ตอนที่ 7 ว่าที่คนปลูกผักกับการหาบ้านเช่า

2471 คำ
เมื่อตกลงเรื่องบ้านกันได้เรียบร้อย วันรุ่งขึ้นจึงให้ลุงเฉินไปจัดการเรื่องการเริ่มสร้างบ้านได้เลย และให้ลองหาบ้านเช่าสักหลัง เพราะค่าค้างคืนที่โรงเตี้ยมตกคืนละ 1ตำลึงเงินต่อห้อง ซึ่งถ้าต้องอยู่เป็นเดือนก็สิ้นเปลืองมากทีเดียว พอกินอาหารเช้าเรียบร้อยลุงเฉินและสองแฝดที่ขอตามไปด้วยก็ออกไปจัดการเรื่องบ้านพร้อมกับเกวียนใหม่ที่มีหลังคาเรียบร้อย โดยข้าจะรออยู่ที่โรงเตี้ยม พอทั้งสามคนออกเดินทางแล้ว ข้าจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาเพื่อเปิดดูว่ามีอะไรอยู่บ้าง ตอนเอาใส่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก พอรื้อข้าวของออกมาก็ให้ต้องตกใจเพราะมันมีขนาดมากเกินกว่าที่กระเป๋าใบหนึ่งจะใส่ได้ ข้าจัดการแยกพวกเสื้อผ้า ข้าวของธรรมดาออกไปเก็บรวมกับของชิ้นอื่นๆ พวกกล่องเครื่องประดับก็แยกเอาไปเก็บรวมกันในหีบ ที่เหลือพวกเงินตำลึงและตั๋วเงินก็เอาใส่ถุงรวมกันไว้เช่นเดิม และก็เจอกล่องของขวัญที่น้านิดให้ไว้ จึงเปิดออกดูพบว่าเป็นทองคำแท่งอัดอยู่เต็มกล่อง พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง ข้าจึงเปิดออกอ่านทันที ถึงหลานน้ำ นี่อาจเป็นของขวัญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายที่น้าจะได้ให้หลาน ของขวัญนี้น้าเตรียมไว้เมื่อนานมากแล้ว น้าใช้เงินครึ่งหนึ่งที่ได้รับชดเชยจากคู่กรณีของหลานมาซื้อเก็บเอาไว้ เผื่อหลานอาจมีเหตุจำเป็นจะต้องใช้และอยู่ๆ น้าก็คิดว่าวันเกิดปีที่ 18 นี่เป็นโอกาสเหมาะจึงได้นำมามอบให้หลานเก็บเอาไว้ เก็บรักษาให้ดี รัก น้านิด เมื่ออ่านจบก็รู้สึกขอบคุณน้านิดมากจริงๆ ตลอดเวลาก็ดูแลเป็นอย่างดี แล้วยังอุตส่าห์ซื้อของสิ่งนี้เก็บไว้ให้อีกด้วย ข้าเอาจดหมายเก็บใส่เข้าไปไว้แล้วปิดกล่องไว้เหมือนเดิม และดูของต่างๆต่อไป นึกถึงช่องลับของกระเป๋าพอเปิดดูก็เจอถุงผ้าที่คุณยายซานมอบให้ ของในนั้นยังเหมือนเดิม ข้าหยิบแหวนไม้แกะสลักขึ้นมา มันดูเป็นแหวนไม้ธรรมดาแต่ลายแกะสลักกลับช่างดูงดงาม ข้าหยิบมาสวมเอาไว้ตอนแรกเหมือนมันจะหลวมแต่พอสวมแล้วกลับพอดีกับนิ้ว ข้าเอานิ้วมือลูบไปที่ลายสลักบนแหวน แล้วอยู่ๆก็รู้สึกเจ็บขึ้นที่นิ้วที่ลูบแหวนอยู่ เมื่อยกขึ้นดูก็พบว่ามีเลือดไหลออกมามองไปที่แหวนก็เห็นมีหยดเลือดติดอยู่ กำลังจะหันไปหาผ้ามาเช็ด หยดเลือดนั่นก็ซึมหายไปบนแหวนแล้ว ข้าได้แต่แปลกใจหรือแหวนนี่จะไม่ธรรมดา จึงเพ่งมองไปที่ตัวแหวนแล้วก็ต้องตกใจ ข้ามองเห็นห้องกว้างโล่งขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง พอเลิกมองห้องนั้นก็หายไป พอกลับไปมองที่แหวนอีกก็เห็นห้องนั้นอีกครั้ง หรือนี่จะเป็นแหวนมิติเก็บของ ข้าลองเอาแหวนไปแตะที่หีบเสื้อผ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอาไปแตะที่หีบใบอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น "อ้าวทำไมไม่เก็บ!!" พอพูดถึงคำว่าเก็บหีบใบนั้นก็หายไปทันที จึงเข้าใจได้ทันทีถึงการใช้งานเอ่ยเก็บเมื่อต้องการเก็บ เอ่ยออกของที่นึกก็จะออกมาอยู่ข้างนอกตามเดิม ข้าเก็บหีบข้าวของสำคัญต่างๆ ที่แยกเอาไว้แล้วเก็บเข้าไปเหลือเพียงพวกเสื้อผ้ากับของบางส่วนเอาไว้เท่านั้นเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของคนอื่นได้ ข้านึกขอบคุณท่านยายซานที่มอบของพวกนี้มาให้ มาคิดดูท่านยายซานก็อาจจะเป็นเหมือนกันที่อาจจะทะลุมิติไปที่นั้นก็ได้ กลับมาสนใจของในกระเป๋าอีกครั้งพวกเมล็ดพันธุ์ผัก ผลไม้ ดอกไม้ต่างๆ ยังอยู่เหมือนเดิม ก็มาถึงหนังสือที่ตอนแรกอ่านพวกมันไม่ออกหยิบมาเปิดอ่านดูอีกที ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดข้าอ่านพวกมันออกแล้ว เล่มแรกที่มีรูปภาพคือตำราพืชและสมุนไพร เล่มที่สองตำราการทำอาหาร เล่มที่สามเป็นหนังสือบันทึกการเดินทาง ข้าหยิบบันทึกการเดินทางมาอ่านก่อน หน้าปกเขียนไว้ว่า 'บันทึกการเดินทางของนายหญิงซาน' เมื่อเริ่มอ่านก็ให้รู้สึกคล้ายหนังสือนิยาย เป็นการใช้ชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งที่ชื่อซานเฟิงมี่ บนแผ่นดินซื่อหลิงแห่งนี้แต่น่าจะเป็นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เพราะผู้คนยังฝึกฝนพลังปราณได้ เล่าถึงการใช้ชีวิตการฝึกฝน การต่อสู้การผจญภัยและจบด้วยการได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่แสนเฟอร์เฟคมากทั้งรูปงาม ร่ำรวย มากอำนาจ และรักมั่นเพียงนางมาหมื่นปี ช่างเป็นการอ่านที่ทำให้เปิดหูเปิดตามากจริงๆ เมื่ออ่านจบแล้วสาวช่างฝันอย่างข้า ก็เริ่มอยากจะมีชายหนุ่มสุดเฟอร์เฟคแบบนี้บ้างเหลือเกิน แต่อย่างว่าคนเราไม่ควรจะโลบมาก ข้าฝันมาตลอดว่าจะเดินได้ตอนนี้ก็มันก็เป็นจริงแล้ว ก็ไม่ควรจะเฝ้าฝันหรือภาวนาสิ่งใดอีก ควรจะลงมือทำมันด้วยตนเองมากกว่า เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็นำเอาตำราสมุนไพรต่างๆ มาเปิดอ่านเพื่อจดจำและศึกษาเอาไว้ ที่ดินบ้านใหม่อยู่ติดภูเขาสิ่งแรกเมื่อย้ายไปอยู่ข้าจะขึ้นเขาไปสำรวจให้ได้เลย นั่งอ่านตำราไปเรื่อยๆซึ่งก็ทบทวนชื่อและรูปร่างสมุนไพรแต่ละอย่างอยู่สองสามรอบก็พอจดจำได้ จนเมื่อใกล้เที่ยงลุงเฉินและสองแฝดก็กลับมาถึงก็แจ้งว่าทางช่างขอเวลาประมาณสามเดือนในการสร้างบ้านและได้แวะซื้อซาลาเปามาไว้เป็นมื้อเที่ยงด้วย น้องเล็กหลังจากข้าเช็ดหน้าเช็ดมือและกินซาลาเปาจนอิ่มแล้ว ก็รีบเล่าเจื้อยแจ้วถึงสิ่งต่างๆ ที่ไปทำมาวันนี้อย่างมีความสุข น้องรองก็คอยช่วยเสริมด้วยทั้งสองคนดูมีความสุขมากเมื่อได้มาอยู่ที่นี่ ได้ออกไปข้างนอกและได้ทำสิ่งต่างๆ จากที่ลุงเฉินเล่าให้ฟัง พวกเราสามคนพี่น้องตอนที่อยู่เมืองหลวงไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก งานเลี้ยงหรืองานพบปะใดใดก็ไม่ค่อยได้รับเทียบเชิญ เพราะเป็นตระกูลสายรองคนในเมืองหลวงส่วนใหญ่รับรู้เรื่องการแยกตระกูล ซึ่งถ้าเลือกระหว่างครอบครัวขุนนางกับครอบครัวพ่อค้าผู้คนก็เลือกไปที่พวกขุนนางกันเพราะถือว่ามีหน้ามีตามากกว่า และอีกอย่างถ้าออกไปพบเจอพวกตระกูลหลักก็อาจจะโดนรังแกได้ ตอนที่สองแฝดอายุได้ห้าขวบเคยออกไปกับพวกบ่าวเพราะอยากกินขนมร้านดังของเมืองหลวง แต่ก็ไปเจอลูกหลานบ้านสายหลักเข้าที่ร้านนั้นจนเกิดมีปากเสียงกันขึ้น แถมทั้งสองแฝดยังถูกทุบตีมาด้วย หลังจากนั้นสองแฝดก็ไม่ยอมออกจากบ้านอีกเลยถ้าท่านพ่อท่านแม่ไม่เป็นคนพาออกไป แต่ท่านพ่อท่านแม่ปีหนึ่งต้องเดินทางตลอดเว้นแค่หน้าหนาวสามสี่เดือนเท่านั้น เลยกลายเป็นว่าพวกข้าสามพี่น้องจึงแทบไม่เคยออกไปไหนเลย จนมาที่นี่ทั้งสองคนคงรู้แล้วว่าไม่มีครอบครัวสายหลักมารังแกอีกแล้ว จึงกล้าที่จะตามลุงเฉินออกไปด้วย อีกอย่างลุงเฉินก็เคยฝึกวรยุทธ์มาพร้อมกับท่านพ่อ จึงพอปกป้องตนเองและสองแฝดได้แน่นอน พอใกล้ถึงเวลาเที่ยงข้าก็ชวนทุกคนออกไปเดินสำรวจกัน ลุงเฉินบอกว่าอีกฝากของตลาดมีบ้านให้เช่าสำหรับพวกพ่อค้าหรือคนเดินทางเช่า เดือนละไม่กี่ตำลึงเงินและแถวนั้นมีตลาดขายอาหารหลากหลาย จึงจะพาไปเดินเล่นแถวนั้นและจะได้แวะดูบ้านเช่าด้วยเลย ซึ่งข้าก็เห็นดีด้วยถึงอาหารที่เหลาจะแปลกใหม่และรสชาติดี แต่กินแต่ละมื้อก็ตกหลายตำลึง ถึงจะมีเงินมากแค่ไหนแต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถหาเพิ่มได้สักวันมันก็อาจจะหมดไปได้ เพราะฉะนั้นอะไรถ้าต้องจ่ายน้อยลงได้ก็ถือว่าดีทั้งสิ้น เมื่อมาถึงอีกฝั่งของตลาดตามที่ลุงเฉินบอก ก็พบกับหมู่บ้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบ มองเห็นหลังคาบ้านหลายหลังเรียงรายกันเป็นแถวแยกสัดส่วนกันชัดเจน ลุงเฉินพาไปที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน ข้าอ่านป้ายแล้วก็ให้สงสัย 'สำนักงานหมู่บ้านจัดสรรหวงอู่' ขาย ให้เช่า ตอนนี้ข้าคิดว่าต่อให้ที่ที่ข้ามาอยู่นี่อีกหน่อยจะมีไฟฟ้าและน้ำประปาเกิดขึ้นก็คงจะไม่ตกใจและแปลกใจแล้วแน่ๆ เมื่อเปิดประตูบ้านหลังเล็กเข้ามาก็จะเห็นโต๊ะและมีคนงานนั่งทำงานอยู่สามคน และมีโซฟาตั้งเอาไว้อีกฝั่ง เมื่อคนงานได้ยินเสียงกระดิ่งที่หน้าประตูดังขึ้น ก็รีบลุกออกมาต้อนรับทันที และเชิญให้ไปนั่งรอที่โซฟาและก็มีหญิงกลางคนนำชาและของว่างมาให้ "คารวะนายท่าน คุณหนูและคุณชายทั้งสองขอรับ ต้องการเช่าบ้านหรือขอรับ" ชายวัยกลางคนที่ลุกมาต้อนรับกล่าวขึ้น "พวกเราต้องการหาบ้านเช่าสักสามถึงสี่ห้องนอนขอรับ" ลุงเฉินเอ่ยขึ้น "ลุงเฉินไม่เช่าสักห้าห้องละขอรับข้ากับพี่รองจะได้นอนกันคนละห้อง แล้วก็เผื่อท่านพ่อกับท่านแม่อีกไม่นานก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่อาจจะมาก็ได้" น้องเล็กเอ่ยขึ้น "ลืมที่พี่ใหญ่บอกแล้วหรือว่าท่านพ่อท่านแม่จะมาตอนที่บ้านเราเสร็จแล้ว" ข้าพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวเล็กๆ ทั้งสอง "ใช่แล้วน้องเล็กพี่ใหญ่บอกแล้วไงว่าท่านพ่อท่านแม่จะมาอยู่กับพวกเรา แต่ต้องรอให้บ้านใหม่เสร็จก่อนยังไงล่ะ อีกอย่างถ้าเราเช่าบ้านหลังใหญ่ค่าเช่ามันก็จะแพงนะ แล้วพวกเราจะทำความสะอาดไหวหรือ" น้องรองช่วยพูดอีกคน "อืมงั้นเอาสามห้องนอนก็พอขอรับ ข้านอนกับพี่รองได้ หรือถ้าท่านพ่อท่านแม่มาข้าไปนอนกับลุงเฉินก็ได้ขอรับ" น้องเล็กตอบพร้อมกับพยักหน้ารับไปด้วย "น้องรองกับน้องเล็กของพี่ใหญ่เก่งมากเลย งั้นขากลับพี่ใหญ่จะซื้อของอร่อยๆให้นะ" ข้ากล่าวพร้อมกับเอามือลูบแก้มกลมๆนั้นคนละที "ข้าขอดูบ้านสามห้องนอนมีพื้นที่ใช้งานไม่ต้องมากก็ได้ แต่ขอเป็นส่วนตัวผู้คนไม่วุ่ยวายเจ้าคะ" ข้าหันไปเอ่ยกับคนงานที่รออยู่ "พอดีเลยขอรับตรงท้ายหมู่บ้าน มีบ้านอย่างที่คุณหนูต้องการพอดีเพียงแต่จะมีสี่ห้องนอน ค่าเช่าเดือนละสิบห้าตำลึงเงินที่แพงเพราะอยู่ท้ายหมู่บ้านและติดลำธาร และตรงนั้นมีบ้านอยู่แค่สองหลังแค่นั้นขอรับ" คนงานกล่าว "ถ้าพวกข้าขอไปดูก่อนได้ไหมขอรับ" ลุงเฉินเอ่ยขึ้น "ได้ขอรับงั้นรอสักครู่ข้าขอไปเตรียมรถม้าก่อน" คนงานกล่าว ข้าได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยบอกว่าเรามีเกวียนวัว นั่งไปพร้อมกันเลยก็ได้ จะได้ดูด้วยว่าทางเข้าออกสะดวกหรือไม่ และพื้นที่บ้านจะมีที่จอดเกวียนด้วยหรือไม่ เมื่อคนงานได้ฟังก็ตอบตกลงและเดินไปหยิบกุญแจและเอกสารติดไปด้วยเลย ใช้เวลาเดินทางประมานสิบห้านาทีก็มาถึงบ้านหลังขนาดกลาง มีพื้นที่รอบๆ บ้านกว้างขวาง มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มองทะลุไปด้านหลังเห็นเป็นลำธารไหลผ่าน ตัวบ้านมีรั้วรอบขอบชิดดี สภาพบ้านไม่ถึงกับใหม่มากแต่ก็ดูดีทีเดียว เดินเข้ามาในลานบ้านตรงริมกำแพงก็มีคอกพร้อมหลังคาซึ่งให้วัวอยู่ได้สบายๆเลย แถมยังมีกองฟางและรางน้ำไว้ให้ในคอกอีกด้วย ลานด้านหน้าบ้านก็มีดอกไม้ปลูกอยู่ดูงดงาม มีโต๊ะหินวางอยู่ใต้ต้นไม้ลมพัดเย็นสบาย พอเดินเข้ามาในตัวบ้านก็เจอกับห้องโถงที่มีโต๊ะเก้าอี้วางไว้สำหรับรับแขก ถัดจากห้องโถงรับแขกก็เป็นห้องกินข้าวและห้องครัว เดินเข้าไปอีกจะเจอเป็นทางแยกซ้ายขวา ทางซ้ายเป็นห้องนอนสองห้อง ส่วนทางขวาก็มีสองห้องเหมือนกัน ห้องน้ำและห้องสุขาอยู่ด้านหลังแยกสองฝั่ง ข้าที่พอได้เห็นบ้านนี่แล้วรู้สึกชอบมากถ้าสามารถซื้อได้ให้เวลาที่สองแฝดมาอยู่ตอนเข้ามาเรียนในเมืองจึงเอ่ยถามว่าให้เช่าอย่างเดียวหรือขายด้วย คนงานแจ้งว่าขายขาดที่หนึ่งพันตำลึงทอง ข้าจึงว่าขอคิดดูก่อนละกันตอนนี้ขอเช่าสักสามเดือนก่อน คนงานก็รีบเชิญมาที่ห้องโถงเพื่อจ่ายเงินและทำสัญญาเช่าทันที โดยแจ้งว่าจะให้คนงานมาทำความสะอาดให้อีกครั้ง พวกข้าจึงบอกว่าจะย้ายเข้าในวันพรุ่งนี้ทำความสะอาดทันไหม ซึ่งคนงานก็รับปากว่าทันแน่นอน พวกข้าจึงกลับโดยพรุ่งนี้ค่อยแวะไปเอากุญแจบ้านที่สำนักงาน เมื่อจัดการเรื่องบ้านเช่าเรียบร้อย พวกข้าก็มาเดินเล่นที่ตลาดทั้งสองแฝดดูสนุกสนานมาก เดินดูนู้นดูนี่เห็นของกินก็แวะซื้อเกือบทุกอย่าง ข้าที่เห็นน้องทั้งสองมีความสุขขนาดนี้จึงยอมตามใจเป็นพิเศษ จนเดินมาได้สักพักก็มีคนเดินมาหยุดยืนขวางหน้าข้า "ข้าเจอเจ้าแล้วว่าที่ภรรยาตัวน้อย" ผู้ชายสวมหมวกปิดหน้าปิดตาที่อยู่ๆก็มายืนขวางหน้าข้ากล่าวขึ้นเสียงดัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม