บทที่ 4 หนีการแต่งงาน

2000 คำ
“ฉันต้องการหนีงานแต่งค่ะ” เฉินหว่านเยว่พูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นคนเป็นแม่นิ่งไปเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เธอบอกออกไปเพราะเอาแต่อ้าปากค้าง “หะ...ลูกว่าอย่างไรนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามย้ำอีกครั้งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินความต้องการของลูกสาวอย่างชัดเจน “ฉันไม่อยากแต่งงานค่ะ ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น และคิดว่าฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากวิธีนี้ แม่ต้องช่วยฉันนะคะ ฉันไม่อยากตกนรกทั้งเป็น แล้วเวลาผ่านไปฉันกลับมาหาแม่แน่นอน” หญิงสาวพยายามโน้มน้าวมารดาของเจ้าของร่างให้เห็นด้วยกับตนเอง “แล้วลูกจะหนีไปที่ไหนล่ะ อย่าลืมสิว่าคนของพ่อมีอยู่เต็มปักกิ่งไปหมด หรือจะไปอยู่บ้านญาติของแม่ที่นอกเมืองดีไหม” ซ่านซีเจินรับรู้ความรู้สึกของลูกสาวก็เสนอทางช่วยทันที “ไม่ดีค่ะแม่ พ่อจะต้องตามหาฉันเจอแน่ อีกอย่างฉันไม่อยากให้ญาติ ๆ ของแม่มาพลอยเดือดร้อนไปด้วย” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นหญิงสาวก็รีบก็ส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธทันที การหนีไปแบบนั้น หากถูกตามตัวเจอก็มีแต่ต้องกลับมาแต่งงานสถานเดียว เพราะที่เธอคิดเอาไว้นั้นมันไม่ใช่การหนีไปก่อนอย่างไร้จุดหมาย แต่จะเป็นการหนีไปจากทุกคนในนิยาย เพื่อไปมีชีวิตด้วยตัวของเธอเอง “แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ” ซ่านซีเจินพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันคิดหาวิธีที่จะหนีงานแต่งงานในครั้งนี้ “ฉันจำได้ว่าเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน มีจดหมายจากทางการมาที่บ้านเรื่องการส่งตัวแทนครอบครัวไปเป็นแรงงานยุวปัญญาชนที่ชนบทใช่ไหมคะ” เฉินหว่านเยว่ถามขึ้นเมื่อนั่งใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่เธอจำได้ก็เพราะว่าเรื่องนี้มันมีกล่าวถึงในนิยายตอนหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ว่าเมื่อหลังจากนางร้ายอย่างเฉินหว่านเยว่ถูกจับแต่งงาน เธอไม่ต้องการเปิดโอกาสให้พระเอกและนางเอกได้ใกล้ชิดกัน จึงวางแผนกับมารดา โดยที่จะแอบส่งตัวเฉินเหว่ยหรานไปเป็นยุวปัญญาชนอยู่ที่ชนบทอันห่างไกล แต่นางเอกของเรื่องดันรู้ทันแผนการนี้เสียก่อน ดังนั้นนางเอกจึงไปขอร้องบิดาให้ช่วยเหลือ ทว่านายพลเฉินที่ไม่ได้ต้องการจะส่งบุตรคนใดคนหนึ่งของตัวเองไปอยู่แล้ว จึงได้จัดการแก้ไขเรื่องนี้ให้ กลายเป็นว่านอกจากนางร้ายจะไม่สามารถส่งนางเอกไปใช้แรงงานที่ห่างไกลได้แล้ว ยังต้องทะเลาะกับนายพลเฉินใหญ่โตในเรื่องนี้อีกด้วย หลังจากที่จับได้ว่านางร้ายเป็นคนวางแผนทั้งหมด “ใช่จ้ะ แต่เรื่องนี้พ่อกับแม่กำลังจะไปจัดการด้วยการส่งเงินและเสบียงไปให้กับทางการแทนการส่งลูกหรือพี่สาวของลูกไป ลูกถามถึงเรื่องนี้ทำไมกันหรือว่า…” เสียงในประโยคถัดไปของซ่านซีเจินหายไปลำคอทันที หลังจากที่พอจะคาดเดาความคิดของบุตรสาวออก “ใช่ค่ะ แม่ส่งฉันไปเถอะค่ะ แล้วไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อนะคะ เมื่อพ่อมารู้เรื่องนี้ทีหลัง ฉันก็คงออกเดินทางไปไกลแล้ว และเมื่อฉันได้เป็นยุวปัญญาชนเพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติ พ่อคงไม่ไปนำตัวฉันกลับมาอย่างแน่นอน ฉันก็จะไม่ต้องแต่งงานไม่ว่ากับใคร” เฉินหว่านเยว่พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ เพราะเธอรู้ว่านายพลเฉินเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์มาทั้งชีวิต ในเมื่อเธอลงชื่อเข้าร่วมการเป็นยุวปัญญาชนเพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติในภาวะกำลังขาดแคลนอาหารไปแล้ว เธอจึงมั่นใจว่าท่านายพลจะไม่มีทางใช้อำนาจของตัวเองเพื่อพาลูกสาวกลับมาอย่างแน่นอน “การไปเป็นยุวปัญญาชนไม่ได้สบายอย่างที่ลูกคิดเลยนะ เราลองหาทางอื่นกันดีกว่าไหมลูกรัก” ซ่านซีเจินพูดขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงบุตรสาวคนเล็กที่ไม่เคยลำบากมาก่อนเลย “หนูตัดสินใจแล้วค่ะ แม่คะ ช่วยหนูเถอะ” ทิชาพูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนไปที่ผู้เป็นแม่ ความจริงแล้ว ทิชาก็ไม่ได้อยากไปเป็นแรงงานที่ต้องทำงานอย่างหนักให้เหนื่อยหรอก แต่ใครใช้ให้วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่เธอคิดออกที่จะสามารถหลุดพ้นจากพระเอกนางเอกของเรื่องได้กันล่ะ หลังจากโน้มน้าวมารดาจนใจอ่อน ยินยอมตกลงให้เธอไปเป็นยุวปัญญาชนได้แล้ว สองแม่ลูกจึงช่วยกันเตรียมการหนีไปจากที่นี่อย่างเงียบเชียบ เริ่มจากที่ซ่านซีเจินไปติดต่อกับสหายที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวข้องกับการส่งตัวยุวปัญญาชนไปยังเมืองต่าง ๆ หญิงวัยกลางคนไม่ใช่คนโง่ หากสามีล่วงรู้ความลับว่าเธอส่งบุตรสาวไปเป็นแรงงานเพื่อชาติ แต่เธอก็จะไม่มีวันให้เขาได้รู้ว่าบุตรสาวของตัวเองอยู่ที่เมืองไหน เพื่อหลอกล่อไม่ให้สามีสืบหาที่อยู่ของบุตรสาวได้ง่าย ๆ เธอจึงได้ให้สหายสลับชื่อเมืองที่จะต้องส่งบุตรสาวออกไปเป็นเมืองอื่นแทน และวันที่ทิชารอคอยก็มาถึง วันนี้เป็นวันที่เฉินหว่านเยว่ต้องขึ้นรถไฟไปยังต่างเมืองแล้ว สองแม่ลูกจึงทำทีออกไปเดินซื้อของกันข้างนอกตามปกติ แล้วจะใช้เวลานี้ส่งหญิงสาวขึ้นรถไฟจากไป โดยมารดาที่คอยรับหน้ากับคนอื่น จะทำทีเป็นว่าบุตรสาวนั้นหนีหายไประหว่างที่มารดาเผลอเดินดูสินค้าอยู่ “แน่ใจแล้วเหรอว่าลูกจะไม่บอกเรื่องนี้กับพี่สาวของลูก” ซ่านซีเจินที่เข้าใจว่าบุตรทั้งสองสนิทสนมกันเป็นอย่างดีเอ่ยถามด้วยความห่วงใยในตอนที่เดินรอขบวนรถไฟที่จะเข้ามาจอดเทียบชานชาลา “ไม่บอกค่ะ แม่ก็ห้ามหลุดปากบอกเรื่องนี้กับเหว่ยหรานเด็ดขาดเลยนะคะ” ทิชารีบย้ำคำกับผู้เป็นมารดา เพราะหากให้เฉินเหว่ยหรานรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แผนการของเธอคงได้พังพินาศหมดอย่างไม่ต้องสงสัย “ก็ได้จ้ะ ไม่จะไม่บอกใครเลยสักคนเดียวก็แล้วกันนะ เยว่เยว่ ลูกไปอยู่ที่นู่นลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ แม่เตรียมเงินใส่ไว้ในกระเป๋าใบเล็กนี้ไว้ให้แล้ว คูปองต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้รวมถึงกระเป๋าเสื้อผ้าของลูกแม่ก็เตรียมเอาไว้ให้แล้วด้วย ไม่ต้องกลัวว่าไปอยู่ทางนั้นจะลำบาก เข้าใจไหม ถ้าขาดเหลืออะไรให้ส่งจดหมายมาหาแม่ตามที่อยู่นี้ได้เลยนะ” ซ่านซีเจินน้ำตาคลอขณะเอ่ยกำชับบุตรสาวถึงสิ่งสำคัญต่าง ๆ ก่อนจะยื่นกระเป๋าใส่เงินที่หนาจนนูนอย่างเห็นได้ชัดรวมกับใบกระดาษที่เขียนที่อยู่เพื่อติดต่อมาให้ “ฉันขอบคุณแม่มาก ๆ นะคะ” ทิชารู้สึกขอบคุณหญิงวัยกลางคนตรงหน้าจากใจ ในยุคสมัยที่ครอบครัวส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว การจะหามารดาที่รักบุตรสาวของตัวเองจนยอมทำทุกอย่างให้เช่นนี้นั้น ไม่ได้จะหากันได้ง่าย ๆ ทั้งสองกอดกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทิชาจะแยกตัวเพื่อขึ้นไปยังขบวนรถไฟที่จอดรออยู่ ทิชาเป็นนักธุรกิจมือทองที่มีเงินทองมากมาย เธอไม่ได้นั่งรถไฟมานานมากแล้ว การที่ต้องกลับมานั่งมันอีกครั้งในยุคสมัยที่แตกต่าง ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมานั่งมันอีกครั้งสักนิดเดียว ด้วยระยะทางที่ต้องนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมง รวมกับความ ไม่สะดวกสบายที่ได้รับ ทำให้เธอขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งไปมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากปักกิ่ง “ไม่สบายตัวเหรอคะ กินไข่ต้มชาสักหน่อยดีไหม อร่อยนะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น ที่ด้านข้างของเธอเป็น ชายหนุ่มที่คาดว่าคงจะเป็นสามีนั่งอยู่ “ขอบคุณมากนะคะ แต่ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พอดีแม่ของฉัน ก็เตรียมมาให้เหมือนกัน” แม้คนตรงหน้าจะแสดงท่าทางและมีคำพูดที่ฟังดูมีน้ำใจกับคนไม่รู้จักอย่างเธอ แต่ทิชากลับรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไว้วางใจ สองสามีภรรยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันสักเท่าไร เพราะตั้งแต่ที่เธอขึ้นรถไฟมา ทั้งสองก็เอาแต่จ้องเธอด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่ตลอดเวลา หลังจากที่บอกปฏิเสธไป ระหว่างคนทั้งสองก็ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นอีก ทิชาจึงนั่งอยู่เงียบ ๆ กินเพียงแต่อาหารและน้ำที่มารดาเตรียมมาให้เท่านั้น และด้วยระยะทางระหว่างปักกิ่งและเมืองที่เธอกำลังจะเดินทางไป ไม่ใช่ใกล้ๆ หญิงสาวที่ฝืนตัวเองไม่ให้หลับมาได้หลายชั่วโมง สุดท้ายก็ทนต่อไปไหวและผล็อยหลับไปในที่สุด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เมื่อเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ทำให้ทิชาที่นั่งสัปหงกมาตลอดทั้งคืนสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตอนนี้ขบวนรถไฟยามค่ำคืนที่เคยมีเพียงแสงสลัว ในยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสว่างจ้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวที่เพิ่งตื่น มองซ้ายขวาก็เห็นว่ามีผู้โดยสารหลายคนในขบวน หลายคนไม่ใช่คนเดิมที่นั่งมากับเธอตั้งแต่ที่ปักกิ่ง รวมถึงสองสามีภรรยาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่อยู่แล้ว ‘เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งคอยระแวงสายตาที่ไม่ประสงค์ดีของคนทั้งคู่อีกต่อไป’ ทิชาคิดในใจคนเดียวเมื่อไม่เห็นทั้งสองคนอยู่บนรถไฟแล้ว หลังจากที่อดทนนั่งรถไฟมานานสิบกว่าชั่วโมง ในที่สุดเธอก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางนี้เสียที ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเธอได้กินเพียงอาหารที่มารดาเตรียมเอาไว้ ซึ่งมันก็หมดลงไปตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเผลอหลับไปแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นหิวจนท้องร้อง หลังลงมาจากรถไฟแล้วหญิงสาวจึงเริ่มมองหาร้านอาหารหรือหาบเร่แผงลอยที่พอจะมีอาหารขายให้แก่เธอ แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง เพราะที่สถานีรถไฟรวมถึงบริเวณรอบ ๆ ไม่ได้มีร้านค้าอย่างที่เธอคิดไว้ แต่หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่านิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องอยู่ในช่วงปี 70 หญิงสาวจึงพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าในช่วงปีที่เธออยู่นั้นเป็นยุคที่ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก และรัฐบาลยังคงคุมเข้มเรื่องการค้า หากต้องการจะซื้อหาอะไรก็ต้องใช้คูปองของรัฐร่วมกับเงินหยวนเท่านั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็นมองหาโรงอาหารของรัฐแทน ถ้าเป็นที่นั่น ก็น่าจะซื้อของกินมาเติมท้องของเธอได้ ทิชาไปถึงที่นั่นแล้วทำการเลือกซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองลูก ที่คาดว่าจะเพียงพอให้เธออิ่มท้องได้ แต่ในขณะที่กำลังจะจ่ายเงินให้กับคนขายนั้น เธอถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเงินที่มารดาเตรียมมาให้ไม่ได้อยู่รวมกับสัมภาระทั้งหมดของเธออีกต่อไป และนั่นหมายความว่า กระเป๋าใส่เงินใบเล็กของเธอหายไปแล้ว!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม