กฎในการเป็นยามตรวจตึกโรงเรียน (2)

4172 คำ
"น่ากลัวชะมัด" ผมสบถกับตัวเองทันทีที่เห็นว่า สภาพข้างนอกในตอนนี้ มันเหมือนกับข้อความที่กฎได้เขียนเอาไว้ มันเงียบสงัดแถมภายในโรงเรียนยังมืดสนิทอีก มีเพียงแสงจากดวงจันทร์และเสาไฟภายนอกเท่านั้น ที่ส่องเข้ามาในเขตโรงเรียนบ้าง แต่ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมมองเห็นอะไรได้มากนักในป้อมยามแห่งนี้.... แต่เอาเถอะ มัวแต่คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะผมต้องรีบทำงานให้เสร็จนี่เนอะ แค่เดินตรวจสามตึกมันคงไม่ได้ยากอะไรนัก อย่างมากผมก็คงจะใช้เวลาสักสองชั่วโมง ผมหยิบชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าที่แขวนอยู่มาใส่ พร้อมกับหยิบไฟฉาย และอุปกรณ์ทั้งหลายที่กฎได้เขียนไว้ว่าต้องเอาไป ถึงแม้ผมจะมองว่ากฎนั่นมันไร้สาระ แต่การทำตามกฎก็เป็นหน้าที่ของลูกจ้างใช่ไหมล่ะ ผมตรวจเช็กทั่วร่างกาย เพื่อดูว่าตัวเองได้ลืมอะไรไหม ก่อนจะมองเวลาในมือถือ ตอนนี้มันผ่านมาสิบนาทีกว่าๆ แล้ว หลังจากเวลาเริ่มงาน แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่รู้สึกว่าต้องรีบเลย เพราะมีเวลาตั้ง 6 ชั่วโมงในการทำงาน ถ้าในกฎไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องคลานไปด้วย มันก็เหลือเฟือสำหรับการเดินตรวจเลยนะ 18:16 ผมเดินมาถึงตึกแรก มันตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้อมยาม ทำให้ผมเดินมาถึงได้ง่ายๆ แต่ก็น่าแปลกที่ผมไม่เห็นวี่แววใครเลย ในระหว่างทางที่ผมเดินมา หรืออย่างน้อย...มันก็ควรจะมีสัตว์สักตัวที่ทำให้หายเหงาหน่อยนะ.. ผมสลัดความคิดอันฟุ้งเฟ้อภายในหัว ก่อนจะเปิดไฟฉายของตัวเอง แล้วส่องไปรอบๆ ตัวตึกตรงหน้า ตอนนั้นเองที่ผมเห็นหมายเลขบนตัวตึก มันมีเลข 2 เขียนอยู่บนนั้น น่าแปลกชะมัด ตึกที่อยู่หน้าสุดของโรงเรียนเป็นตึกสอง ไม่ใช่ตึกหนึ่งงั้นเหรอ? ผมยืนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอาไฟฉายเคาะหัวตัวเอง เพื่อไล่ความคิดแสนเรื่อยเปื่อยออกไป ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในตึก ที่ทางเข้าด้านขวา และเมื่อผมเดินเข้าไป ความรู้สึกแปลกๆ ได้แล่นเข้ามายังร่างกายของผมทันที บอกไม่ถูกเหมือนกับว่ามันรู้สึกยังไง แต่มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับว่า มีใครบางคน... กำลังจ้องมองผมอยู่เลย... ผ่านไปสักพักแล้วสำหรับการตรวจตึก ผมเดินตรวจที่ชั้นหนึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรผิดสังเกต เสียงแปลกๆ หรือเงาในห้องเรียนก็ไม่มี แถมเสียงในตึกเรียนตอนนี้ มันก็เงียบมากพอที่จะได้ยินนะ หากมีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา แต่ก็เอาเถอะ ถ้าทำมันให้ผมทำงานได้สบายขึ้นก็ดีเหมือนกัน ทันทีที่คิดแบบนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา มันดังมาจากห้องเรียนริมสุดทางเดิน เท่าที่คิด มันเหมือนเสียงของอะไรสักอย่างที่กำลังคุ้ยของอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมเลยรีบเดินตรงไปยังห้องเรียนที่ว่า ก่อนจะฉายไฟเข้าไปท่ามกลางความมืด แล้วสิ่งแรกที่เห็น คือโต๊ะเรียนที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างสะเปะสะปะไม่เป็นระเบียบ แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ในห้อง ผมขยับไฟฉายส่องไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ และไม่มีทางที่มันจะออกไปทางหน้าต่างได้ เพราะทุกบานมันถูกปิดอยู่และผมคิดว่ามันคงจะถูกล็อกไปแล้ว แต่จู่ๆ ผมก็นึกอะไรบางอย่างออก...หรือว่ามันกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด.... เมื่อคิดแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจเปิดไฟห้องเรียน มันใช้เวลาไม่นาน ก่อนไฟจะสว่างไปทั่วห้อง แต่ถึงแบบนั้น ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่ เลยเดินไปเช็กที่โต๊ะเรียน มันมีอยู่สี่ตัวที่ถูกวางอย่างไม่ถูกต้องผมเลยจัดมันใหม่ แต่ในตอนนั้นเอง ที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นตู้ล็อคเกอร์ทรงยาว ที่ตั้งอยู่หลังห้อง ปกติแล้วตู้นี้มันเอาไว้ใส่พวกอุปกรณ์ทำความสะอาด แต่ถ้าให้คิดถึงขนาดของมัน ก็คงพอดี หากจะมีใครสักคนซ่อนตัวอยู่ภายในนั้น ผมตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาตู้ล็อคเกอร์นั่น ก่อนจะเคาะและมองเข้าไปข้างใน ผ่านรูระบายด้านบน แน่นอนว่าผมไม่เห็นอะไรผิดสังเกต แต่มันไม่จบแค่นั้นหรอก ผมเปิดตู้ล็อคเกอร์นั่นอย่างรวดเร็วก่อนจะผละตัวออกจากมัน แต่ภายในตู้นั้น กลับมีเพียงไม้กวาดสองด้ามตั้งอยู่... ผมขำให้กับความเล่นใหญ่ของตัวเอง ที่พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดล็อคเกอร์ ก่อนจะควบคุมสติของตัวเองแล้วหันออกไป แต่ตอนนั้นเองหางตาผมก็ได้เห็นใครสักคนยืนอยู่หน้าประตู ผมเห็นเขาสวมชุดสีฟ้าเหมือนกับผมนะ แต่คงเพราะความตกใจ ทำให้ผมมองเห็นหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก เขามองผมสักพักก่อนจะเดินไปทางซ้าย ผมเลยตัดสินใจรีบเดินออกมา เพื่อจะมองให้ชัดเจนว่าเขาคือใคร แต่เมื่อเดินออกไปที่หน้าประตู มันกลับมีเพียงความว่างเปล่า ผมไม่เห็นใครทั้งนั้นที่ทางเดิน... ผมเดินตรวจตึกสองมาเกินครึ่งทางแล้ว เสียงแปลกๆ มันดังลอดออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น เมื่อมาถึงชั้นสอง มีทั้งเสียงลากถุงผ้า เสียงโซ่ที่กำลังถูกกระชาก ไปจนถึงเสียงเนื้อสดที่ถูกทุบ แต่ผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกัน เพราะเมื่อเอาแสงไฟส่องเข้าไปข้างในห้องที่มีเสียงเหล่านั้น สิ่งที่พบกลับมีเพียง สิ่งของภายในห้องที่ถูกวางอย่างไม่เป็นระเบียบเพียงเท่านั้น ไม่มีร่องรอยเจ้าของเสียงแต่อย่างใด... ขอสารภาพว่าตอนนี้ ผมเชื่อสิ่งที่เขียนอยู่ในกฎอย่างสนิทใจแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นสองมันชัดเจนซะจน เริ่มทำให้ผมกลัวขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้นในตอนนี้ หรืออาจจะเพราะ ผมเพิ่งจะเริ่มรึเปล่านะ ถ้าลาออกกลับบ้านไปตอนนี้ จะยังทันรึเปล่า? อา...ผมคิดบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย เสียงในตึกบ้านี่ กำลังทำให้สติของผมเริ่มกระเจิงไปหมดแล้ว ทางที่ดีผมควรจะรีบขึ้นไปชั้นสาม แล้วไปตรวจที่ตึกอื่นจะได้รีบกลับบ้านดีกว่า ผมก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม ก่อนจะส่องไฟมองไปรอบๆ ทางเดินชั้นนี้ ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบผ่านร่างของผมไป ผมรู้สึกได้เลยว่าชั้นนี้ไม่ปกติ และรู้ได้ทันทีว่าทำไม มีเสียงดังแว่วผ่านหูของผม แต่มันไม่ใช่เสียงแปลกๆ ที่ไร้รูปแบบ.....มันคือเสียงดนตรีไทย ร่างกายของผมสั่งให้หันไฟฉายลง แล้วปิดมันในทันที เสียงดนตรีไทยนั้นมันคือส่วนหนึ่งของกฎข้อที่สี่ และถ้ากฎมันถูกเขียนไว้อย่างถูกต้อง มันจะไม่เกิดอะไรขึ้น หากผมปิดไฟฉายแล้วรีบเดินไปใช่ไหม เสียงในตอนนี้มันยังเบาอยู่ แสดงว่าต้องเดินผ่านเข้าไปงั้นสินะ ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้า ในใจก็ภาวนาขอให้รอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ ผมเดินตรงมาเรื่อยๆ จนเริ่มได้ยินเสียงดนตรีไทยชัดเจนขึ้นในทุกฝีก้าว ผมรู้สึกได้เลยว่าระยะทางในชั้นนี้ไกลว่าชั้นอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่เวลาที่จะหาคำตอบว่าทำไม ผมเร่งฝีเท้าจนสุดท้ายมันก็จบ เสียงมันค่อยๆ เบาลงก่อนจะเงียบไปทันทีที่เดินมาถึงบันไดริมทางเดิน ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินลงไป 20:42 ผมใช้เวลาไปสองชั่วโมงในการเดินตรวจตึกแรก มันนานกว่าเวลาที่ผมคาดการไว้มากโข แถมยังทำให้ผมเหนื่อยสุดๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่เขียนไว้ในกฎจะเกิดขึ้นแน่ๆ และการกลับบ้านไปตอนนี้ มันก็เหมือนกับการทิ้งเงินที่ใช้ได้ทั้งปีไปเท่านั้นเเหละ เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น ผมเลยรีบเดินตรงไปยังตึกต่อไป มันตั้งอยู่ข้างหลังของตึกสองไปไม่ไกลนัก เมื่อผมมาถึงก็รีบเดินไปข้างใน แต่คราวนี้ผมเดินไปเข้าทางด้านซ้ายแทน เพราะมันอยู่ใกล้กว่า ผมส่องไฟไปข้างบนห้องเพื่อเช็กอาคาร และได้เห็นว่ามันคือเลข 3 ตอนนี้ผมต้องมาเดินตรวจในตึกสาม หวังว่ามันจะไม่ยากมากนะ... สิ่งที่เกิดขึ้นในตึกสามไม่ได้แปลกไปจากตึกสองมากนัก ยังมีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ซึ่งผมไม่ได้กังวลมากนักหากเป็นเสียงพวกนี้ เพราะแค่การเปิดไฟ พวกมันก็น่าจะหายไปหมดแล้ว จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง ที่ผมได้เห็นสิ่งที่แปลกมากยิ่งขึ้น ในตอนนั้นผมได้ยินคนกำลังทุบโต๊ะ และเมื่อผมส่องไฟเข้าไปก็ได้เห็นเงาร่างของคน ใช่...มันมีคนยืนอยู่ตรงนั้น แต่เพราะความมืด มันทำให้ผมเห็นเขาได้ไม่ชัดเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดมากๆ ก็คือชุดที่เขาใส่ และผมค่อนข้างมั่นใจอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเขาสวมชุดยูนิฟอร์มของยามโรงเรียนนี้ และอย่างที่สอง.... เขาไม่ใช่คน... ผมรีบเปิดไฟห้องทันที ก่อนจะเห็นว่าเขาหายไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแสงไฟสามารถไล่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งแปลกปลอมในตึกนี้ได้ เงาร่างพวกนั้นโผล่ออกมาให้ผมเห็นบ่อยขึ้น หลังจากที่ได้เห็นมันครั้งแรก และไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเห็นเป็นร่างของคน เพราะบางรอบ ผมก็เห็นว่ามันเป็นเหมือนเงาร่างของสัตว์ ผมจำได้ว่าตัวเองรับมือกับพวกมันไปเกือบสิบห้อง จนสุดท้ายก็มาถึงชั้นสาม และในตอนนี้...อาการเสียวสันหลังวาบก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงผิวปากดังขึ้นมาทันทีที่ผมขึ้นมายังชั้นนี้ มันคงจะเป็นเสียงของเด็กผู้ชายชุดแดง ที่นั่งอยู่ตรงระเบียงแน่นอน ตามกฎแล้วผมควรจะมองหาเขาแล้วกล่าวอวยพรสินะ ผมก้าวเท้าอย่างระวัง ก่อนจะมองออกไปนอกระเบียง แล้วผมก็ได้เห็น เขานั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ "พวกเรายังคิดถึงนายเสมอนะ หวังว่านายจะมีความสุข" ผมจำบทที่ต้องพูดไม่ได้ เลยพูดออกไปแบบนั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แสดงว่าผมเสร็จธุระที่ตึกนี้แล้วใช่ไหม เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับ ผมเลยตัดสินใจเดินผ่านไปเงียบๆ จนไปถึงบันไดอีกฝั่ง "ขอบคุณมากนะครับ..." เสียงของเด็กผู้ชายดังแว่วมา ก่อนที่ผมจะเดินลง มันเป็นเสียงที่อ่อนนุ่มซะจน ทำให้ตัวของผมผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว 21:53 ในตึกนี้ผมใช้เวลาน้อยกว่าตึกก่อนเยอะ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางที ในตึกต่อไปผมอาจจะทำมันไวกว่านี้ก็ได้นะ ผมยืดแขนตัวเองขึ้นก่อนจะมองไปยังตึกถัดไป แต่ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้เห็นว่า.... มันมีตึกเพิ่มขึ้นมาอีกตึกหนึ่ง.... ผมคงจะโชคดีมากๆ ในคืนนี้ ภายในกฎบอกไว้ว่ามันมีโอกาสน้อยแท้ๆ ที่จะมีตึกเพิ่มเป็นสี่ แต่ดูนี่สิ...ผมถอนหายใจออกมาเพราะสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้เกิดขึ้น ถ้าผมเลือกผิดก็จะเข้าไปในอุโมงค์ สถานที่ที่ในกฎก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่จะมายืนนิ่งอยู่ตรงนี้ตลอดไปก็ไม่ได้ เพราะตามกฎแล้ว ผมต้องตรวจตึกให้ครบก่อนเที่ยงคืน คิดได้แบบนั้นผมเลยเลือกจะเดินไปยังตึกทางซ้ายมือ มันไม่มีอะไรผิดปกติในตอนนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างในชั้นหนึ่งยังดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น สิ่งที่ผมยังห่วงก็คือต้องคอยฟังเสียงรอบๆ ตัวเอาไว้ หากมันเริ่มเบาลงให้รีบกลับออกมาทันที แต่ถ้าเสียงรอบๆ ตัวผมมันเบาอยู่แล้วจะแยกยังไงกันนะ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเห็นว่าตัวเองเดินมาถึงบันไดอีกด้านแล้ว มันเร็วกว่าที่คิดนิดหน่อยแต่ก็ถือเป็นเรื่องดี ผมก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรก แต่ก็ต้องชะงักเพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "ตึกเหล่านี้มีอยู่ 3 ชั้นเสมอ" ผมนึกถึงกฎข้อหนึ่งที่เขียนไว้แบบนี้ เลยตัดสินใจมองไปด้านบน แล้วผมก็ได้เห็น....ขั้นบันไดนับไม่ถ้วนที่อยู่บนหัว ถ้าให้พูดมันอาจจะมีมากกว่าสิบชั้นเลยก็ว่าได้ ไม่จำเป็นต้องคิดแล้ว ผมก้าวเท้าลงจากบันไดเพื่อที่จะรีบเดินออกจากตึกนี้...แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมาผ่านทางออกตรงหน้า.. "ถ้าเสียงรอบๆ ตัวเริ่มเบาลงให้คุณรีบเดินกลับออกมาจากตึกนั้นทันที" กลับ?? ถ้ามันหมายถึงแบบนั้นจริงๆ แสดงว่าต้องไปยังทางออกอีกฟากหนึ่ง ผมรีบวิ่งเพื่อที่จะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ในระหว่างที่วิ่ง ผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ "อ...ย่า...ไป...นะ..." เมื่อผมหันหลังไปมองตามเสียง ก็ได้พบกันคนยืนอยู่ตรงนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะวิ่งต่อก็เพราะ....คนคนนั้น.... เขาไม่มีหน้า... 22:39 ผมออกมาจากอุโมงค์ได้สำเร็จ และตึกนั่นมันก็หายไปทันที หลังจากที่ผมก้าวขาออกมาข้างนอก ราวกับไม่เคยมีมันอยู่แต่แรก ผมนั่งหอบกับพื้นก่อนจะมองไปยังนาฬิกา...มันเหลือเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงแล้ว หนึ่งชั่วโมงกับอีกหนึ่งตึก ตอนนี้ผมวิ่งตรวจที่ชั้นแรกของตึก 1 เสร็จแล้ว ดูเหมือนผมจะเป็นมืออาชีพใช่ไหม..แต่ไม่หรอก ที่ชั้นแรกมันไม่มีเสียงหรือเงาโผล่มาให้เห็นสักห้องเลย มันน่าแปลกแต่ก็ดี เพราะผมจะได้รีบทำเวลา ผมรีบวิ่งเพื่อที่จะตรวจชั้นสองให้เสร็จไวๆ แต่ก็ต้องชะงักเพราะมีเสียงเดินตรงเข้ามาหาผมในตอนนี้ จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าจะเจอ เพราะมันคือสิ่งสุดท้ายแล้ว แสงไฟที่ตรงเข้ามาหาผมค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ผมตั้งสมาธิเพื่อให้ตัวเองยังคงสติกับสิ่งนี้ได้..แต่มันไร้ผล รู้ไหมว่าทำไม เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของผมมันคือคน....ไม่สิ อย่าเรียกว่าคนเลย...ร่างกายของเขาดูบิดเบี้ยว ใบหน้าของเขาเละจนเห็นชิ้นเนื้อจากภายใน นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงก่ำและมันไม่ได้อยู่ข้างในเบ้าตาด้วยซ้ำ ผมกัดลิ้นของตัวเองเพื่อไม่ให้ความรู้สึกกลัวเข้าครอบงำ บังคับสายตาของตัวเองให้มองไปยังแสงไฟสีขาวที่ฉายส่องมา "ผ...ผมชื่อ...ไวท์ครับ" เสียงของผมสั่น ใช่....มันแน่นอนอยู่แล้ว มีใครบ้างที่จะทนกับภาพตรงหน้าโดยที่ไม่กลัวได้ ผมพูดแนะนำตัวแค่นี้ได้ก็เต็มกลืนแล้ว.. "........" เขาไม่ตอบอะไรผมกลับมา สิ่งที่เขาทำมีเพียงการเดินผ่านผมไปเพียงเท่านั้น ผมรอดแล้วใช่ไหม แค่นี้ผมก็ไม่ต้องเจอเขาอีกแล้ว แต่ทว่า..เหมือนผมจะคิดผิด เพราะในตอนนี้มีแสงไฟส่องมาอีกครั้งจากทางข้างหน้า... และผมต้องทำมันอีก... "ผมชื่อ......-----" 23:46 ผมล้มลงพร้อมอาเจียนออกมาชุดใหญ่...ถึงจะมีแค่ลมก็เถอะ คุณลุงส่องไฟมาหาผมเป็นสิบๆ รอบจนผมแทบจะบ้า ถ้าสมมุติคุณลุงยังส่องไฟมาทางผมอีกสักรอบสองรอบ ผมคงยอมนอนตายอยู่ที่นี่ดีกว่า... เหลือเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีแล้วตอนนี้ ผมรีบประคองตัวเองให้เดินขึ้นชั้นสามอย่างเร็วที่สุด ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมในตึกนี้ถึงไม่มีเสียงหรือเงาโผล่มา คงเพราะคุณลุงจัดการไปหมดแล้วแน่ๆ... ผมค่อยๆ ประคองตัวเองเดินบนชั้นสามจนครบทุกห้อง มือจับราวบันไดเพื่อจะลงไปและบอกลาตึกนี้ซะที..แต่ความหวังมันก็หมดลง.. 00:00 เสียงหมาหอนย้ำเตือนอย่างชัดเจนว่าผมหมดเวลาแล้ว ผมปิดไฟฉายลงพร้อมกับนั่งพิงราวบันไดด้วยความเหนื่อยและหมดแรง ตอนนั้นเองที่เห็นเหล่าคนที่รูปร่างไม่ปกติเดินผ่านผมไป จริงๆ พวกเขามีรูปร่างที่น่ากลัว ทั้งแขนบิดเบี้ยวเหมือนโดนหมุน บางคนก็ถือหัวตัวเองอยู่ แต่ว่านะ....ผมรู้สึกชินชากับอะไรแบบนี้ซะแล้ว เพราะคุณลุงเล่นมาเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผมซะขนาดนี้... ผมไม่ได้อยู่ที่ตึกสาม เพราะงั้นถ้าจะขอให้นพช่วยคงตัดทิ้งไป แรงของผมตอนนี้ก็ไม่เหลือพอที่จะเดินหาลุงอเนกแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้.... ธูปถูกจุดขึ้นท่ามกลางความมืด ผมพยุงร่างของตัวเองเพื่อเดินตามหาเสียงนั่น เสียงของเกศที่กำลังเล่นดนตรีไทยอยู่ มันหาไม่ยากเย็นนัก เพราะเมื่อผมจุดธูปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วมา ผมค่อยๆ เดินไปตามเสียงนั้นจนเห็นว่ามีห้องเรียนหนึ่งที่ประตูถูกเปิดอ้าไว้อยู่ ผมเลยพยุงร่างของตัวเองเพื่อเดินเข้าไปในห้องนั่น สภาพห้องมันเหมือนกับห้องเรียนทั่วๆ ไป แต่ที่ต่างคือ ในตอนนี้มีเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนเล่นระนาดอยู่ และเธอก็หยุดเล่นมันเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา "คุณเองเหรอที่จุดธูป เหมือนจะเป็นยามคนใหม่สินะคะ" เธอพูดกับผมทันทีที่เห็นผมเข้าไปนั่งข้างหน้าเธอ ตอนนั้นเองที่ได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ ผ่านแสงจันทร์ รูปร่างหน้าตาของเธอเหมือนเด็กสาวปกติ ที่ไว้ผมทรงหางม้ากับผูกโบสีเหลือง ต่างกับผมที่นั่งหายใจเหมือนกับคนใกล้ตายอยู่... "คุณคงเหนื่อยสินะคะ ถ้างั้นมาฟังเพลงของฉันก่อนสิ" สิ้นเสียง...เกศเริ่มเล่นระนาดของเธอต่อ เพลงที่เธอเล่นมันไพเราะซะผมเริ่มเคลิ้มตาม "ฉันแปลกใจนะที่คุณมาหาฉันไวขนาดนี้ ปกติแล้วไม่ค่อยจะมีคนมาขอความช่วยเหลือจากฉันนักหรอก" เสียงของเธอดังก้องอยู่ในหูของผม พร้อมกับเสียงเพลงที่เธอเล่น ถ้าเป็นปกติ ผมคงจะหลับไปแล้วถ้าได้ยินเสียงแบบนี้...แต่ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกตินี่นะ ผมเลยต้องกลั้นใจตื่นจนกว่าจะถึงตีสี่... 01:00 "ฉันชอบกลิ่นธูปนะคะ มันทำให้จิตใจของฉันสงบ" ผมพยักหน้าให้เธอเบาๆ ก่อนจะจุดธูปอันใหม่ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกโอเคกับเธอมากขึ้น ถ้าไม่นับว่าเธอจะจัดการผมหากไม่มีธูป เธอก็เป็นเด็กสาวช่างพูดที่น่ารักคนหนึ่งเลย "เหมือนจะถูกกำชับมาสินะคะว่าต้องจุดธูปไว้ตลอด น่ารักจัง" ถึงผมจะมองหน้าเธอได้ไม่ชัด แต่ก็รู้ได้เลยว่าเธอกำลังส่งยิ้มให้ผมอยู่ 02:00 อาการง่วงเริ่มทำให้สติของผมเบาบางลง และในตอนนั้นเอง.. "คุณอยากรู้ไหมคะว่าทำไมต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเรา" "ทำไมล่ะ...?" คำพูดของเธอทำให้ผมตื่นตัว จนได้เผลอตอบเธอไป และหลังจากที่เธอได้ยินเสียงของผม มือของเธอก็หยุดเล่นระนาดในทันที "คุณตอบฉันด้วยเหรอคะ.." ผมโล่งใจเพราะดูเหมือนมันจะไม่ได้ผิดอะไร และการที่เธอกำลังแสดงท่าทีดีใจให้เห็น ก็เหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดีนะ "ถ้างั้นฉันจะตอบคำถามของคุณเดี๋ยวนี้แหละ เพราะพวกเรามีอาณาเขตของตัวเองไงคะ" "อาณาเขต เหมือนกับสถานที่ที่เรามั่นใจอะไรแบบนั้นรึเปล่า?" อา...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคุยกับเธออย่างสนิทสนมขนาดนี้ แต่มันก็ดีอย่าง เพราะจะทำให้ผมไม่ง่วงด้วย "ใช่แล้วค่ะ อาณาเขตของนพก็คือระเบียงชั้นสามของตึกสาม ของคุณลุงอเนกก็คือตึกหลักทั้งสามตึก และของฉันก็คือห้องนี้ค่ะ" "แปลว่าถ้ามีอะไรเข้ามาในห้องก็จะถูกเธอจัดการงั้นสิ" "ใช่แล้วละค่ะ อยากรู้ไหมคะว่าทำได้ยังไง" เธอยื่นมือของเธอมาจับที่ฝ่ามือของผม สัมผัสมือของเธอในตอนนี้มันน่าขนลุก...ไม่ใช่เพราะมือของเธอเย็นหรือว่าร้อนเกินไป แต่เพราะมันแข็ง...ราวกับกระดูก "ลองส่องไฟมาทางฉันดูสิคะ" "แต่ในกฎ...." "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันชอบคุณนะถึงได้ยอมให้แบบนี้" ผมที่ได้ยินแบบนั้นเลยต้องส่องไฟใส่ตามที่เธอสั่ง....แล้วผมก็ได้เห็น บริเวณร่างกายของเธอที่ถูกแสงจากไฟฉายส่องใส่มันโปร่งแสงซะจนเห็นกระดูกภายในร่างกาย เมื่อเห็นแบบนั้นผมเลยรีบเอาไฟหลบออกมา....เเละในตอนนี้ ผมกลับมากลัวเธออีกครั้งแล้ว... "อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ บอกแล้วไงว่าฉันชอบคุณเพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรอก" เธอขยับร่างกายกลับไป ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง "ถึงเวลาแล้วสินะคะ สงสัยในห้องนี้จะมีแขกมาเยี่ยมเยอะเลย" ผมยังไม่ได้ถามเธอเลยว่าหมายความว่ายังไง ความรู้สึกกดดันจนเหมือนจะอาเจียนก็เกิดขึ้นมาในร่างซะก่อน 03:00 มีเงาร่างโผล่เข้ามาในห้องนับสิบๆ ตัว พวกมันจ้องมองมาที่ผมด้วยนัยน์ตาสีแดงสด ตามที่กฎว่าไว้พวกมันคงจะเป็นนักล่าที่ต้องการตัวผมแน่ๆ ผมยกตัวเองขึ้น ก่อนจะเห็นว่ามีอะไรบางพุ่งผ่านหน้าผมไป "คืนนี้ฉันคงเหนื่อยแย่เลย" ผมมองไปยังเกศตอนนี้ เธอกำลังงอกอะไรบางอย่างออกมาจากร่างกายเป็นจำนวนมาก มันมีปลายแหลมที่ใช้สำหรับทิ่มแทง และความยาวที่น่าขนลุก.... และนั้นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็น ก่อนจะสลบไป... 05:00 ผมฟื้นขึ้นมาเพราะมีคุณลุงมาปลุก เขาบอกว่าตัวเองชื่อกิตติและจะพาผมออกไป แถมเขายังบอกผมอีกว่า ไม่เคยมีใครอยู่ในห้องของเกศแล้วออกมาได้เลย พวกเราคุยกันสักพัก ก่อนที่คุณลุงจะบอกขอบใจผมมากที่มาช่วย ปกติแล้วคุณลุงกิตติจะเป็นยามตรวจตึกประจำโรงเรียนอยู่แล้ว แต่เพราะติดธุระเลยต้องเรียกคนอื่นมาแทน...และหวยก็มาตกที่ผม.. ผมมานอนพักที่บ้านของตัวเองด้วยความเหนื่อยเต็มที่ ก่อนจะมีข้อความส่งเข้ามายังมือถือของผม มันเป็นข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินถูกโอนเข้าบัญชีของผมแล้ว และจำนวนนั้น.....มันมากกว่าผมทำงานทั้งปีซะอีก.. ผมวางมือถือของตัวเองลงด้วยความโล่งใจ ก่อนจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างข้างในเสื้อของตัวเอง ผมหยิบมันออกมาก่อนจะเห็นว่าเป็นโบสีเหลืองที่มีข้อความเขียนไว้จางๆ ว่า... "ของขวัญจากฉันเองค่ะ"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม