กฎในการใช้ห้องสมุดยามคํ่าคืน (2)

2994 คำ
อะไรวะนั่น ผมสบถออกมาทันทีที่เห็นว่าเลขบนนาฬิกาคือหนึ่งทุ่มตรง ตอนที่ผมเริ่มอ่านกฎเหล่านี้มันพึ่งจะบ่ายสามเองไม่ใช่เหรอ ความสงสัยและความสับสนมันตีอยู่ในหัวของผมจนมั่วไปหมด เเล้วจู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ว่าเหงื่อของผมมันเริ่มไหลออกมาอาบเต็มใบหน้า ที่นี่ก็ไม่ได้ร้อนมากแต่ทำไมถึงรู้สึกเเบบนี้กันนะ หรือผมกลัวงั้นเหรอ? กลัวทั้งที่คิดว่ากฎพวกนี้มันเเค่ของแกล้งอำคนเล่นๆ เท่านั้น แต่เหมือนร่างกายของผมจะไม่คิดแบบนั้นเลย อาการชาเริ่มรุกไล่มาทั่วร่างของผมทันที ผมไม่เคยรู้สึกเเบบนี้เลยสักครั้งในชีวิต บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมกำลังสั่นกลัวอยู่จริงๆ ผมถอดหน้ากากอนามัยของตัวเองออก เพราะตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าหายใจไม่สะดวก อะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจกำลังจะเกิดขึ้น ตามกฎที่ผมพึ่งอ่านไปเมื่อกี้ ทันทีที่คิดแบบนั้น ผมก็สังเกตเห็นว่าในตอนนี้หนังสือกฎหายไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปตั้งเเต่เมื่อไหร่ เเต่มันไม่อยู่เเล้ว ผมยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก ในหัวตั้งคำถามว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่ซ้ำๆ จนผมได้ยินเสียง มันเป็นเสียงเปิดประตู และทันทีที่ได้ยินเสียงนั่นมันก็ทำให้ผมได้สติขึ้นมาทันที ตอนนี้มันไม่ใช่เเค่เรื่องเล่นๆ เเล้ว ผมค่อยๆ ลุกออกจากเก้าอี้เพื่อไปหยิบหนังสือสักเล่มมาอ่านตามกฎ หายใจเข้าหนึ่งเฮือก ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือในเเถวเเรก ผมแทบไม่ได้มองด้วยซํ้าว่าหยิบอะไรมา ตอนนี้ขอแค่ได้หนังสือสักเล่มก็พอ และในระหว่างที่ผมกำลังจะเดินกลับ สายตาผมก็เหลือบไปมองเห็นประตูที่ด้านซ้ายมือของตัวเอง มันตั้งห่างกับชั้นหนังสือไม่มาก จริงๆ มันก็แค่ประตูห้องน้ำนั่นแหละ แต่ในหัวของผมก็คิดอะไรบางอย่างออกมาได้ว่า ถ้าหากผมไปซ่อนข้างในนั้นจะสามารถรอดไปได้รึเปล่านะ แต่ก็สลัดมันทิ้งไปเพราะผมไม่กล้าจะทำสิ่งที่กฎไม่ได้บอกไว้หรอก ผ่านมาสักพักแล้วหลังจากหนึ่งทุ่ม จริงๆ มันก็ไม่ได้ยากมากหากผมตั้งใจฟังเเล้วทำตาม เสียงเดิน ไอ และกระแอมนั้นชัดเจนมากๆ มันเกิดขึ้นประมาณหกรอบแล้วแต่ผมก็ยังปกติ แต่เสียงที่ผมยังไม่ได้ยินเลยคือเสียงเลื่อนเก้าอี้ มันแทบไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา และผมหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นหรอกนะ ตอนนี้สามทุ่มแล้ว ผ่านมาสองชั่วโมงหลังจากเริ่ม เสียงเดินกับเสียงไอยังดังมาเป็นระยะแต่ไม่ถึงกับถี่มาก ทำให้ผมพอที่จะใจเย็นกับสถานการณ์นี้ได้บ้าง แต่ก็มีบางครั้งที่ผมลองแอบมองไปยังโต๊ะอื่นนะ ผลลัพธ์คือผมกลับไม่เห็นใครเลย แต่จริงๆ เเล้วบางที มันอาจจะดีกว่าที่ผมไม่เห็นอะไรก็ได้ ผ่านมาแล้วสามชั่วโมงกับห้องสมุดแห่งนี้ เหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียวก็จะได้พัก อาจจะเพราะผมเริ่มชินกับห้องสมุดนี้เเล้วก็ได้ เลยรู้สึกผ่อนคลายลงเเล้วอยากเข้าห้องนํ้า จนถึงตอนนี้เสียงลากเก้าอี้ก็ยังไม่เกิด หรือผมแสดงได้เนียนมากจนไม่มีใครสนใจกันนะ รอบๆ ห้องก็ยังไม่มีอะไรเหมือนเดิมจนผมเริ่มคิดว่าจริงๆ เเล้วผมอาจจะแค่โดนแกล้งก็ได้ เเต่ถึงแบบนั้นก็ไม่อยากจะคิดไปเองมากนัก เพราะร่างกายของผมมันยังมีอาการชาเเละขนลุกอยู่เลย อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะห้าทุ่มเเล้ว ตอนนี้แหละที่เสียงลากเก้าอี้พึ่งจะมา แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเพราะผมมองไปข้างๆ ก็ไม่เห็นอะไร สงสัยจะผ่านคืนนี้ไปแบบง่ายๆ เเล้วละมั้ง เเต่ทันทีที่ผมคิดแบบนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา "หึๆๆๆ...." เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเบาๆ แต่มันกลับดังมากพอที่จะทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ พร้อมกับขนที่ลุกขึ้นมาทั้งร่าง มันหมายความว่ายังไง มันไม่มีในกฎแล้วผมควรจะรับมือยังไงกับเสียงนี้ดีล่ะ ในตอนที่ผมสับสนถึงขีดสุดเสียงนาฬิกาก็ดังขึ้นพร้อมแสดงตัวเลข 23:00 มันจบเเล้วใช่ไหม ผมสามารถพักได้เเล้วใช่ไหม เสียงนาฬิกาดังขึ้นสักพักก่อนจะหยุดลง ความโล่งใจทำให้ผมฟุบตัวลงกับโต๊ะก่อนจะถอนหายใจออกมา เสียงหัวเราะบ้าๆ เมื่อกี้มันทำให้ผมกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เเต่ก็รู้สึกดีที่ผมผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัย ยังไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตในเวลานี้นอกจากนาฬิกาที่ไม่เดินต่อ ผมคิดว่ามันผ่านมาสิบนาทีแล้วนะ แต่เลขในนั้นมันยังขึ้น 23:00 อยู่เลย ทำให้คิดได้แค่ว่า มันคงจะให้ผมกดดันและนับเวลาด้วยตัวเองละมั้ง แต่ก็นั้นแหละนะ เวลาพักมันคือของจริง ไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นในตอนนี้ อีกอย่างคือผมลองไปเปิดประตูหน้าร้านดูเเล้ว มันยังใช้งานได้ปกติ แต่ข้างนอกร้านในตอนนี้นั่นกลับมืดสนิท มันมืดราวกับว่ามีคนมาก่อกำแพงสีดำปิดหน้าประตูเอาไว้ ทำให้ผมเลือกที่จะไม่เดินออกไป ผมเข้าไปเช็กทั้งโต๊ะของพนักงาน ในตอนที่เขาไม่อยู่ ผมคิดว่าเขาเข้าไปในประตูที่อยู่หลังโต๊ะพนักงานนะ เพราะมันพึ่งโผล่มาให้เห็นตอนนี้ ผมลองเคาะประตูดูเเล้วล่ะ ผลลัพธ์คือความเงียบแถมมันยังล็อกจากข้างในด้วย คงไม่มีประโยชน์ถ้าจะหวังพึ่งทางหนีจากประตูบานนี้ คิดได้แบบนั้นก็ลองไปเข้าห้องนํ้าดู ตอนแรกผมนึกว่ามันจะมีหลายห้องอยู่ข้างในนะ เเต่ไม่เลย พอเปิดเข้าไปก็เห็นชักโครกตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวเลยล่ะ แต่ก็น่าแปลกที่มันทำให้ผมยิ้มออกมาได้นิดหน่อย ตอนนี้ผมพร้อมแล้วกับอีกสี่ชั่วโมงที่เหลือ มันคงไม่ง่ายเหมือนสี่ชั่วโมงแรกแน่ๆ ก่อนจะเริ่มผมสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วปล่อยมันออกมาเบาๆ หาหนังสือนิยายสักเล่มมาอยู่เป็นเพื่อนถึงจะรู้ว่าคงไม่ได้ใช้มันก็เถอะ เพราะหลังจากนี้จะต้องรับมือกับอะไรสักอย่างท่ามกลางความมืดแล้ว ผมจ้องนาฬิกาจนมันเปลี่ยนเลขเป็น 00:00 มองเผินๆ ก็เหมือนเลข 8 สองตัวเรียงกันอยู่เลยเเหะ มันจะเกี่ยวกับเวลาในการรับมือรึเปล่านะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยในเวลานี้ แต่สติของผมก็กลับมาเพราะมีคนเดินออกมาจากประตู เขาคือคุณลุงพนักงานที่ผมเห็นในตอนเเรกนั่นเเหละ เขาเดินตรงผ่านผมเพื่อไปยังสวิตช์ไฟที่อยู่หลังห้องก่อนจะปิดมันลง วินาทีที่ไฟทั้งห้องดับลงเป็นวินาทีเดียวกับที่ผมได้เห็น เหล่าผู้คนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องสมุด.... ผมปิดปากของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงหายใจอันแสนไม่ปกติ ดังลอดออกไปให้ใครก็ตามที่นั่งอยู่ในนี้ได้ยิน นํ้าตาของผมเริ่มไหลออกมาเพราะความกลัวถึงขีดสุด ความยากมันทวีคูณกว่าสี่ชั่วโมงแรกแบบไกลลิบเลย มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาเตะจมูก บางครั้งก็เป็นกลิ่นที่เหมือนขี้เถ้า ผมเองก็ไม่เคยได้กลิ่นของมันหรอก แต่ถ้าให้คิดมันก็คงเป็นกลิ่นเเบบนี้เเหละ เวลาในนาฬิกายังไม่เปลี่ยนไป แถมคนในห้องก็ไม่ขยับไปไหนเลย คงจะมีเเค่ผมใช่ไหมที่นั่งตัวสั่นอยู่คนเดียว แต่มันก็แน่ล่ะ สิ่งที่นั่งอยู่ในห้องนี้ทั้งหมดยกเว้นผมมันไม่ใช่คนนี่นะ "นายเป็นคนใหม่เหรอ?" เสียงอะไร? นั่นคือความคิดแรกที่เกิดให้หัวของผม เสียงพูดอันแสนบิดเบียวเมื่อกี้มันคืออะไร ที่แน่ๆ มันไม่ใช่เสียงของคน และผมไม่อยากตอบรับเสียงนั่นเลย ได้แต่นั่งตัวสั่นจ้องมองหนังสือภายในความมืด พลางนึกถึงกฎในหนังสือว่ามีอะไรที่เกี่ยวกับเสียงนี่ไหม และแน่นอนว่ามันไม่มี.. ร่างกายของผมตอนนี้มันชาจนเริ่มไม่รู้สึกอะไรแล้ว สายตาพร่ามัวอย่างกับจะเป็นลม ตอนนี้ผมรู้สึกอยากออกไปจากที่นี่ ความกลัวและความอึดอัดมันถาโถมเข้าใส่จิตใจของผมจนเกินจะรับไหวแล้ว แต่ตอนนั้นเองที่มีเเสงไฟส่องออกมา มันส่องมาจากหลังห้องตรงที่คุณลุงพนักงานพึ่งจะไปปิดไฟ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนั้น สมองอันเเสนสั่นกลัวบอกให้ผมจ้องมองไปที่ไฟนั่นตามกฎ และผมก็เข้าใจข้อความที่อยู่ภายในกฎได้ทันที "เเต่หากคุณไปถึงไม่ทันก่อนที่ไฟจะดับลง หรือคุณเลือกที่จะหลบไฟนั่น ทางเราจะไม่สามารถรับรองชีวิตของคุณได้" ตอนที่ผมอ่านก็คิดสงสัย ว่าทำไมถึงจะต้องหลบไฟทั้งที่มันไม่เเสบตา ใช่....มันไม่เเสบตาจริงๆ เเต่สิ่งที่อยู่หลังแสงไฟสีขาวมันคือร่างของอะไรสักอย่าง และเเน่นอน....มันไม่ใช่มนุษย์ ผมเห็นมันเพียงเเวบเดียวก่อนมันจะถูกกลืนไปกับความมืด สักพักเเสงไฟก็ดับลง ทำให้มุมมองของผมตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง หรือจริงๆ เเล้วแสงไฟนั่นคือการช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ผมมองเห็นอะไรที่ไม่ดีในความมืดกันนะ ผ่านมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ผมก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากี่ชั่วโมง เพราะนาฬิกามันไม่แสดงเลขอื่นเลย ในตอนนี้มีเพียงหนังสือนิยายที่ผมหยิบมาเท่านั้นที่ช่วยทำให้ผมใจเย็นลงได้ มันไม่มีอะไรเเปลกๆ เกิดขึ้นมากนัก คนในห้องก็ยังไม่ขยับเช่นเคย แสงไฟสีขาวยังส่องเข้ามาหาเป็นบางครั้ง ซึ่งผมมักจะเห็นร่างของอะไรสักอย่างที่ผิดธรรมชาติ ปรากฏขึ้นหลังเเสงไฟเสมอ แต่ไม่นานนัก มันก็จะถูกความมืดกลืนหายอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหตุการณ์วนซ้ำไปมาแบบนี้ตลอดเวลาที่ผมนั่งอยู่ เมื่อสายตาของผมเริ่มปรับกับความมืดได้แสงไฟก็จะส่องเข้ามา จนมีครั้งหนึ่งที่สายตาของผมเริ่มปรับได้อีกครั้ง แล้วแสงไฟก็ส่องเข้ามา แต่คราวนี้มันส่องเข้าไปยังโต๊ะตัวอื่นที่อยู่ตรงกลางด้านซ้าย ผมเลยจำเป็นต้องเดินไปทางซ้ายเพื่อไปนั่งที่โต๊ะนั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นหลังจากที่ยืน ไม่รู้ว่าเพราะผมยืนแบบไม่ระวังจนเสียงเก้าอี้มันดังรึเปล่า คนทั้งหมดในห้องสมุดเลยจ้องมาที่ผม ด้วยนัยน์ตาสีเเดงสด แต่ผมก็สามารถกลั้นใจเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อจ้องแสงไฟ ก่อนที่มันจะดับลง ผมเริ่มจะทนไม่ไหวอีกรอบแล้ว ไม่ใช่เพราะสายตาเริ่มปรับได้ แต่เพราะความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนที่มันแทงหัวใจของผมอยู่ นัยน์ตาสีเเดงสดของพวกเขามันยังติดฝังอยู่ในหัวของผมอยู่เลย อาการแบบนี้มันอาจจะเป็นลางบอกเหตุว่าใกล้จะตีสามแล้วหรือเปล่า แต่ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น... "สวัส...ดี....." เสียงแบบนี้มาอีกแล้ว เสียงอันแสนบิดเบี้ยวชวนขนลุก ผมหลับตาลงทันทีเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกเเล้ว แต่ว่า....ฝันร้ายมันยังเข้ามาซ้ำเติมผมอีก "อ้ากกกกกกก!!!!!!!!" เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมา ไม่จริง.....ระหว่างที่ผมกำลังสั่นกลัว เวลาในตอนนี้คือตีสามเเล้วงั้นเหรอ ผมสลัดความคิดทุกอย่างออกจากหัวเพื่อจะลุกขึ้นไปยืนบนโต๊ะข้างห้อง มันขยับตัวยากจริงๆ เวลาหลับตา ผมไม่มีเวลาเเม้จะลืมตาเช็กที่นาฬิกาด้วยซ้ำ เพราะมันอาจจะให้ผลเสียมากกว่าผลดี เสียงกรีดร้องยังดังลั่นอยู่ข้างหลังพร้อมกับมีอะไรสักอย่างเข้ามาเเตะที่ตัว สัมผัสของมันเหมือนเนื้อสดที่เปื่อยยุ่ย กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาอย่างหนักหน่วงจนแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ เเต่ถึงเเบบนั้นผมก็ยังพยุงร่างของตัวเองขึ้นมายืนบนโต๊ะได้ เสียงกรีดร้องโหยหวนมันดังยิ่งกว่าเดิม มือที่มาสัมผัสตัวของผมมันเพิ่มจำนวนขึ้นจนนับไม่ได้ บวกกับกลิ่นเหม็นเน่าที่แทงลึกเข้าไปในโสตประสาทจนยืนแทบไม่ไหว มันไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะร้องไห้ออกมาตอนนี้...เพราะฝันร้ายนี่มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหวจริงๆ เหตุการณ์ยังดำเนินซ้ำไปมา มีบางครั้งที่ก้อนเนื้อรูปมือจะมาจับที่เปลือกตา แล้วพยายามดันเพื่อทำให้ผมลืมตา เเต่ยังโชคดีที่มันก็ไม่มีแรงมากพอที่จะทำแบบนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว รู้เพียงแค่ว่ามันนานมากๆ และผมอยากให้มันหยุดสักที... ผมอดทนอยู่นานจนตอนนี้มันหยุดแล้ว ทุกอย่างมันจบลงแล้วใช่ไหม แสงไฟสีขาวส่องผ่านกำแพงจนผมสัมผัสได้แม้จะหลับตาอยู่โผล่ขึ้นมา ผมลืมตามองช้าๆ ก็ได้เห็นคุณลุงพนักงานคนนั้นยืนอยู่ และดวงตาของเขาเป็นสีดำ....และใช่.....แสดงว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสี่แล้ว แต่ทำไมกันนะผมถึงยังรู้สึกกังวลอยู่ อาจจะเพราะเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นก็เป็นได้ คุณลุงพนักงานเดินออกมาส่งผมที่หน้าประตูพร้อมกับไฟฉาย ผมกล่าวขอบคุณแล้วกอดเขา มันไม่ได้เขียนในกฎหรอก แต่ผมคิดว่าควรจะทำเเบบนี้ หากจำเป็นจำต้องขอบคุณใครสักคน ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไปเปิดประตู แต่ทว่า.... "10" หืม? เสียงของคุณลุงงั้นเหรอ วินาทีนั้นเองที่ทำให้ผมเข้าใจในความรู้สึกกังวลเมื่อกี้ได้ทันที "9" ผมมองกลับไปข้างหลังของตัวเองเพื่อมองคุณลุงอีกครั้ง เเต่ตอนนี้ผมเห็นมันได้อย่างชัดเจน "8" ดวงตาของคุณลุง....มันเป็นสีแดงเข้มจนแทบจะเป็นสีดำ ในตอนแรกเพราะความมืดบวกกับความกลัวนั้นทำให้ผมมองเป็นสีดำ "เจจจจจจ็ดดดดด" เสียงของคุณลุงลากยาวจนผิดมนุษย์ พร้อมกับปากที่เผยให้เห็นเขี้ยวอันแสนแหลมคนภายในนั้น "หกกกกกกกกกกกก" ไม่มีอะไรที่ต้องคิดอีกเเล้ว ผมรีบเปิดประตูวิ่งออกมาทันที ตอนนี้ไม่ใช่เวลาตีสี่และนั่นก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วย ข้างนอกก็ยังเต็มไปด้วยความมืดราวกับมีคนสร้างกำเเพงสีดำปิดไว้เหมือนเดิม แต่ผมต้องวิ่งไป วิ่งจนกว่าจะพ้น วิ่งจนกว่าจะรอด วิ่งให้เหมือนกับนี่เป็นการวิ่งครั้งสุดท้ายในชีวิต เสียงฝีเท้านับสิบๆ คู่วิ่งไล่หลังผมมาอย่างชัดเจน ทำให้ผมต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดก่อนที่พวกมันจะเข้าถึงตัว จนสุดท้าย...ผมก็เห็นแสงสว่าง "ปื๊นๆๆๆ!!!" เสียงแตรรถดังขึ้นมาตรงหน้าของผม และในวินาทีนั้นผมก็ล้มลงเพราะถูกอะไรบางอย่างกระแทกที่ท้อง "เห้ย!!! ไอ้หนู เป็นอะไรไหมเนี่ย" ผมตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคุณลุงเรียกอยู่ข้างๆ ก่อนจะลืมตามาพบกับเเสงไฟบนถนนเมืองกรุง ความโล่งใจบวกกับความเหนื่อยสะสมทำให้ผมผล็อยหลับไป... ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล นางพยาบาลคนหนึ่งเล่าว่าจู่ๆ ผมก็โผล่ออกมาจากตรอกพร้อมวิ่งออกมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะวิ่งมาชนที่รถของคุณลุงคนหนึ่งเข้า คุณลุงที่เห็นผมสลบเลยตัดสินใจพามาที่โรงพยาบาลใกล้ๆ "ขอบคุณมากครับ" ผมกล่าวขอบคุณนางพยาบาลที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง ก่อนที่จะปล่อยผมกลับบ้านได้เพราะไม่มีอาการใดๆ ให้น่าเป็นห่วง ซึ่งในตอนนี้ก็เป็นเวลาเดียวกับตอนที่ผมมาพิมเรื่องนี้ให้พวกคุณได้อ่านกัน ผมคงจะไม่เข้าไปเหยียบในห้องสมุดไปอีกตลอดชีวิตเลย สุดท้ายผมอยากจะฝากพวกคุณไว้อีกอย่าง หากคุณเห็นกระดาษหรือหนังสือเเปลกๆ ตามเส้นทางหรือสถานที่ที่คุณอยู่ ได้โปรดอย่าคิดที่จะอ่านมัน หรือถ้าคุณอ่านมันไปเเล้วผมก็ขอให้คุณทำตามมันด้วย เพราะสุดท้ายถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ล้อเล่นกัน คุณคงจะได้สัมผัสอะไรสักอย่างที่เขียนอยู่ในตัวอักษรเหล่านั้นเเน่ๆ.....และมันอาจจะสยองขวัญกว่าสิ่งที่ผมได้พบเจอเสียอีก..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม