มรูปงาม แม้เขาจะยังเยาว์วัยแต่ทว่าน้ำเสียงของเขากลับทรงพลังจนทำให้ผู้ที่มีความผิดติดตัวรู้สึกหวาดผวาไปตามๆ กัน แม้แต่ใต้เท้าซิ่วเองก็ไม่เว้น จู่ๆ เขาก็นึกหวาดระแวงเกรงว่า หัวหน้ามือปราบหนุ่มผู้นี้จะล่วงรู้เรื่องราวในอดีตที่เขาเคยทำเอาไว้ขึ้นมา
“เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะตำหนินายหญิงอยู่บ่อยๆ บางคราก็ตำหนิต่อหน้าคุณชายทั้งสอง บางคราก็ตำหนิต่อหน้าบ่าวรับใช้ ทำให้นายหญิงรู้สึกอับอายที่ถูกตำหนิ และคิดแค้นเคียงที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ไว้หน้าตนที่เป็นถึงผู้ดูแลเรือนหลัง ในภายภาคนายหญิงเกรงว่า หากคุณชายทั้งสองแต่งสะใภ้เข้าจวนมา แล้วพวกนางได้พบเห็นว่าแม่สามีของพวกนางถูกฮูหยินผู้เฒ่ากดขี่ จะพากันหัวเราะเยาะพาลไม่นับถือนางเอาได้"
"นางจึงวางแผนให้บ่าวไปหาซื้อยาสมุนไพรมาจากท่านหมอข้างนอกเมือง ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้หากกินไปนานๆ เข้า จะมีผลเป็นพิษสะสมในร่างกาย หากฮูหยินผู้เฒ่าเกิดสิ้นใจก็ไม่อาจสามารถตรวจสอบได้ ว่าสาเหตุเกิดมาจากยาสมุนไพรเหล่านี้ ที่ผ่านมานายหญิงสั่งให้บ่าวใส่ยาสมุนไพรลงไปในอาหารของฮูหยินผู้เฒ่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครั้นเห็นว่าคุณหนูชิงเหมยมาเยือน นางจึงคิดจะโยนความผิดนี้ให้คุณหนูเลยสั่งให้บ่าวเพิ่มปริมาณยาลงไปในอาหารของฮูหยินผู้เฒ่า เพราะถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นใจในยามนี้ ผู้ที่น่าสงสัยก็คงจะหนีไม่พ้นคุณหนูชิงเหมย"
พูดจบอี๋นั่วก็ก้มหน้าลงมองยังพื้น นางไม่กล้าสบตากับผู้ใดโดยเฉพาะกับนายท่าน นางเลือกที่จะไม่ซัดทอดไปถึงนายท่าน เพราะหวังว่าเขาจะมีเมตตาต่อนางบ้าง ถึงนายหญิงจะไม่เคยบอกว่านายท่านเห็นชอบกับเรื่องที่นายหญิงทำลงไปหรือไม่ แต่นางก็พอจะเดาได้ว่าถ้าหากนายหญิงไม่ได้รับความยินยอมจากนายท่าน นายหญิงคงจะไม่กล้าลงมือกระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
คำสารภาพของอี๋นั่วทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับตัวสั่นด้วยความโมโห เหตุผลที่ลูกสะใภ้คิดจะเข่นฆ่าเอาชีวิตนาง เหตุใดถึงเกิดจากเรื่องที่เล็กน้อยเช่นนั้น ที่นางพร่ำบ่นสั่งสอนก็เพราะอยากให้นางเป็นแบบอย่างให้กับลูกสะใภ้ในภายภาคหน้าเท่านั้น นี่ความหวังดีของนาง กลับย้อนมาทำร้ายตัวนางเองหรือนี่
“เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นั้น กลับทำให้คนเรากลายเป็นอสุรกายได้เชียวรึ ซิ่วหวง… เจ้ารู้เห็นกับการกระทำของเมียเจ้าหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวพลางหันไปเอ่ยถามบุตรชายออกมาด้วยความปวดใจ น้ำเสียงของนางผู้ใดได้ยินก็พอจะรู้สึกได้ ว่าภายในใจของนางนั้นรวดร้าวเพียงใด
“ขะ…ข้าไม่ทราบเรื่องนี้ขอรับท่านแม่ นางไม่เคยบ่นให้ข้าฟังในเรื่องที่นางรู้สึกคับข้องใจ แต่ท่านแม่…ถึงเยี่ยงไรแล้ว นางก็เป็นมารดาของหวังเอ๋อร์และจิ่งเอ๋อร์ ท่านคงจะไม่คิดลงโทษนางด้วยความตายใช่หรือไม่ขอรับ”
ใต้เท้าซิ่วรีบปฏิเสธออกมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะถามมารดาราวกับต้องการขอความเมตตาให้แก่ภรรยา คราแรกที่ได้ยินสามีปฏิเสธเพื่อเอาตัวรอด โม่หลันนั้นนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจแล้ว ครั้นได้ยินเขาขอความเมตตาให้แก่นางเช่นนี้ ผู้ที่แสร้งเป็นลมอยู่ก็พลอยสบายใจขึ้น
“หึ!! เพราะข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้เห็นความผิดของเมียเจ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ท่านใต้เท้าเยว่ โทษของผู้ที่คิดฆ่าแม่สามีคือสิ่งใด” ฮูหยินผู้เฒ่าสบถออกมา ก่อนที่จะหันไปถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงถามหัวหน้ามือปราบหนุ่มถึงโทษของสตรีที่คิดสังหารแม่สามี
“สถานเบาคือแขวนคอ สถานหนักคือเฉือนเนื้อเลาะกระดูกขอรับ” เยว่อู๋ชางตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจนผู้ที่แสร้งเป็นลมอยู่ถึงกับขนลุกไปทั่วทั้งตัว โทษของการลอบสังหารแม่สามีมันน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วนางจะทำเช่นไรดี
“ทะ…ท่านแม่ โปรดให้อภัยลูกสะใภ้ด้วย ลูกสะใภ้หูตามืดบอด คิดเรื่องชั่วช้าไปโดยที่ไม่คิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลัง” ซิ่วฮูหยินผุดลุกขึ้นจากเตียงทันที จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า อีกทั้งยังอ้อนวอนสตรีตรงหน้า
“ฟื้นได้เสียที… ข้านึกว่าเจ้าจะอยู่เฝ้ายมบาลแทนข้าเสียแล้ว” ผิงหลันพูดจาเหน็บแนมลูกสะใภ้ หากไม่กล่าวถึงโทษหนักๆ เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะยังเสแสร้งแกล้งเป็นลมต่อไป
ชิงเหมยมองการแสดงของคนในตระกูลซิ่วราวกับเป็นเรื่องตลก นึกเห็นใจฮูหยินผู้เฒ่าที่รอบกายของนาง มีแต่ผู้ที่ไม่จริงใจ แม้แต่บุตรชายแท้ๆ ก็ยังคิดเข่นฆ่านางได้ลงคอ นับประสาอันใดกับหลานสาวที่ถูกทอดทิ้งเช่นนาง มีหรือที่ใต้เท้าซิ่วจะไม่กล้าลงมือ แต่ถึงอีกฝ่ายคิดจะลอบสังหารนาง ก็คงมิใช่เรื่องง่ายนัก เพราะนางมิใช่เด็กสาวที่อ่อนแอหรือเปราะบางอย่างเช่นที่ทุกคนเข้าใจ