ใต้ความหัวเราะมีน้ำตาซ่อนอยู่ ;_;
โธ่โว้ย! ไอ้เหี้ยหยกมันเล่นบ้าอะไรของมันวะเนี่ย!
ผมส่งเสียงครางฮึ่มฮั่มอยู่ในลำคอก่อนจะใช้มือข้างนึงหยิกเข้าที่แขนของไอ้เหี้ยหยกเป็นสัญญาณให้มันหยุด แต่มันก็ไม่เลิก
“ไม่ๆ ไม่ใช่แบบนั้นสิ” ไอ้เหี้ยหยกพยายามจะเบนเข็มกลับไปทิศทางเดิมที่มันจะเล่า มันพูดไปยิ้มไปเหมือนจะยั่วประสาทผมเล่นๆ
“มันเป็นแบบนั้นแหละ” ผมยืนยันและหยิกมันอีก
“มึงเล่นอะไรของมึงเนี่ย!” ผมกระซิบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ไอ้หยกลอยหน้าลอยตาก่อนจะตอบกลับมาเสียงเบาเท่าที่จะได้ยินกันแค่สองคน
“จะช่วยกูปะล่ะ ถ้ามึงไม่ช่วยกูก็จะพูดต่อ”
“ช่วยเหี้ยไรของมึงวะ?”
“ก็ทำให้กูอยู่หอกับเพื่อนมึงไง”
“กูจะช่วยยังไง มึงบ้าเหรอ! มึงอยากอยู่กับมัน มึงก็ไปคุยกับมันเองดิ กูไม่เกี่ยว” ผมว่า เพราะแม้มันบอกให้ผมช่วย ผมก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง คนอย่างไอ้ยิมบังคับได้ที่ไหน และผมก็ไม่อยากจะไปบังคับเพื่อนให้อยู่กับขุมนรกอย่างไอ้เหี้ยหยกด้วย
“ไม่รู้อ่ะ กูจะพูด ถ้ามึงไม่ช่วยกู กูจะพูดทุกอย่างรวมทั้งเรื่องวันนั้นด้วย”
ไอ้เหี้ยหยกงัดไม้ตายออกมาด้วยการพูดคำว่า ‘เรื่องวันนั้น’
มันเป็นคำต้องห้ามสำหรับผม เพราะแค่ผมได้ยิน ผมก็สามารถจินตนาการย้อนหลังได้เป็นฉากๆ หน้าไอ้เหี้ยหยกกับผมลอยเข้ามาในหัว เหงื่อแตกพลั่กเป็นเม็ดๆ
Oh my god WTF!!!
ผมสบถอยู่ในใจก่อนที่จะสบตาไอ้เหี้ยหยกที่มองด้วยท่าทีมีเลศนัย มันยกยิ้มเมื่อเห็นผมกลัดกลุ้ม พลางยักคิ้วให้สองครั้งเหมือนจงใจกวนประสาท
“เออ” ผมถอนหายใจ
“เอออะไร”
“เออ กูช่วยก็ได้ไง!”
แม่งเอ๊ย!! ฆ่าผมให้ตายยังดีกว่าเปิดเผยเรื่องวันนั้นเหอะ!
“พวกมึงซุบซิบไรกันวะ ละตกลงเมื่อก่อนไอ้ยีนส์มันทำไมเนี่ย มาเล่าแล้วก็ค้างคาให้สงสัย” ไอ้ปืนย่นคิ้วเมื่อเห็นผมกับไอ้เหี้ยหยกกระซิบกระซาบกันสองคน ไอ้หยกหัวเราะเล็กๆ และเปลี่ยนท่าทีรวดเร็ว
“กูก็แค่จะบอกว่ากูกับไอ้ยีนส์เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว และรักกันมากแค่ไหน” ไอ้เหี้ยหยกไม่พูดเปล่าดึงคอผมเข้าไปกอดพร้อมกับลูบหัวแรงๆ สองสามทีแสยยะยิ้มเลวๆ อีกหนึ่งที “เนอะยีนส์เนอะ”
“เออ... รักมากกกกกกกกกกก” ผมกัดฟันลากเสียงแล้วยิ้มแหยๆ อย่างไม่เต็มใจนัก ไม่รู้ว่าผมดวงตกหรือพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ชีวิตเข้าสู่ปีชงเต็มรูปแบบถึงได้มาเจอไอ้เหี้ยนี่... ไม่ต้องมีญาณทิพย์ ผมก็มองออกว่าภายภาคหน้าความฉิบหายจะเข้ามาเยือนผมไม่เว้นวันแน่นอน!
ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อยใจอะไรขนาดนี้มาก่อน ผมไม่อยากจะช่วยไอ้ยิมกับไอ้เหี้ยหยก แต่คำว่าเรื่องวันนั้นมันช่างค้ำคอผมเสียเหลือเกิน ผมอยากย้อนเวลากลับไปดีลีทมันทิ้งพร้อมคลิกขวาและกด Empty Recycle Bin เพื่อไม่ให้มันย้อนกลับมาหลอกหลอนผมอีก
Yok คนหล่อ : อย่าลืมที่กูพูดนะ
Yok คนหล่อ : ไม่งั้นเรื่องวันนั้นจะเผยแพร่สู่สาธารณะชน
ไอ้เหี้ยหยกกลับไปแล้วแต่มันยังไม่วายไลน์มาย้ำผมไม่เลิก พอมันกลับไป ผมก็รู้สึกเหมือนชีวิตที่มืดมนของผมสว่างไสว หัวใจพองโต ดอกไม้ที่เคยแห้งเหี่ยวกลับงดงามกว่าวันไหน มันอาจจะฟังดูเว่อร์ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คนอย่างไอ้เหี้ยหยกนี่มันตัวซวยชัดๆ
“ยีนส์ มึงเป็นไรปะวะ?” ไอ้ยิมย่นคิ้วเมื่อเห็นผมตีสีหน้าเหนื่อยเหลือทน
“เออ มึงทำหน้าเหมือนปวดขี้มาสักพักละนะ” ไอ้ปืนเสริมในตอนที่พวกเรากำลังเดินเปื่อยๆ อยู่ที่คณะ
“ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกปวดหัว”
“กลับหอ ไปแดกยานอนมั้ย เดี๋ยวกูไปส่ง” ไอ้ยิมว่าก่อนจะยื่นมือมาแตะหน้าผากผมเช็คอุณหภูมิ ผมถอนหายใจหนักๆ เพราะไม่รู้ว่าจะนอนหลับมั้ย ยิ่งมันแสดงความเป็นห่วง ผมก็รู้สึกว่าผมเหี้ยมากที่คิดจะปกปิดเรื่องวันนั้นด้วยการอวยมันกับไอ้เหี้ยหยก เหมือนส่งเพื่อนตกนรกขุมที่สิบแปด
“ยิม มึงยังไม่ทำการบ้านอาจารย์สมชายไม่ใช่เหรอวะ มึงกลับไปทำงานก่อนเหอะ ส่วนไอ้ยีนส์อ่ะ กูไปส่งเอง” ไอ้ปืนเสนอตัว
“อะไรของมึงวะปืน ก็กูบอกว่ากูจะไปส่ง งานอาจารย์สมชายทำแป๊ปเดียวก็เสร็จ”
“ไม่เป็นไรหรอกมึง กูไม่ได้เป็นไรขนาดนั้น ยังไหว” ผมตัดบทเพราะรู้ว่าถ้ารอให้มันทะเลาะกันเสร็จ คงอีกประมาณชาติกว่า
“เออ ยิม” ผมเอ่ยขึ้นมาก่อนจะเหล่สายตาไปมองไอ้ยิมเล็กน้อย อยากจะรู้ความคิดเห็นของมันเกี่ยวกับไอ้หยก ผมจะได้ชงถูก “มึงว่าเพื่อนกูเมื่อกี้เป็นไงวะ”
“เมื่อกี้? หยกอะเหรอ?”
“เออ นั่นแหละ”
“ก็ดูไฮเปอร์นิดๆ นะ ทำไมวะ”
“แค่นั้นเหรอ?”
“ก็ไม่มีไรนิ”
ไอ้ยิมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและโคตรเพิกเฉยต่อไอ้เหี้ยหยกสุดๆ ผมไม่รู้ว่ามันมองยังไงถึงคิดว่าไอ้ยิมชอบ สงสัยจริงๆ ว่าใช้ตาหรือตีนดู!
“มีไรรึเปล่า” ไอ้ยิมย่นคิ้วสงสัยในสิ่งที่ผมถาม ผมยักไหล่แล้วปฏิเสธ
“ก็ไม่หรอก ถ้ามึงอยากหาคนช่วยหารค่าหอ ก็ไอ้หยกก็ได้นะ” ผมเริ่มเข้าประเด็นล่อลวงไอ้ยิม ไอ้ปืนหันมามองผมด้วยท่าทีสนใจ
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ กูเพิ่งเคยเจอครั้งแรกเอง ต่อให้เป็นเพื่อนมึง แต่กูก็ไม่เคยรู้จักมักจี่นะ”
“มันก็ค่อนข้างเป็นคนดีนะมึง” ผมพูดด้วยความกระดากปาก เมื่อนึกถึงวีรกรรมประสาทของมันแล้วผมก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคำๆ ไหนสามารถนิยามความกวนประสาทของมันได้
“คือยังไงวะ” ไอ้ยิมแค่นหัวเราะเบาๆ แต่หน้ามันไม่ได้ยิ้มด้วย
“...”
“ที่มึงพูดมาเนี่ย คงไม่ใช่เพราะว่ามึงไม่อยากมาอยู่กับกูเลยโยนเพื่อนมึงมาให้ใช่ปะ?”