เช้านี้พวกเราพี่น้องตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส เพราะได้นอนพักกันเต็มที่นั้นเอง พอดูเวลาพบว่าจะเก้าโมงเช้าแล้ว จึงให้คนงานนำน้ำอาบมาให้รอไม่นานคนงานก็แบกน้ำมา
ข้าสังเกตุดูมาหลายครั้งแล้วคนงานที่มาคอยดูแลและเปลี่ยนน้ำให้ที่ห้องพักเป็นสตรีอายุน่าจะสามสิบกว่าปี ทุกครั้งที่นางมาทำการเติมน้ำให้จะถือเพียงถังน้ำมาสองใบเท่านั้น แต่กลับสามารถเติมน้ำได้เต็มอ่างในครั้งเดียว หรือว่าโรงเตี้ยมหวงซานนี้มันจะมีอะไรมากกว่าที่ลุงเฉินบอกเรื่องความปลอดภัย
เมื่อคนงานเติมน้ำเสร็จจึงบอกให้อีกครึ่งชั่วโมงเอาน้ำมาเปลี่ยนให้ด้วย ซึ่งนางก็รับคำและไม่ได้สนใจอีก เรียกให้สองแฝดเข้าไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย แล้วให้ทั้งสองไปรอที่ห้องลุงเฉินที่อยู่ตรงข้ามก่อน
เมื่อตอนที่เปิดประตูให้คนงานนำน้ำเข้ามาเจอลุงเฉินพอดีจึงได้เอ่ยฝากสองแฝดเอาไว้ เมื่อครบครึ่งชั่วโมงคนงานก็มาเคาะประตูเพื่อเปลี่ยนน้ำให้ ข้านึกได้ว่าเมื่อครู่พูดว่าครึ่งชั่วโมงไป แสดงว่าคนงานก็คงเข้าใจการนับเวลาแบบนี้อยู่แล้ว
เมื่อจัดการตนเองเรียบร้อยวันนี้ข้ายังคงทำแค่มัดผมรวบไว้ตรงท้ายทอยคงทำให้ลุงเฉินรู้สึกผิดปกติขึ้นจึงเอ่ยถาม
"คุณหนูใหญ่นอกจากเรื่องราวแล้ว แม้แต่การแต่งกายและทำผมท่านก็ลืมหรือขอ.." ลุงเฉินพูดไม่มันจบก็ต้องหยุดคำลงท้ายลงเพราะสายตาที่ส่งไปให้
"เจ้าค่ะท่านลุง มีบางอย่างที่พอทำได้เองคงเพราะความคุ้นชินมากกว่า" ข้าเอ่ยตอบ
ถึงแม้ตรงนี้จะยังอยู่ตรงหน้าห้อง แต่ก็ไม่ควรลืมตัวในการพูด เพราะถ้ามีใครมาได้ยินแล้วเกิดสงสัยอยากรู้จนไปถึงหูพวกที่เมืองหลวงจะอันตรายได้
"ลุงเข้าใจแล้ว เอาล่ะไปกินข้าวกันเถอะวันนี้พวกเจ้าตื่นสายนัก" ลุงเฉินพูดแล้วเดินนำลงไปที่ฝั่งเหลาอาหารทันที เมื่อได้โต๊ะและสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว น้องเล็กก็เริ่มจัดการเผาข้าในทันที
"ลุงเฉินที่พวกข้าตื่นสายเพราะพี่ใหญ่ขอรับ ความจริงพวกข้าตื่นแต่เช้าแล้ว แต่พวกข้าเห็นพี่ใหญ่ยังหลับสบายอยู่จึงนอนรอขอรับ" น้องเล็กตอบด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
ปากเล็กๆกับแก้มกลมๆที่ขยับไปมานั้น ทำให้ข้าทนไม่ไหวจนต้องเอื้อมมือไปบีบเบาๆพร้อมกับจับส่ายไปมา จนเจ้าตัวร้องโวยวายขึ้นเบาๆเป็นการประท้วง พอปล่อยมือเจ้าตัวแสบก็รีบลุกขึ้นไปยืนหลบหลังคู่แฝด แล้วเอามือนวดแก้มป่องๆของตนเองไปมา พร้อมกับบ่นอู้อี้สร้างความขบขันให้ยิ่งนัก
รอไม่นานอาหารก็มาถึง โชคดีที่ลุงเฉินไม่มีปัญหากับการกินอาหารร่วมโต๊ะ เพราะบอกว่าเวลาเดินทางก็นั่งร่วมโต๊ะกับท่านพ่อท่านแม่เพื่อสะดวกในการคุยงาน
รายการอาหารของที่นี่มีเมนูที่ข้าเคยเห็นในทีวีหลายเมนูเลย ทั้งหมูกะทะ หมูจุ่ม ยังมีผัดไท ส้มตำ ปีกไก่ทอด ลาบหมู และอีกหลากหลายเมนู
ตลอดเวลาที่นอนโรงบาลได้กินแต่อาหารเหลว พอเห็นรายการอาหารที่คุ้นเคยมากมายขนาดนี้จึงได้สั่งมาหลายอย่างดีที่ลุงเฉินห้ามไว้ก่อนบอกว่าต้องอยู่อีกเป็นเดือนค่อยกลับมากินก็ได้
ลุงเฉินบอกว่าโรงเตี้ยมและเหลาอาหารเจ้าของเป็นคนแคว้นหวงหลง มีรายการอาหารแปลกๆมากมาย ผู้คนต่างก็ให้ความชื่นชอบเพราะรสชาติที่อร่อยและมีความแปลกใหม่อีกด้วย
เมื่อกินกันอิ่มถึงอิ่มมากๆจากการสั่งไม่คิดของข้า พวกเราก็ถึงเวลาต้องออกไปจัดการเรื่องต่างๆได้แล้วที่แรกที่เราจะไปก็คือร้านช่างที่รับก่อสร้าง
ร้านรับก่อสร้างเป็นอาคารสูงห้าชั้นมีลานกว้างอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินเข้ามาด้านในอาคาร แทนที่จะเจอพวกช่างผู้ชายเดินไปมากลับเจอ
"คารวะนายท่าน คุณหนู คุณชายทั้งสองเจ้าคะ ไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องใดเจ้าคะ ติดต่อซ่อมแซมเชิญชั้นหนึ่ง ติดต่อช่างสร้างบ้านสร้างจวนเชิญชั้นสอง ติดต่อสร้างตึกสร้างอาคารสำหรับค้าขายเชิญชั้นสาม หรือต้องการรับคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องใดแจ้งข้าได้เลยเจ้าค่ะ" หญิงสาวหน้างดงามยืมยิ้มพร้อมกล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงหวานชัดถ้อยชัดคำ
เมื่อได้เจอการต้อนรับที่ดูคุ้นเคย ข้าได้แต่แปลกใจเคยเห็นแบบนี้ในทีวี พอได้มาเจอที่นี่ในยุคนี้มันช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
"พวกเราจะสร้างบ้านขอรับพี่สาว" เสียงน้องเล็กตอบพร้อมกับยิ้มกว้างส่งไปให้
"ถ้าอย่างงั้นเชิญที่ชั้นสองเจ้าค่ะ เชิญตามข้ามาทางนี้" พนักงานคนสวยยิ้มรับและเดินนำไปขึ้นบันได
พวกข้าเดินตามนางไปที่ชั้นสอง ก็จะเห็นเป็นประตูบานใหญ่ พอเปิดเข้าไปก็จะเจอกับฉากกั้นแบ่งส่วนของคนนั่งทำงานแยกกันเป็นสัดส่วนเหมือนกับออฟฟิศทำงานที่เคยเห็น
ตอนนี้ข้าเริ่มสับสนแล้วว่าตนเองย้อนมาในยุคโบราณหรือแค่ผู้คนแต่งตัวโบราณกันแน่ คนงานหญิงที่เป็นคนต้อนรับและพาขึ้นมาเชิญให้นั่งรอที่โซฟา ใช่มันคือโซฟาแบบที่เห็นตั้งอยู่ในห้องของโรงพยาบาลเพียงแต่ที่นี้เป็นสีน้ำตาลแค่นั้น
พวกเรานั่งลงไม่นานก็มีคนงานชายเดินถือสมุดเข้ามานั่งลงที่โซฟาตรงข้าม และเริ่มถามคำถามว่าต้องการสร้างบ้านหรือว่าจวน มีขนาดพื้นที่เท่าไหร่ งบประมาณเท่าไหร่ วัสดุอุปกรณ์ต้องการแบบไหนและอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งโชคดีที่ลุงเฉินตอบคำถามเหล่านี้ได้ เมื่อพูดคุยสอบถามรายละเอียดต่างๆเรียบร้อยก็ได้ข้อสรุปดังนี้
บ้านขนาดกลางมีเรือนใหญ่สามห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องกินข้าว หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องสุขาหนึ่งหลัง เรือนเล็กสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องสุขา สองหลัง ห้องครัวแยก เรือนคนงานจำนวนห้าห้องนอนสองหลังแยกชายหญิง
เมื่อตกลงเรื่องเรือนที่ต้องการแล้ว ก็มาเลือกแบบทางคนงานก็มีแบบมาให้ดูหลายแบบ เมื่อเลือกแบบได้ก็มาเรื่องของวัสดุและงบประมาณ
เมื่อข้าฟังราคาคร่าวๆแล้วทั้งสร้างเรือนและล้อมรั้วรอบเรือนโดยมีราคาและวัสดุให้เลือกตัวเลือกด้วยกัน ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 1500ตำลึงทอง 2500ตำลึงทอง และ5500ตำลึงทอง เมื่อฟังราคาและวัสดุของแต่ละราคาแล้วก็ให้มึนงงนัก
แต่สองแฝดกลับพร้อมใจกันเลือกแบบที่ราคา 5500ตำลึงทองทันที โดยให้เหตุผลว่าที่เรือนเก่าก็ใช้ไม้แบบนี้มันมีกลิ่นหอมและยังทนมากอีกด้วย
เมื่อได้ฟังราคาที่สองแฝดเลือกแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ตอนนี้มีเงินติดตัวอยู่แค่300ตำลึงทอง เท่านั้นจึงบอกกับคนงานว่าจะมาให้คำตอบอีกครั้งพรุ่งนี้ ขอไปศึกษารายละเอียดเผื่อจะปรับเปลี่ยนอะไรอีกที ซึ่งทางร้านก็ตอบรับพร้อมกับส่งใบจดรายละเอียดต่างๆมาให้เอากลับไปด้วย
เมื่อออกมาก็จะเที่ยงแล้วพวกเราจึงหาอะไรง่ายๆกินกัน เมื่อกินเสร็จแล้วก็แยกกันโดยข้าไปที่โรงรับฝากและให้ลุงเฉินพาสองแฝดไปเลือกเกวียนใหม่แล้วค่อยกลับมาหา
โรงรับฝากก็ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินเข้าออกพลุกพล่านตลอดเวลา ข้าเดินมองนั้นมองนี่ไปเรื่อย จนรู้สึกว่าชนเข้ากับอะไรสักอย่างจนเซเกือบจะล้ม ก็มีมือสอดมาที่เอวแล้วช่วยฉุดตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม แต่แรงฉุดนั้นก็ทำให้ตัวข้าปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างอย่างแรง และจมูกที่กระแทกโดนนั้นก็เจ็บจนน้ำตาแทบไหล
เพราะตกใจจึงหลับตาลง พอตั้งตัวได้เลยลืมตาดูว่าสิ่งที่ชนคืออะไร พบว่าเป็นคน? ข้าเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอามือจับไปที่จมูกตนเอง เห็นว่าคนที่ข้าเดินชนสวมหมวกคลุมหน้าตาเอาไว้ และน่าจะเป็นบุรุษส่วนที่จมูกชนถูกน่าจะเป็นหน้าอกของเขา
"ขอโทษๆ เอ้ย ขออภัยเจ้าค่ะข้าไม่ทันได้มอง ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่" ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
"ขอโทษ? หึหึ" เสียงผู้ชายพึมพัมขึ้นเบาๆแต่กลับได้ยินไม่ชัด จึงเงยขึ้นเพื่อมองเจ้าของเสียงนั้น
"ท่านว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ" ข้าเอียงคอถามด้วยความสงสัย
"ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ข้าไม่เจ็บ ขอตัว!!" พอพูดจบบุรุษคนนั้นก็รีบเดินออกไปทันที
"อะไรของเค้า ตัวเองไม่เจ็บแต่คนชนนี่ซิเจ็บ ตัวคนหรือกำแพงแข็งชะมัด อู้ยย" ข้าบ่นพึมพำพร้อมลูบจมูกไปด้วยแล้วจึงเดินเข้าไปด้านในเพื่อทำธุระทันที
เมื่อคล้อยหลังร่างเล็กกำแพงคนที่รีบเดินหนีออกมาก็เอามือกุมไปที่อกตนเองตรงตำแหน่งหัวใจที่โดนคนตัวเล็กชนเมื่อครู่ พร้อมกับควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นแรงของตนไปด้วย กลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา แค่ได้สบตาได้ใกล้ชิด ได้กลิ่นหอมจากร่างบางก็ทำให้ใจเต้นแรงได้ถึงเพียงนี้
เขาหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อเป็นป้ายหยกหนึ่งชิ้น แต่พอนำออกมามันก็แยกออกจากกันเป็นสองชิ้นทันที การหนีเที่ยวครั้งนี้อาจจะได้อะไรกลับไปฝากท่านแม่ที่คอยตามบ่นจนเขากับพี่ชายฝาแฝดจนต้องหนีออกมาจากตระกูลหลายปีมานี้ก็ได้
แต่ว่าดูยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยคงต้องใช้เวลาอีกสักสองสามปี แต่ผ่านมานานขนาดนี้ท่านแม่ยังรอได้รออีกแค่ไม่กี่ปีก็คงไม่เป็นไร
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงก็ยิ้มขึ้นอย่างหมายหมาด ถ้ามีใครหรือสตรีใดได้มาเห็นใบหน้าและรอยยิ้มนี้เข้าคงไม่แคล้วเขินอายจนละลายกลายเป็นน้ำแน่ๆ
เมื่อติดต่อเรื่องขอตรวจทรัพย์สินกับทางโรงรับฝาก ซึ่งก็ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากอะไร แค่เอาป้ายไม้ยื่นให้ ทางร้านก็เอาไปตรวจๆอะไรสักอย่าง ก็ยื่นสมุดมาให้สองเล่มและเชิญให้ข้าไปยังห้องรับรองเพื่อตรวจสอบได้ตามสบาย
เมื่อรับสมุดมาและเดินตามคนงานที่พามานั่งในห้องเล็กๆที่มีโต๊ะและเก้าอี้อ่านหนังสือ บนโต๊ะมีพู่กัน ดินสอ กระดาษวางเตรียมไว้ให้ และยังรินน้ำชาให้เรียบร้อยแล้วบอกว่าตนจะรอด้านนอกสงสัยสิ่งใดให้เรียกได้
ข้าลองเปิดดูสมุดเล่มของท่านพ่อก่อนเมื่อเปิดไล่ดูไปเรื่อยๆก็ให้คล้ายสมุดบัญชีธนาคาร มีฝากมีถอนมีคงเหลือมีดอกเบี้ย และในยอดรวมคือ หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองเมื่อได้เห็นยอดเงินแล้วก็ต้องตกใจ
ยอดเงินขนาดนี้จะสร้างบ้านราคา 5500 ตำลึงทองคนละหลังยังได้ แต่ก็ได้แค่คิดตอนนี้สองแฝดยังเล็กถ้าโตกว่านี้อาจจะต้องใช้เงินมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นเงินก้อนนี้ข้าจะเก็บไว้ให้สองแฝด
มาเปิดดูเล่มที่เป็นชื่อข้าก็ยิ่งตกใจยอดเงินคือสามแสนแปดหมื่นตำลึงทอง เมื่อเห็นยอดเงินแล้วก็คิดได้ว่าควรจะเปิดบัญชีให้สองแฝดเอาไว้ดีกว่าที่จะเอาเงินมาจมไว้ที่สองนี้บัญชี บัญชีของท่านพ่อข้าจะถอนเอาเงินมาใส่ให้สองแฝดแล้วเหลือเอาไว้ให้ลุงเฉินใช้จ่าย น่าจะสะดวกกว่าการที่ข้าจะต้องออกมาเบิกถอนเอง
พอคิดได้เช่นนี้จึงเรียกคนงานมาสอบถามถึงสิ่งที่คิด ซึ่งทางคนงานก็แจ้งว่าทำได้เพียงแต่ต้องเปิดบัญชีของลุงเฉินใหม่ถ้าคนที่ไม่ใช่สายเลือดหรือได้รับมอบจากเจ้าของบัญชีโดยตรงจะทำการเบิกถอนไม่ได้
พอได้ยินดังนั้นเลยคิดว่าคงต้องให้ลุงเฉินเปิดเป็นชื่อตนเองและนำเงินมาใส่ให้คงจะสะดวกกว่า ข้าจึงตกลงทำการเปิดบัญชีใหม่สามบัญชี โดยคนงานแจ้งว่าต้องให้ผู้ถือบัญชีมาหยดเลือดยืนยันด้วยตนเอง และนั่งรอทั้งสามคนซึ่งไม่นานก็มาถึงจึงจัดการตามที่คิดเอาไว้ทันที
ลุงเฉินทำท่าทางจะปฏิเสธแต่ข้าก็ดักไปด้วยคำที่ว่าข้าเป็นสตรีคงไม่สะดวกไปๆมาๆจัดการเรื่องพวกนี้ ซึ่งพอลุงเฉินได้ยินเช่นนี้จึงยอมตกลง เลยฝากเงินในชื่อลุงเฉินไปหนึ่งหมื่นตำลึงทอง เพราะคนงานบอกฝากเกินหนึ่งหมื่นตำลึงทองจะไม่ถูกหักค่าธรรมเนียมร้อยละห้าในการเปิดบัญชีครั้งแรก
ข้าไม่ได้งกน่ะก็แค่ฝากทีเดียวจะได้ใช้ได้นานๆไงล่ะ ส่วนของสองแฝดก็ฝากให้คนละหนึ่งแสนตำลึงทอง ทั้งสองดีใจมากที่ได้กลายเป็นเศรษฐีน้อยๆแต่ทั้งสองก็ยังให้ข้าเป็นคนเก็บรักษาป้ายเบิกถอนให้อยู่ดี
เมื่อจัดการเรื่องเงินทองเรียบร้อยพวกข้าจึงกลับมาที่โรงเตี้ยมเพื่อปรึกษาเรื่องบ้านกัน
โดยข้าตัดสินใจว่าจะสร้างเป็นเรือนใหญ่ทั้งหมดสามเรือนยกเรือนกลางให้ลุงเฉินและห้องข้างก็เอาไว้เผื่อรับแขก ส่วนอีกสองเรือนก็เป็นของข้าหนึ่งเรือน น้องชายอยู่ด้วยกันอีกหนึ่งเรือน
ทำไมถึงให้สองแฝดอยู่ด้วยกันเพราะทั้งคู่ยังเด็กอยู่และข้ายังไม่อยากให้แยกกันนอน แต่อีกหน่อยถ้าพวกเค้าโตขึ้น ตอนนั้นข้าอาจจะได้แต่งงานออกไปแล้วก็ได้ร่างนี้ 14ปีแล้ว อีกปีเดียวก็ปักปิ่นอย่างมากก็สัก 18 หรือ 20 ค่อยแต่งตอนนั้นสองแฝดยังพึ่งจะกี่ขวบกัน
จึงพูดคุยกับลุงเฉินในเรื่องนี้ ลุงเฉินจึงบอกว่าหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงานในยุคนี้ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยเลวร้ายหรือมีโรคประหลาดอะไรก็จะแต่งงานกันไม่เกิน 18ปีทั้งนั้น
ข้าบอกเรื่องที่เป็นห่วงสองแฝดเพราะถ้าข้าแต่งงานใครจะดูแลพวกเขา ลุงเฉินบอกว่าให้หาบุรุษแต่งเข้าก็ได้ ไม่ต้องย้ายออกไปก็น่าจะดีแต่ยังมีเวลาอีกสามปีสี่ปีไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังมีความฝันที่อยากจะทำอีกเยอะ เรื่องแต่งงานรอไปก่อนละกันโดยไม่รู้เลยว่ามีบุรุษจ้องจะจับนางไปเป็นภรรยาเรียบร้อยแล้ว