4
“อานัดเพื่อนไว้ตอนบ่ายน่ะ เขามาจากฝรั่งเศสก็เลยมาก่อนเวลา” คนเป็นอาตอบ ทรุดกายลงนั่งบนโซฟารับแขก “เป็นไงสบายดีไหม แล้วอัลบาโรล่ะซนหรือเปล่า”
“ผมสบายดีครับ ส่วนอัลบาโรก็ดื้อ ซนตามประสาเด็ก”
“ความดื้อความซนอยู่คู่กับเด็ก แต่อย่าให้แกกลายเป็นเด็กแข็งกระด้าง ไม่ฟังใคร โตขึ้นจะคุมและสอนลำบาก ช่วงนี้แกก็ต้องดูลูกให้ดีหน่อยนะ อย่าทำตัวเป็นคนโสดไม่มีลูก อย่าสนใจแต่สาวๆ ล่ะ”
อเล็สซานโดรรู้นิสัยหลานคนนี้ดี เป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน แล้วยังรู้เรื่องการดูแลลูกของฟรานเซสโก้ที่ให้เงินมากกว่าความรักด้วย เขาเองเคยบอกเคยเนตือนหลายครั้ง ทว่าพ่อมาลัยลอยชายไม่ปรับปรุงตัว จนบางครั้งอยากจะปล่อยๆ ไม่อยากยุ่ง แต่ก็อดไม่ได้
“คุณอาพูดแบบนี้ ทำให้ผมคิดว่า ผมเป็นพ่อที่แย่มาก” วันนี้มีคนทำให้ฟรานเซสโก้รู้สึกไม่ดีในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองคน แต่ละคนก็พูดถูก พูดทิ่มกลางใจทั้งสิ้น
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ” อเล็สซานโดรดักทางถาม
“จริงครับ” ฟรานเซสโก้ยืดอกรับ “ผมพยายามปรับปรุงตัวอยู่ครับ”
“อาได้แค่เตือนนะ ไปข่มขู่หรือเขี่ยวเข็ญแกมากก็ไม่ได้ โตๆ กันแล้ว อัลบาโรเป็นเด็กน่าสงสาร ขาดแม่ไม่พอ ยังรู้สึกว่าตัวเองขาดพ่ออีก” อเล็สซานโดรยิ่งพูด ยิ่งทิ่มใจฟรานเซสโก้ “เป็นพ่อคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นพ่อที่ดียากกว่า อาไม่อยากให้แกศักดิ์แต่ว่าทำให้เขาเกิดมาแล้วไม่เลี้ยงดูให้ดี อาเป็นห่วงแกนะถึงได้เตือน”
“ครับคุณอา ผมเข้าใจครับ และรู้ตัวว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไม่ดี” ฟรานเซสโก้ทำหน้าสลด “ลิซ่ากำลังแต่งงาน เธอต้องย้ายไปอยู่กับสามีที่เมืองอื่นเลยดูแลอัลบาโรไม่ได้ ผมเลยต้องหาพี่เลี้ยงคนใหม่ ผมไม่รู้ว่าพี่เลี้ยงคนใหม่จะทนฤทธิ์ลูกชายผมได้หรือเปล่า คุณอาพอจะมีใครแนะนำให้ผมได้ไหมครับ”
“พี่เลี้ยงน่ะหาไม่ยาก แต่จะหาคนที่ทนฤทธิ์อัลบาโรได้นี่สิยากกว่า”
ชื่อเสียงเรื่องนิสัยของอัลบาโร เขารู้ดี และกังวลอยู่ไม่น้อย หากไม่มีใครอบรมบ่มนิสัย อัลบาโรจะเติบใหญ่เป็นคนก้าวร้าว เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังใคร ตระกูลเดอมาร์ชีแม้ว่าจะเป็นตระกูลมาเฟีย และหลายคนมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ทว่ายังรับฟังใครบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ตอนนี้นิสัยอัลบาโรไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากไม่มีใครอบรมบ่มนิสัย รับรองว่า ในอนาคตหากอัลบาโรเป็นมาเฟีย เขาจะเป็นมาเฟียใจโฉดที่หาความดีไม่ได้
“นั่นสิครับ ผมก็คิดอย่างนั้น”
ฟรานเซสโก้เพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเองพลาดหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่แน่ๆ คือ การเอาใจใส่ลูกชายที่ไม่มีแม้แต่นิดน้อย แทบจะไม่อยู่ในสมองเขาด้วยซ้ำ ทว่าต่อไปนี้เขาต้องคิดใหม่ทำใหม่ก่อนจะสายเกินไปตามคำเตือนของอเล็สซานโดรกับลิซ่า
“เราก็ต้องลองดู ไม่แน่อาจจะมีคนมาเปลี่ยนนิสัยอัลบาโรก็ได้”
“ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้นครับ”
“เออ...ลืมไปเลย พอดีอามีเพื่อนเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กนะ แล้วยังจะจัดหาพี่เลี้ยงนอกสถานที่ด้วย อาจะลองติดต่อให้นะ” ฉับพลันอเล็สซานโดรนึกถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา “ว่าแต่ลิซ่าจะไปเมื่อไหร่ล่ะ อาจะได้บอกเขาถูก”
“อาทิตย์นี้ครับ คุณอาบอกเขาว่าให้เริ่มงานวันจันทร์หน้าครับ”
“อืมได้”
“ขอบคุณคุณอามากนะครับที่ช่วยผม”
“อาอยากหาคนที่ดีที่สุดให้อัลบาโรน่ะ เพราะไม่รู้ว่าคนเป็นพ่อจะปรับปรุงตัวจริงหรือเปล่า” อเล็สซานโดรไม่วาบแขวะใส่หลานชาย “มัวแต่คุยเรื่องอื่น ลืมไปเลยว่าที่อาแวะมาหาแกเพราะจะเอาไอ้นี่มาให้ เป็นแบบเครื่องบินที่แกบอกช่วยให้ออกแบบ อาทำใส่ไว้ในนี้แล้ว แกไปเปิดดูล่ะกัน”
“ขอบคุณครับคุณอา” ฟรานเซสโก้ยื่นมือไปรับเมมโมรี่การ์ด แล้วสอดใส่กระเป๋า
“อาไปก่อนนะ ค่ำนี้เจอกันที่บ้านนะ”
“ครับคุณอา”
ฟรานเซสโก้เดินไปส่งอเล็สซานโดรที่ประตูห้อง ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ทำงาน รีบนำเมมโมรี่การ์ดเปิดดูข้อมูลในนั้น ที่หาใช่เรื่องเกี่ยวกับเครื่องบินส่วนตัว แต่เป็นเรื่องอื่นที่มีความสำคัญมาก...ลับสุดยอด
เสียงร้องเพลงดังมาจากห้องโถงใหญ่ของสถานรับเลี้ยงเด็กมาร์ลีน เด็กที่สถานที่แห่งนี้รับเลี้ยงเด็กจะอยู่ในวัยสามปีถึงหกปี และมีผู้ปกครองไว้ใจให้มาเลี้ยงดูนับสิบราย แล้วยังรับจัดหาพี่เลี้ยงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุทั้งช่วยเหลือตัวเองได้และไม่ได้ให้กับบุคคลที่ต้องการจ้าง มีทั้งประจำและไปกลับแล้วแต่ผู้ว่าจ้างปรารถนา
เจ้าของสถานที่นี้คือ อีเมอร์สัน ฟอร์ซซานา ชายวัยห้าสิบห้าปีผู้น่าเกรงขาม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน แถมยังไว้หนวดไว้เครา มีรอยสักรูปหัวกระโหลกไขว้ตรงต้นแขนทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้น คล้ายอยู่ในแก็งค์มาเฟีย ทว่าจิตใจกลับอ่อนโยน มีความเมตตากรุณาและความปรานี เขามีภรรยานามว่า มาลีน่า เป็นสาวชาวไทยที่อยู่กินกับสามีมาร่วมสามสิบปี ไม่มีโซ่ทองคล้องใจมีแต่หลานสาวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบหนึ่งคนนามว่า ไลลา
ไลลาถือกำเนิดที่เมืองไทย แต่ถูกมารดาและบิดาทอดทิ้งให้ต้องอยู่ในบ้านร่มเย็น บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กเล็กและโตที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับไลลาอีกร่วมร้อยชีวิต พอมาลีน่าทราบข่าวว่า หลานสาวถูกน้องสาวทิ้งให้อยู่ที่นี่ มาลีน่ารีบมารับไลลาไปอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากนับระยะเวลาก็นานร่วมสิบแปดปี