“มึงเงียบทำไมเนี่ย” ผมอึกอักและอึดอัดตอนที่มันจ้องผมไม่ละ เหมือนกำลังถูกหมายหัวยังไงก็ไม่ทราบ การที่มันมองผมด้วยสายตามีลับลมคมในอย่างนี้ ถ้ามันไม่ได้นึกด่าผมในใจ มันก็คงจะหมายถึงมันจะแดกหัวผมแน่ๆ
“...” มันยังเงียบอยู่ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ผมเลยรีบพูดดักมันขึ้นมาก่อน ผมรู้สึกได้เลยว่ามันมีรังสีแปลกประหลาดออกมาจากสายตามัน บางทีคงจะเป็นรังสีฆ่าฟันที่มันกำลังเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกมันอยู่ก็ได้
“ยิม ถึงมึงจะหิวแค่ไหน มึงก็แดกหัวกูไม่ได้นะ”
ไอ้ยิมถอนหายใจเมื่อผมพูดจบ
“มึงต้องเข้าใจสถานะกูดิวะ มึงกับไอ้ปืนก็เป็นเพื่อนกัน กูจะแยกร่างไม่ได้ กูก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่หว่า”
ไอ้ยิมถอนหายใจหนักกว่าเดิม มันแสดงสีหน้าหงุดหงิดตอนที่ผมพยายามจะอธิบายความลำบากใจที่กำลังเกิดขึ้นกับผม
“มึงพอเลย คนอย่างมึงเนี่ยมันน่ารำคาญจริงๆ”
“เออน่า กูขอโทษ กูก็ซื้อขนมมาง้อละไง” ผมพยายามกระเง้ากระงอดแล้วออดอ้อนด้วยสายตา ตีหน้าน่าสงสาร
“ถ้ามึงทำเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องง้อ มึงก็ไม่ต้องมา”
“หน้าที่อะไรวะ กูก็มาเพราะมึงเป็นเพื่อนไง”
“เหรอ...” ไอ้ยิมแค่นหัวเราะแล้วทอดสายตาเย็นเยียบมาทางผม ทำเอาผมกลืนน้ำลายอึก รู้สึกถึงลางร้ายที่ย่างกรายเข้ามา “เห็นพูดอย่างนี้ทุกที แต่ก็ทิ้งกูตลอด”
“ทิ้งอะไร กูไม่ได้ทิ้ง” ผมว่าพลางทำแววตาน่าสงสารร้องขอความเห็นใจแต่ไอ้ยิมก็พูดต่อ
“ถ้านั่นคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนของมึง กูก็ไม่อยากได้หรอก”
“โหย ทำไมต้องโกรธเบอร์แรงขนาดนี้ด้วยวะ” ผมเซ็งหนักมาก เพราะผมก็ไม่รู้จะงัดกลยุทธ์ไหนมาง้อให้มันหายได้ ในเมื่อมันฝังหัวว่าผมเป็นอย่างที่มันคิด ผมก็ขี้เกียจจะอธิบาย “มึงจะคิดอะไรก็เรื่องของมึง แล้วขนมนี่จะแดกมั้ย? ถ้าไม่กูจะ...”
ผมยังพูดไม่ทันขาดคำไอ้ยิมก็คว้าขนมไปไว้ในมือด้วยใบหน้านิ่งๆ ก่อนจะกัดขนมโตเกียวขาดเป็นสองส่วนในขณะที่สายตามันยังจ้องผมอยู่ ผมยืนมองและลุ้นว่ามันจะพูดอะไรจนกระทั่งคนตัวสูงเอ่ยมาประโยคนึงผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อร่อยดี”
“...”
“ถ้ารู้ว่าโกรธมึงแล้วจะได้แดกขนมฟรี กูน่าจะโกรธมึงบ่อยๆ”
“แหม มึงบอกกูว่าอยากกินก็พอละมั้ง กูไปซื้อให้มึงก็ได้ ไม่ต้องมานั่งโกรธกูหรอก” ผมว่าพลางเดินตามหลังไอ้ยิมที่นำหน้าผมเข้าไปด้านในห้อง ท่าทีของมันอ่อนลง มันคงขี้เกียจจะเถียงกับผมแล้ว “แล้วนี่หายโกรธรึยัง?”
“เออ หายแล้ว” ไอ้ยิมว่าพร้อมขนมเต็มปาก มันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วมองหน้าผม “แล้ววันนี้จะยังไง จะนอนที่นี่มั้ย?”
“กูน่าจะกลับไปนอนหอกูแหละ”
“แต่มันดึกแล้วนะ”
“เพิ่งสองทุ่ม มันดึกตรงไหนวะ”
“กรุงเทพมันอันตราย มึงนอนที่นี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“เว่อร์ไป”
“เออน่า มึงจะรีบกลับไปทำไมวะ อยู่กับกูนิดหน่อย มึงจะตายรึไง” ไอ้ยิมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อเห็นผมมีท่าทีจะปฏิเสธ
“อยากให้กูอยู่ด้วยก็บอกดีๆ สิ มึงจะอ้อมไปอ้อมมาทำไมวะ” ผมหัวเราะกับความปากหนักของไอ้ยิม มันทำเป็นโกรธ ทำเป็นพูดนั่นพูดนี่ สุดท้ายมันก็ใจง่ายกับผมตลอด ผมรู้หรอก
“แล้วเอาไง?”
“นอนก็ได้ไง” ผมรับคำไอ้ยิม มันกินขนมโตเกียวในมือจนหมดก่อนจะโยนเศษซากทิ้งลงถังขยะพร้อมหันมามองผมเล็กด้วยด้วยประโยคที่ทำให้ผมย่นคิ้ว
“นอนเฉยๆ อะเหรอ?”
“ทำไมวะ มึงอยากชวนกูเล่นไพ่เหรอ?” ผมงง
“หน้ากูเหมือนคนอยากเล่นไพ่เหรอวะ?”
“หรืออยากนอนเม้าส์เรื่องไอ้ปืน”
“มึงคิดว่ากูอยากพูดถึงมันมากรึไง?”
“แล้วมึงอยากทำอะไรล่ะ อยากจะนั่งคุยเรื่องที่อาจารย์สอนวันนี้รึไง?”
“โอ๊ย” ไอ้ยิมหงุดหงิดก่อนจะเบ้ปากแรงมาก ทำให้ผมร้อนตัวและลนลานแก้ตัวก่อนที่มันจะเคืองผมอีกระลอก
“กูจะไปรู้เหรอ อยู่ดีๆ มึงก็พูด” ผมหลบสายตา ไม่รู้ว่าควรจะเอาใจไอ้คนตัวสูงนี่ยังไง
“กูขอโทษแล้วกัน นึกว่ามึงฉลาด” ไอ้ยิมทำหน้าเซ็ง และมันก็ไม่บอกผมว่ามันต้องการอะไรแถมยังเดินไปเทตัวลงนอนบนเตียงเอาดื้อๆ
“เอ้า อะไรวะ มาเกริ่นแล้วก็ไม่พูด” ผมจิ๊จ๊ะแล้วคลานขึ้นไปบนเตียงข้างๆ มันพลางสะกิดแขนคนตัวสูงที่นอนคว่ำอยู่ “มึงจะมางอนกูไม่ได้นะ ก็มึงไม่พูดเอง”
ผมสะกิดไอ้ยิมอีกหลายๆ ครั้งจนมันทนไม่ไหวแล้วค่อยๆ ตะแคงหน้ามามองผมข้างนึงด้วยสายตานิ่งๆ
“ถ้าไม่อยากให้กูงอนมึง มึงก็เลิกไปไหนมาไหนสองคนกับไอ้ปืนสิ” เสียงเคร่งขรึมกับหน้าตาบ่งบอกความจริงจังของมันทำให้ผมเครียดขึ้นมานิดหน่อย ผมรู้ว่าไอ้ปืนกับไอ้ยิมถึงมันจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไม่ถูกชะตากันสักเท่าไหร่ เจอทีไรมีปัญหาทุกที แต่การที่จะให้ผมเลือกใครคนใดคนนึงคงยาก
“โหย ยิม มึงก็เห็นใจกูหน่อยดิวะ มึงก็เพื่อน ไอ้ปืนก็เพื่อนนะเว้ย กูลำบากใจนะ”
“ก็กูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมัน มันกวนตีน” ไอ้ยิมจิ๊จ๊ะและขมวดคิ้วหงุดหงิด แค่พูดชื่อไอ้ปืนก็เหมือนต่อมอดทนของมันหายไป สีหน้า ท่าทางของมันออกหมด จนผมถอนหายใจเครียด
“แล้วจะให้กูทำไงวะ”
“ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับแม่ง แค่นี้ ทำให้กูได้มั้ย?”
“มึงจะหวงอะไรกูนักหนาวะ กูเพื่อนมึงนะ ไม่ใช่เมีย” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยกับความหวงที่ออกจะเกินไปของไอ้ยิม ผมรู้ว่าบางทีมันน้อยใจผมแหละ แต่ด้วยสถานะของผม ผมก็ทำไรมากไม่ได้
ไอ้ยิมชะงักไปนิดหนึ่งก่อนที่มันจะเลื่อนนัยน์ตาสีเข้มมาสบผมด้วยท่าทีดุๆ และซีเรียสจนผมแยกไม่ออกว่ามันกวนตีนหรือจริงจัง
“แล้วมึงอยากเป็นป่ะล่ะ กูจะมอบตำแหน่งนั้นให้”