ณ คฤหาสน์หรูกลางกรุงของตระกูล’จอมแก้วตะการ’ ตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากข้าราชชั้นผู้ใหญ่ วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะแขกที่มาเยือนเป็นถึงเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ระดับต้นๆของเมืองไทย ภายในห้องรับแขกหรูคุณโชติและคุณหญิง อรสานั่งหน้าตายิ้มแย้ม ถัดมาจากคุณหญิงอรสาเป็นหญิงสาวร่างสมส่วนผิวขาวหน้าสวยหวานที่นั่งเงียบ แต่ในตาหวานแอบเขินอายทุกครั้งที่ได้สบตากับตาคมฝั่งตรงข้าม คุณชาตรีและคุณเกตุแก้วนั่งหน้าตาสดชื่นแจ่มใสเช่นกัน ถัดมาจากคุณเกตุแก้ว เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายในตาดุที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับเพียงคนเดียวในห้องนี้ ถ้าจะมีใครสังเกตสักนิดจะเห็นว่าในตาคมคู่นี้เหลือบมองนาฬิกาข้อมืออยู่บ่อยครั้ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้วเอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะคะคุณพี่ น้องจะให้หนูแอ้กับตาพุฒิหมั้นหมายกันไว้ก่อน"คุณเกตุแก้วเอ่ยทำลายความเงียบ "พี่ก็ไม่ติดขัดอะไรหรอกค่ะ ยายแอ้ก็โตแล้วเรื่องแบบนี้ พี่คงต้องแล้วแต่ลูกค่ะ"คุณหญิงอรสาตอบกลับ "ถ้ายังไงวันนี้ผมขอตัวกลับเลยนะครับ เรื่องที่คุยไว้ก็ตกลงตามนี้นะครับ"คุณชาตรีเอ่ยขอตัวหลังจากเจรจาเสร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้ "รีบไปไหนกันครับนานๆได้เจอกันทีอยู่ทานข้าวกลางวันด้วยกันเลยนะครับ"คุณโชติเอ่ยชวนแขกให้อยู่ต่อเมื่อเริ่มคุยกันถูกคอ "ดีเลยค่ะ วันนี้ยายแอ้ลงครัวเองเห็นบอกว่าตาพุฒิชอบทานแกงส้มชะอมไข่ ยายแอ้แกเตรียมเครื่องรอตั้งแต่เมื่อวาน แล้วค่ะ"คุณหญิงอรสาเอ่ยสมทบเพราะนางนึกสงสารลูกสาว "คุณแม่คะ"พิมพ์มาดาหรือยายแอ้ที่ใครๆเรียกเอ่ยขัดคุณหญิงอรสาก่อนที่นางจะทำให้เจ้าตัวได้อายไปกว่านี้ แก้มสาวมีสีเลือดฝาดจางๆปรากฏบนใบหน้า "ผมขอตัวนะครับ"น้ำเสียงเข้มออกอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจนอย่างที่เจ้าตัวไม่คิดจะเก็บอารมณ์เอ่ยขัดขึ้น "ตาพุฒิจะรีบไปไหนลูกเสียมารยาทจริงๆ คุณลุงอุตส่าห์ชวนทานข้าว แล้วดูสิหนูแอ้ก็ทำของชอบไว้ให้ด้วย"คุณเกตุแก้วหันไปดุลูกชายเพียงคนเดียวที่ใครๆก็รู้ถึงกิติศัพท์เรื่องความเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าตาพุฒิติดธุระก็กลับไปก่อนก็ได้ แต่ยังไงคงต้องรบกวนคุณชาตรีกับคุณเกตุทานด้วยกันนะคะ" คุณหญิงอรสาเอ่ยตัดบท ทำไมนางจะดูไม่ออกว่าชายหนุ่มที่เป็นหัวข้อสนทนาออกอาการเบื่อหน่ายขนาดไหน สายตาคนอาบน้ำร้อนมาก่อนสังเกตไม่ยากเลย มีเพียงก็แต่หญิงสาวคนเดียวในนี้เท่านั้นที่ไม่สังเกตอะไรเลย "ถ้าอย่างนั้นผมลาเลยนะครับ คุณลุง คุณป้า"พูดพร้อมยกมือไหว้ผู้ใหญ่แบบรีบร้อนเหมือนกลัวจะมีใครเปลี่ยนใจให้ต้องอยู่ต่อ "ยายแอ้เดินไปส่งพี่เขาสิลูก"คุณหญิงอรสรเอ่ยกับบุตรสาว "ค่ะคุณแม่ แอ้ขอตัวสักครู่นะคะคุณอา"พิมพ์มาดาหันไปบอกผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วเดินตามชายหนุ่มออกไป "จะไหวไหมคะคู่นี้"คุณหญิงอรสาพูดขึ้นหลังจากคนทั้งสองลับหลังไปแล้ว คุณโชติและคุณชาตรีได้แต่เงียบ "น้องขอโอกาสให้ตาพุฒิได้ไหมคะ น้องรู้ว่าทางคุณพี่ไม่ค่อยมั่นใจคนของน้อง แต่น้องคิดว่าตาพุฒิต้องรักหนูแอ้เข้า สักวัน คนอย่างตาพุฒิก็เหมาะแล้วค่ะที่จะได้หนูแอ้มาดูแล"คุณเกตุแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมขอร้อง "นานแค่ไหนคะกว่าตาพุฒิจะรักยายแอ้ จริงๆพี่ก็ไม่ติดขัดนะคะเพราะดูๆแล้ว ยายแอ้เองก็คงมีใจให้ตาพุฒิไม่น้อย แต่พี่ก็ไม่อยากให้ลูกเสียใจค่ะ"คุณหญิงอรสรกล่าวพร้อมกับลอบถอนใจ …………………………………………………………………… ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์หนุ่มสาวที่เป็นหัวข้อสนทนาของวันนี้ยืนแทบจะหันหลังให้กัน "แอ้ขอโทษนะคะพี่พุฒิที่ทำให้พี่พุฒิอึดอัด แล้วแอ้จะเรียนคุณพ่อคุณแม่นะคะ เรื่องหมั้น…"หญิงสาวหยุดคำพูดไว้ แค่นั้น เมื่อหันมาสบกับตาคม "แอ้ก็รู้นี่ครับว่าพี่มีคนรักอยู่แล้ว เรารักกันตั้งแต่อยู่ที่อเมริกา แต่ไม่รู้ทำไมพ่อกับแม่พี่ถึงไม่สนใจ"ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย "แอ้ทราบค่ะ"พิมพ์มาดาเอ่ยได้เท่านี้เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว "ไว้แอ้จะคุยกับท่าน พี่พุฒิสบายใจเถอะค่ะยังไงงานหมั้นก็ยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้หรอกค่ะ" "มันไม่ควรเกิดครับ งานหมั้นระหว่างเราจะไม่เกิดขึ้นครับ ถ้าแอ้ช่วยพี่" "ให้แอ้ช่วยอะไรคะ"คำถามเบาหวิวแทบจะไม่พ้นริมฝีปากคู่สวย เอ่ยถามเขาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว "พี่ก็ยังคิดไม่ออกครับ เอาไว้พี่คิดได้จะบอกอีกที พี่ไปก่อนนะครับ"ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับก้มมองนาฬิกาเรือนหรู อีกครั้ง "สวัสดีค่ะ…พี่พุฒิ"พุฒิพัฒน์ไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยคำลาจบ รถสปอร์ตคันหรูก็แล่นออกไปด้วยความเร็วสูงสมกับสมรรถนะของมัน ร่างบางมองตามรถที่แล่นไปด้วยหัวใจที่หนักอึ่ง นี่เหรอพี่พุฒิของเธอผู้ชายคนที่เธอคิดถึงตลอดเวลา ไม่ว่านานแค่ไหนเธอก็รอเขามาตลอด คนที่เธอหวังจะฝากชีวิตไว้กับเขา หญิงสาวเดินกลับเข้ามาในบ้านในขณะที่แขกและเจ้าของบ้านย้ายกันไปคุยต่อที่ห้องรับประทานอาหาร "ตาพุฒิกลับไปแล้วเหรอลูก"คุณหญิงอรสาเอ่ยถามทันทีที่ร่างบางเดินมาถึง "ค่ะคุณแม่พี่พุฒิมีประชุมช่วงบ่ายค่ะ"ตอบแบบไม่เต็มเสียงนักเพราะไม่ถนัดกับการโกหก "เอาล่ะๆมาทานข้าวเลยยายแอ้ คุณอารอนานแล้ว" คุณโชติกล่าวตัดบท เพราะสังเกตจากสีหน้าความลำบากใจของลูกสาว ทั้งหมดลงมีรับประทานอาหารเงียบๆมีแต่คุณหญิงอรสา และคุณเกตุแก้วที่คุยกันต่อถึงเรื่องอาหารบนโต๊ะ คุณอรสาบอกด้วยหน้าตายิ้มแย้มถึงฝีมืองานครัวของบุตรสาว ต่างจากคนที่ถูกเอ่ยถึงบ่อยๆที่ทำหน้าตาแบบไร้ความรู้สึก จะมีก็เพียงรอยยิ้มน้อยๆที่ยิ้มตอบมาเป็นการขอบคุณหลังจากได้รับคำชม