สายฝนมาพร้อมแรงลม เศษฟางจากมัดที่วางซ้อนเรียงไว้ปลิวกระจายไปทั่ว มือหนารีบดึงภรรยาเข้าหาตัวเอง โดยใช้ร่างแกร่งเป็นโล่บังเศษฟางที่ถูกพัดเข้ามา
“พ่อว่า แกพาหนูเมย์เข้าบ้านไปดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายเสียเปล่าๆ”
หญิงสาวส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย แต่สายฝนที่พัดผ่านเข้ามาพร้อมฝุ่นละออง ทำให้หล่อนรู้สึกครั่นเนื้อครั้นตัวแปลกๆ
“ว่าไงครับ จะกลับเข้าบ้านหรือเปล่า” เขาถามเสียงนุ่มเพราะไม่อยากขัดใจภรรยานัก
“ฮัด...ชิ้ว!” ไม่ทันได้ตอบ อาการของร่างกายก็แสดงออกมาให้เห็นเสียก่อน ยิ้มให้สามี “คงไม่ต้องตอบนะคะ” เสียงอู้อี้ตอบพร้อมถอนหายใจเบาๆอย่างเซ็งๆ
“เมย์คงอยู่แต่กับห้องแอร์มานาน พอได้มาเจออากาศบริสุทธิ์แบบนี้ร่างกายก็เลยปรับสภาพไม่ทัน เมย์นี่แย่จริงๆ เลยนะคะ”
ได้ยินคำพูดประชดตัวเองจากคนข้างๆ ชายหนุ่มจึงหันไปส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ เพราะรู้ว่าผู้เป็นพ่อก็คงได้ยินเช่นเดียวกับเขา
นึกขำกับคำพูดของภรรยาจึงส่งยิ้มบางๆ ไปเพื่อให้กำลังใจ
ผู้สูงวัยที่ยังมีรูปร่างแข็งแรงมีใบหน้ายังคงความหล่อเหลาซึ่งผู้เป็นลูกชายรับไปเต็มๆ แม้ว่าจะมีเส้นริ้วรอยปรากฏให้เห็นตามวัย บอกลูกชายไปว่า “ไปเถอะ พาหนูเมย์เข้าบ้านเถอะ ทางนี้พ่อจัดการเอง...เดี๋ยวนายปั่นก็คงตามมา เพราะมันบอกว่าจะมาช่วยลุ้นอยู่เหมือนกัน” นายปั่นที่เอ่ยถึงก็คือคนที่รับผิดชอบม้าคอกนี้
“ครับพ่อ” วิรุจเอ่ยรับ และเดินเข้าไปหาร่างบางพร้อมกับโอบไหล่ไว้และผลักหัวไหล่เบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไปกันเถอะแทนคำพูด ก่อนจะพากันออกไป
ผู้สูงวัยยิ้มกับภาพหนุ่มสาวที่กำลังเดินฝ่าสายฝนออกไป ครั้งแรกที่เห็นหญิงสาว ‘คนเมือง’ เขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่ดูบอบบางและดูท่าทางเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจะอยู่ในฟาร์มแห่งนี้ได้ ตอนนี้เขาจึงได้รู้ว่าคนเราอย่าดูกันแค่รูปลักษณ์ภายนอก...จิตใจที่สั่งการกระทำต่างหากคือตัวตนของคนเราอย่างแท้จริง...
สองสามีภรรยาโอบกอดประคองกันมา รีบมุ่งหน้าตรงไปบ้านพักที่แยกออกจากบ้านหลังใหญ่ แต่สายตาคมกล้าของวิรุจพลันเห็นเงาดำๆ เคลื่อนไหวอยู่อีกด้าน
“เมย์เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกภรรยา หญิงสาวแหงนมองหน้าคนพูด
“อ้าว! ไม่เข้าไปพร้อมกันหรอกหรือคะ” ถามกลับด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“เข้าไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่จะเข้าตามไป...”
คิ้วเรียวผูกปมเข้าหากัน แต่... “ฮัดชิ้ว!”
“เห็นไหม...คงเป็นหวัดแล้วละสิ เปิดน้ำอุ่นอาบซะเดี๋ยวพี่กลับมา” เขาย้ำด้วยความเป็นห่วง แล้วดันแผ่นหลังให้เดินเข้าด้านใน เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการหนักขึ้น แล้วรีบไปในที่ ที่เขาตั้งใจเสาะหาความจริงอย่างไม่รอช้า
“ดะ... เดี๋ยว!” ร่างบางร้องเรียกสามีที่เดินหันหลังออกไปอย่างเร่งรีบ
ความสงสัยยังอยู่เต็มในหน้าแต่ด้วยความหนาวและอาการจามเริ่มหนักขึ้น หญิงสาวจึงตัดใจก้าวเข้าบ้านไปจัดการหาความอบอุ่นให้กับตัวเองก่อน
รังรอง ชัยนิมิต อายุยี่สิบหกปี ร่างสมส่วน ในชุดนอนบางเบานาบแนบไปกับเนื้อตัวที่เปียกปอน รีบก้าวเข้าบ้านหลังใหญ่และยื่นเท้าไปยังก๊อกน้ำหน้าบ้าน เพื่อล้างโคลนที่ติดอยู่ออก เมื่อสะอาดดีแล้วจึงรีบเข้าบ้านทันที เพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่สามีจะกลับเข้ามา
“ตกบ้าตกบออยู่ได้” เสียงแหลมบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์กับธรรมชาติที่เกิดขึ้น
“ทำไม...หากฝนไม่ตกคุณจะนอนที่โน้นเลยหรือไง” คนที่ถูกแย้งคำพูดสะดุ้งสุดตัว
ดวงตาของคนทำผิดเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะปรับสีหน้าให้ปกติ เมื่อสายตาหันมาเห็นชายหนุ่มที่หล่อนเคยอยากได้มาครอบครองยืนกอดอกพิงข้างฝา หากแต่สายตานั้นมันช่างดูถูกและเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะรู้สึกอะไร...
“ดีนะที่ยังกลับมาได้...” วิรุจเค้นน้ำเสียงออกมา มองดูอย่างสังเวชใจ อีกฝ่ายตวัดสายตามองอย่างไม่แคร์ สำรวจสภาพชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามา เนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากหล่อนเท่าไรนัก ผิดกันที่ว่าเสื้อผ้าหล่อนมันบางจนไม่อาจบดบังอะไรได้และเขาก็รู้ดีว่าหล่อนคงต้องการให้เขาได้เห็น เพราะหล่อนไม่คิดจะปกบิดอะไรเลย บางทีเขาเสียอีกที่คิดว่าคงมาผิดเวลาเสียแล้ว...
เหตุการณ์ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในความต้องการของหล่อนสักเท่าไหร่ เมื่อปรับสีหน้าท่าทางให้กลับมาเป็นปกติแล้วเธอจึงเอ่ยขึ้น “ฉันจะไปไหนก็ช่าง แต่ยังไงซะก็กลับมาแล้ว และฉันจะไปทำอะไรตรงไหนก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” คนทำผิดเชิดหน้าอย่างถือดี
“รู้ดีอยู่แล้ว...คราบมันยังไม่หมดออกจากตัวคุณด้วยซ้ำ...ร่านไร้ยางอาย” เสียงทุ้มเอ่ยไม่ไว้หน้า รู้สึกขยะแขยงกับการกระทำของอีกฝ่าย
หากไม่กลัวว่าความเลวที่คนตรงหน้าทำเอาไว้จะรู้ถึงหูพ่อ เขาคงได้จัดการขั้นเด็ดขาดกับศรีภรรยาของพ่อไปแล้ว แต่ที่ต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้เพราะห่วงสุขภาพและจิตใจของท่านโดยพยายามแก้ไขเรื่องที่หล่อนทำอยู่อย่างเงียบๆ
ครั้งก่อนเขาไล่คนงานในฟาร์มออกไปคนหนึ่ง เนื่องจากสืบรู้มาว่าแอบมีสัมพันธ์ลับกับแม่เลี้ยงมานาน ตั้งแต่อยู่ที่ฟาร์มม้าเก่ากระทั่งคนเป็นพ่อย้ายมาเปิดที่ใหม่ก็ตามมาเป็นคนงานในฟาร์มเหมือนเดิม โดยไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้ เมื่อเขากลับมาและเริ่มบริหารงานในฟาร์มแทนบิดาที่อยากวางมือเต็มแก่ เขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติระหว่างเมียใหม่พ่อกับลูกน้องในฟาร์ม จึงคอยจับตาดูจนได้รู้เห็นและมีหลักฐานมัดตัวจึงไล่ออกไป แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
“หรือ...รู้แล้วงั้นเหรอ” เธอไขว่ไหล่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
คำพูดของคนตรงหน้าทำให้วิรุจยิ่งสมเพชอีกฝ่ายหนักขึ้นกวาดตามองไปตามเรือนร่างอวบอัดและไล่สายตาไปตามเนื้อผ้าที่แนบไปกับเรือนร่างนั้น เขาไม่ได้มองเพราะพิศวาสแต่มองอย่างเวทนา
ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อก่อนรูปร่างน่าหลงใหลนี้เขาเคยอยากได้และอยากจับจองเป็นเจ้าของ แต่เพราะความใจด่วนรวนเร ผสมกับความมักง่ายอยากสบายของหล่อ และเมื่อคิดไปถึงการกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนนั้น ก็ทำให้ความต้องการในตัวเธอเหือดหายไปทันที...
เมื่อห้าปีก่อน สาวน้อยไร้เดียงสา จบแค่ ปวส. เข้ามาสมัครทำบัญชีของฟาร์ม เจ้าของฟาร์มใจดี แม้จะไม่จำเป็นต้องหาคนทำบัญชีเพิ่มก็ตาม แต่ด้วยความสงสาร ปากช่างเจรจานั้น “หนูไม่มีญาติพี่น้อง ทำงานส่งตัวเองเรียนได้แค่นี่แหละคะ ตอนนี้อยากมีงานทำเหมือนคนอื่นๆเขา รับหนูไว้ทำงานนะคะ”
“คือ ลุง ไม่รู้จะจ้างยังไง คนงานส่วนมาก ลุงก็ให้เท่าที่ให้ได้ ไม่เยอะ”
“เท่าไหร่ก็ได้ หนูไม่เรื่องมาก แค่มีที่อยู่ที่กินหนูก็พอใจแล้ว”
คำพูดนั้น เจ้าของฟาร์มพ่อหม้าย ใจอ่อนจึงตัดสินใจรับไว้และให้ที่อยู่อาศัยในฟาร์มโดยไม่สืบเสาะว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร รู้แค่การบอกเล่าว่าเธอไม่มีญาติที่ไหนเท่านั้น และด้วยการทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน จนเป็นที่รักใคร่ของพวกลูกจ้างทั้งหลาย อย่างอื่นจึงไม่ได้รู้สึกคาใจแต่อย่างใด เพราะเจ้าของฟาร์มคิดว่า... การทำงานอยู่ด้วยความเข้าใจและซื่อสัตย์เข้ากับคนอื่นๆ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันต่างหาก คือผลสรุป