ตอนที่ 3 เด็กข้างทาง
รถแล่นมาตามทางเรื่อย ๆ กลางคืนในเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหลยังคงเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสว การจราจรก็หนาแน่นแทบจะไม่ต่างกับตอนกลางวัน เผลอ ๆ ในค่ำคืนวันศุกร์อย่างวันนี้ รถบนท้องถนนดูจะมากกว่าตอนกลางวันเสียด้วยซ้ำ
ไต้ฝุ่นยกแขนวางข้อศอกลงกับขอบหน้าต่างรถ เอนศีรษะลงบนมือหนาที่ยกขึ้นมาประคองไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดูความวุ่นวายในเมืองใหญ่แห่งนี้ จนรถเลี้ยวเข้าถนนสายรองที่การจราจรไม่ค่อยพลุกพล่าน และไม่ค่อยมีแหล่งท่องเที่ยว ทำให้บริเวณนี้ผู้คนบางตากว่าจุดที่เขาผ่านมาเมื่อกี้อยู่มาก
“ไอ้พัด! จอดรถก่อน”
จู่ ๆ เสียงทุ้มเข้มก็เอ่ยบอกลูกน้องให้จอดรถกะทันหัน
“นายมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ถอยกลับหลัง ช้า ๆ นะ”
“ครับนาย”
พัด ลูกน้องคนสนิทเปลี่ยนเกียร์แล้วถอยหลังช้า ๆ ตามที่ผู้เป็นเจ้านายสั่ง เมื่อมองทางกระจกส่องหลัง พัดก็เห็นว่าที่ริมฟุตบาทหน้าป้ายรถเมล์เล็ก ๆ ที่พึ่งผ่านมาเมื่อกี้ มีใครบางคนนั่งก้มหน้าอยู่
“จอดตรงนี้แหละ”
“ครับนาย”
ไต้ฝุ่นสั่งให้พัดจอดรถที่หน้าป้ายรถเมล์ ตรงจุดที่มีคนนั่งอยู่ ความสว่างจากไฟที่มีไม่กี่ดวงในบริเวณนั้นทำให้พอรู้ได้ว่า คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่นั้นเป็นผู้หญิง
“น่ารักฉิบหาย”
เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของเขาทันทีที่เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมโตรับกับผมสั้นสีดำสนิท ผิวขาวขนาดที่อยู่ในที่ไฟสลัว ๆ ยังเด่นชัด
ไต้ฝุ่นเปิดประตูเพื่อที่จะลงจากรถ ทำให้ลูกน้องต้องเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“นายจะไปไหนครับ”
“ก็จะลงไปดูไง เผื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ”
เขาตอบแค่นั้นก็เปิดประตูก้าวขาลงไปยืนอยู่ด้านหน้าของหญิงสาวทันที
“คุณเป็นใคร เป็นโจรเหรอ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่มีอะไรให้คุณปล้นหรอก เพราะไอ้พวกก่อนหน้าปล้นไปหมดแล้ว ฮึก ฮึก ฮือ...”
ยังไม่ทันที่ไต้ฝุ่นจะได้พูดอะไร เธอก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน แถมยังปล่อยโฮร้องไห้เสียงดังอีก
“เฮ้ย! เดี๋ยว เดี๋ยว เธอจะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่โจร”
“ฮึก ถ้าไม่ใช่โจร แล้วคุณต้องการอะไร”
คนที่นั่งร้องไห้หยัดตัวลุกขึ้นยืน ไต้ฝุ่นถึงได้เห็นว่าเธอตัวเล็กมาก ความสูงแค่หน้าอกของเขาเท่านั้น ยัยนี่เป็นเด็กประถมหรือยังไง
“ฉันไม่ได้ต้องการอะไร เห็นเธอนั่งอยู่ คิดว่าน่าจะต้องการความช่วยเหลือ”
“ฮึก ฮือ...”
พอได้ยินไต้ฝุ่นพูด เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก คนตัวโตได้แต่ยืนทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะทำยังไงให้ยัยตัวเล็กนี่หยุดร้องไห้ดี แล้วไอ้ผู้ชายอย่างเขามันถนัดแต่ใช้กำลังเสียด้วยสิ
“ยังจะร้องอีก ยัยเตี้ย คนเริ่มมองแล้วเห็นไหม”
สายตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ ผู้คนที่ผ่านไปมาแม้จะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สายตาทุกคู่ก็หันมามองทางเขาอย่างพร้อมเพรียง
“โธ่เว้ย งั้นก็ตามมานี่”
เมื่อถามอะไรเธอก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ไต้ฝุ่นจึงดึงแขนคนตัวเล็กให้ตามตัวเองเข้ามานั่งในรถ
“นายครับ ลักพาตัวลูกสาวคนอื่น คุกนะครับ”
“ไอ้เหี้ยพัด กูไม่ได้ลักพาตัว ออกรถได้แล้ว อย่าพูดมาก”
ลูกน้องขับรถออกไปตามคำสั่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลได้แต่เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังร้องไห้ไม่หยุด
“เอาล่ะ ยัยเตี้ย เธอหยุดร้องได้แล้ว บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“บ้านอยู่อุดรธานีค่ะ”
พอได้ยินคนตัวโตถาม เธอจึงเงยหน้าขึ้นมาตอบ แต่คำตอบของเธอทำเอาไต้ฝุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แทบจะหัวคะมำกระแทกกับเบาะด้านหน้า
“ฉันหมายถึงที่พักของเธอในกรุงเทพฯ ไกลถึงอุดรฯ ใครจะไปส่งเธอ”
“ฮึก ฮือ...”
จู่ ๆ เธอก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้ย! บอกว่าให้หยุดร้อง นี่ฉันชักจะรำคาญเธอแล้วนะ จะให้ไปส่งที่ไหนก็บอกมา”
“ก็หนูไม่มีที่พักในกรุงเทพฯ นี่ ก็เลยไม่รู้จะให้ไปส่งที่ไหน”
จากที่บ่น ๆ ใส่คนตัวเล็ก ไต้ฝุ่นก็เงียบลง ดูท่าเด็กคนนี้คงจะกำลังเจอปัญหาบางอย่าง
“ไม่มีที่พัก แล้วเธอมานั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ได้ยังไง”
เขาถามเธออีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบาลงกว่าเมื่อกี้
“หนูพึ่งมาถึงกรุงเทพฯ วันนี้เอง ตั้งใจจะมาหางานทำ มาถึงตั้งแต่ตอนเช้า เดินหางานไปทั่วแล้วก็ยังไม่ได้งาน เดินจนเหนื่อย ก็เลยนั่งพักที่ป้ายรถเมล์เมื่อกี้ แต่ว่า มีผู้ชายสองคนมาจากไหนไม่รู้ มาปล้นเอาของที่หนูติดตัวมาไปหมดเลย ฮือ..”
เธออธิบายเหตุผลให้เขาฟัง จบแล้วก็ปล่อยโฮร้องไห้อีกครั้ง ไต้ฝุ่นทำได้แค่เพียงยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง เสียงร้องไห้นี่น่ารำคาญชะมัด แต่จะให้ทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่ได้เสียด้วยสิ
“ตกลง เราจะเอายังไงดีครับนาย” ผู้เป็นลูกน้องถามขึ้นอีกครั้ง
“จะเอายังไงได้วะ ก็ต้องพากลับบ้านไปด้วยดิ หรือมึงจะให้ปล่อยยัยเด็กนี่ไว้ข้างทาง”
มันเป็นหนทางเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ ขืนถ้าปล่อยเธอลงกลางทาง มีหวังรอบนี้คงไม่ได้โดนปล้นแค่ข้าวของแน่ ๆ ความน่ารักขนาดนี้ ตัวเล็กแต่มีเนื้อหนังน่าฟัด โชคดีแค่ไหนที่ไอ้โจรสองคนแรกไม่ได้ลากเธอไปด้วย
///////
“โห..นี่เรียกว่าบ้านเหรอเนี่ย ป้าด..คือมาใหญ่คักแท้”
สาวน้อยใช้ดวงตากลมโตของตัวเองสำรวจไปทั่วบริเวณห้องรับแขกที่ไต้ฝุ่นพาเธอเข้ามา เสียงเล็ก ๆ ที่พูดภาษาไทยปะปนกับภาษาบ้านเกิดของตัวเอง ทำเอาคนตัวโตที่ฟังไม่รู้เรื่องขมวดคิ้วเข้าหากัน
“เธอช่วยพูดภาษาที่ฉันเข้าใจจะได้ไหม คืนนี้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“ขอโทษค่ะ พอดีหนูตื่นเต้นไปหน่อย ไม่เคยเห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แล้วก็ขอบคุณมากนะคะคุณ”
คนตัวเล็กกล่าวขอโทษแล้วก็พูดขอบคุณพร้อมกัน ไม่แค่นั้น เธอยังส่งรอยยิ้มน่ารักให้เขาอีก บ้าฉิบ..ยัยนี่น่ารักเกินไปแล้ว เขาได้แต่คิดในใจ
“เดี๋ยวฉันให้คนจัดห้องนอนให้”
“ไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะคุณ หนูนอนโซฟาก็ได้”
“ที่นี่บ้านฉัน จะมานอนเรี่ยราดได้ยังไง”
ไต้ฝุ่นได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรืออะไรทำให้เขาต้องมาเจอกับเด็กคนนี้ แต่ในเมื่อพามาแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้
เขาสั่งให้แม่บ้านจัดที่นอนในห้องเล็กให้เธอพร้อมกับเสื้อผ้าที่พอใส่ได้ ก็เธอนั้นเหลือแต่ตัวกับเสื้อผ้าชุดเดียว
รุ่งเช้า
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ทำเอาคนตัวเล็กที่กำลังหลับสบายเอามือขยี้ตาตัวเองไปมา บิดไล่ความขี้เกียจออกจากร่างกาย แล้วก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู
“คุณน้า มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าหนูจะต้องออกไปจากบ้านหลังนี้แล้ว”
เสียงเล็กเอ่ยถามด้วยความกังวล ถ้าเธอโดนเจ้าของบ้านไล่ แล้ววันนี้จะไปอยู่ที่ไหน
“เปล่าค่ะ พอดีนายท่านให้มาเรียกคุณลงไปทานอาหารเช้าด้วยกันค่ะ อีกสิบนาทีจะถึงเวลาอาหารเช้าแล้วค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ ๆ เดี๋ยวหนูรีบอาบน้ำตอนนี้เลยค่ะ”
เธอตอบทันควัน แล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัว ดีหน่อยที่เป็นเธอเป็นคนง่าย ๆ ไม่ได้จำเป็นต้องบำรุงผิวพรรณอะไรมาก อาบน้ำสระผมแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว
สิบนาทีพอดิบพอดี ร่างเล็กก็เดินมาถึงห้องทานข้าวที่คุณแม่บ้านบอกเอาไว้ แล้วก็เห็นผู้ชายคนที่ช่วยเธอเอาไว้เมื่อคืนนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะก่อนแล้ว
“ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะคะ”
เธอก้มหัวพร้อมกับกล่าวคำขอโทษ ไต้ฝุ่นปรายสายตามามองเล็กน้อยก่อนที่จะบอกให้เธอนั่งลง
“กินได้หรือเปล่า” เขาเอ่ยถามคนที่เอาแต่นั่งจ้องอาหารเช้าสไตล์อเมริกันแน่นิ่ง
“กินได้ค่ะ หนูเป็นคนกินง่าย ๆ แค่ไม่เคยเห็นแบบนี้ ก็เลยจ้องนานไปหน่อยค่ะ”
เสียงเล็กตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มไร้เดียงสา ทำเอาไต้ฝุ่นต้องเบือนหน้าหนีไม่อยากจะเห็นรอยยิ้มนั้น
...บ้าจริง..ยัยเด็กเตี้ยคนนี้กำลังทำให้ใจเต้นแรง..
“เธอชื่ออะไร”
ระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้า ไต้ฝุ่นก็เอ่ยถามเธอขึ้น ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเธอด้วยซ้ำ
“ชื่อ วันวิสา ค่ะ หรือจะเรียกว่า วิสา ก็ได้” เธอตอบคำถามทั้งที่ยังเคี้ยวไส้กรอกจนแก้มตุ่ย
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อ ให้ฉันไปส่งที่สนามบิน หรือสถานีขนส่งไหม ฉันซื้อตั๋วให้ได้นะ เธอจะได้กลับบ้าน มาเร่ร่อนอยู่ในกรุงเทพฯ ตัวคนเดียว มันอันตราย”
ไต้ฝุ่นพูดกับวิสาโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง เขาจึงไม่สังเกตเห็นดวงตากลมโตที่เศร้าลง
“คุณไปส่งหนูที่ไหนก็ได้ค่ะ หนูไม่อยากจะกลับอุดรฯ หนูอยากจะหางานทำแล้วก็ส่งเงินให้ที่บ้านใช้”
น้ำเสียงเศร้า ๆ ที่ออกมาทำให้คนตัวโตต้องเงยหน้าขึ้นมาดู ในตอนนี้เองที่เขาเห็นว่าดวงตากลมโตคู่นั้นมีน้ำใสเอ่อคลออยู่
“ที่บ้านเดือดร้อนเรื่องเงินเหรอ”
ไต้ฝุ่นวางส้อมกับมีดหั่นอาหารลงบนจาน แล้วถามวิสาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็นิดหน่อยค่ะ หนูก็เลยอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน เลยเลือกที่จะเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ”
“แล้วเธออายุเท่าไหร่ เรียนจบอะไรมา เผื่อฉันมีงานให้เธอทำ”
“อายุ 17 จะ 18 ปีนี้ค่ะ เรียนจบแค่ ม.6”
เมื่อได้ยินคำตอบ ทำเอาคนถามที่กำลังดื่มน้ำอยู่แทบจะสำลักพ่นน้ำออกมาทางเดิม ทีแรกก็คิดว่าดูเด็กเพราะตัวเธอเล็ก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเด็กขนาดนี้
“พรากผู้เยาว์ คุกนะครับนาย”
เป็นเสียงของนายพัด ลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วเขยิบตัวมากระซิบข้างหูผู้เป็นนาย เพราะความสนิทมากกว่าลูกน้องทั่วไป แค่ประโยคแรกที่ไต้ฝุ่นพูดตอนเจอวิสาครั้งแรก ก็ทำให้นายพัดรู้แล้วว่านายตัวเองคิดอะไรอยู่
“ไอ้พัด มึงจะไปไหนก็ไป กวนประสาทแต่เช้า”
เสียงทุ้มกัดฟันพูดอยู่ในลำคอไล่ลูกน้องออกไปให้พ้นหูพ้นตา
“อายุแค่นี้ วุฒิก็มีแค่ ม.6 ใครจะไปรับเธอเข้าทำงาน”
“คุณไง รับหนูไว้เป็นแม่บ้าน หรือคนสวนอะไรก็ได้ หนูทำเป็นหมดเลยนะ เลี้ยงวัว เลี้ยงควายก็ได้”
“แล้วเธอเห็นว่าบ้านฉันมีวัว มีควายให้เธอเลี้ยงหรือไง”
คนตัวโตได้แต่ถอนหายใจ จะไล่ออกจากบ้านไปก็ไม่ได้ จะเอาไปทำงานที่คลับหรือที่คาสิโนก็ไม่ได้ ในที่สุดก็จำยอมต้องรับเธอไว้ทำงานในบ้านแทน
“งั้นเธอก็ทำงานที่นี่ก็แล้วกัน เป็นผู้ช่วยแม่บ้าน”
“คุณพูดจริงเหรอคะ คุณรับหนูเข้าทำงานจริง ๆ เหรอคะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมาก หนูจะทำงานให้เต็มที่เลยค่ะ จะปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลย”
คนตัวเล็กพูดพลางทำท่าตบมือดีใจยกใหญ่ ทำเอาไต้ฝุ่นที่มองเธออยู่ได้แต่แอบหัวเราะเล็ก ๆ แต่ดูท่าแล้วบ้านหลังนี้น่าจะวุ่นวายมากกว่าเดิมแน่ ๆ
//////////////////////////////////////////
อย่าคิดว่าเฮียเป็นคนดี ทำอะไรหวังผลเสมอ