“นี่ไง” ไอ้ปืนหยิบมือถือมันขึ้นมาก่อนจะหันหน้าจอมาทางผม มันเพิ่งโพสต์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ปกติไอ้ยิมไม่ใช่คนชอบโพสต์หรือเล่นโซเชียลอะไรนัก การที่มันพิมพ์อะไรบางอย่างถือเป็นเรื่องแปลก และมันก็เกิดขึ้นแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าร้อนตัวไปเองมั้ย แต่ไอ้สเตตัสนี้มันต้องหมายถึงผมกับไอ้ปืนแน่ๆ มันเป็นคำสั้นๆ ที่ทรงอิทธิพลและรู้สึกฉิบหายอย่างประหลาด แค่เห็น เสียงไอ้ยิมก็ดังสะท้อนอยู่ในแก้วหูไม่มีทีท่าจะหยุด
Yim Mcx: เซ็งว่ะ
เซ็งว่ะ
เซ็งว่ะ
เซ็งว่ะ!!!
นั่นง่ะ ฉิบหายละกู
เหงื่อผมหยดติ๋งๆ ลงกับพื้นในตอนที่อ่านจบก่อนจะแค่นหัวเราะแห้งๆ ใส่ไอ้ปืน เรียนรู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเองแน่แท้แล้วว่าผมจะพานพบประสบกับอะไร
“สู้ๆ นะยีนส์ กูเป็นกำลังใจให้” ไอ้ปืนแซวแล้วหัวเราะอย่างแฮปปี้ก่อนจะหมุนตัวปล่อยให้ผมยืนเคว้งคว้างตรงทางสามแพร่งที่อยู่ข้างๆ ป้ายรถเมล์
พอไอ้ปืนโบกแท็กซี่หายหัวปุ๊ป ผมก็กดโทรหาไอ้ยิมปั๊ป และมันก็ไม่รับสาย
สายแรก ก็ไม่รับ
สายที่สอง มันกดตัด
สายที่สาม แม่งปิดเครื่อง!
ฟัคคคคคคคคคคคค!
ผมถึงกับถอนใจและรู้เลยว่าใช่แน่ มันกำลังงอนผมเบอร์แรงมากถึงมากที่สุด แม้จะไม่พูดคำใดๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น
เอาไงดีวะ... ผมกุมขมับนิดหน่อย จะโทรไปปรึกษาไอ้ปืน ก็ลืมไปได้เลยว่าจะได้คำแนะนำดีๆ จากมัน ผมกลอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะเลือกโทรไปหาไอ้เน็กซ์ที่อยู่คนละสาขา ผมรออยู่แป๊ปนึงมันก็รับโทรศัพท์
[ฮัลโหล ว่าไงวะ]
“เน็กซ์ กูจะทำยังไงวะ”
[อะไรวะ?]
“เพื่อนกูมันโกรธกูว่ะ”
[โกรธเรื่องอะไรวะ?]
“คืองี้ กูอ่ะมีเพื่อนอยู่สามคน แล้วเพื่อนสองคนของกูก็เสือกไม่ถูกกัน” ผมพยายามอธิบายสถานการณ์ให้มันฟัง และหวังว่ามันจะเข้าใจพร้อมให้คำปรึกษาที่ดีได้ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมควรจะทำยังไงระหว่างปล่อยให้ไอ้ยิมมันหายโกรธเองหรือจะไปง้อมันดีไง
[อ่าฮะ]
“กูก็เลยต้องไปกับใครคนใดคนนึงซะส่วนใหญ่ แล้วทีนี้วันนี้กูก็มาซื้อของกับเพื่อนกูคนนึง แล้วอีกคนก็โกรธกูว่ะ”
[สมควร ก็มึงทิ้งมันก็โดนโกรธ แปลกตรงไหน]
“อ้าว ก็แม่งไม่อยากเจอหน้ากันนี่หว่า”
[มึงไม่ต้องมาอ้างหรอก มึงมันสองมาตรฐานไงยีนส์]
“เดี๋ยวๆ ทำไมมึงดูอินเบอร์แรงจังวะ มึงมีปมอะไรปะเนี่ย?”
[เปล่า กูก็แค่พูด]
ผมย่นคิ้วนิดๆ ไม่ค่อยเชื่อแม่งเท่าไหร่ เพราะมันดูใส่อารมณ์และด่าผมยังกับมันกลายร่างเป็นไอ้ยิม แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรมันแล้วพูดต่อ
“มึงว่ากูปล่อยให้มันหายงอนเองหรือกูจะไปง้อดีวะ”
[กูก็ไม่อะไรนะยีนส์ แต่ถ้ากูเป็นเพื่อนมึง แล้วมึงปล่อยให้กูหายเอง กูก็จะหาย]
“หายงอนอะเหรอ” ผมยิ้มกว้างก่อนจะหุบลงในวินาทีต่อมาที่ไอ้เน็กซ์กระแทกเสียง
[หายจากชีวิตมึงไงสัส เรื่องแค่นี้ยังต้องถาม! ไม่คุยด้วยละ หงุดหงิด]
ตู๊ด ตู๊ด....
แล้วมันก็ตัดสายไปเลย
ผมอึ้ง ไม่รู้ว่าไอ้เน็กซ์ไปเก็บกดมาจากไหน มันหัวร้อนซะยังกับมันเป็นคนที่โดนเอง ผมก็เลยไม่ได้โทรไปอีก เพราะถ้าผมพูดมันคงด่าผมล็อตใหญ่แน่
เออ ง้อก็ได้วะ แม่งเอ๊ย ผมลำบากใจนะ ผมเป็นพวกง้อคนไม่เก่งไง แต่ที่ตลกคือทุกคนแม่งชอบงอนผมอ่ะ บางทีผมก็ปล่อยเบลอแกล้งเอ๋อไม่รู้เรื่องว่างอน ไม่ใช่ไม่สนใจหรอก แค่ไม่รู้จะง้อยังไงว่ะ
เออ ไปก็ไปวะ
@หอไอ้ยิม
ผมถอนหายใจก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองห้องไอ้ยิมที่อยู่ชั้นสาม มันคงเคืองผมมากขนาดที่มันปิดโทรศัพท์หนีผม ผมได้แต่ทำใจให้ชิน เพราะผมเจอสถานการณ์นี้บ่อยจนเหนื่อย ผมอยากจะบอกพวกมันว่าผมแยกร่างไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้มันจะเข้าใจผมมั้ย เอาเถอะ เปลี่ยนจากเรื่องเครียดๆ มาพูดถึงกลยุทธ์การง้อไอ้ยิมวันนี้ดีกว่า
กลยุทธ์ที่หนึ่งคือ: เอาขนมมาล่อ
ขนมที่ว่านั้นไม่ใช่ขนมธรรมดา มันคือขนมโตเกียวเจ๊ไทรม้าที่มันชอบ และผมเชื่อว่ามันจะต้องซาบซึ้งในน้ำใจที่ผมอุตส่าห์นั่งรถไปซื้อไกลเกือบสิบกิโลมาเพื่อปรนเปรอมันแน่
ผมเดินไปเคาะประตูห้องมันดังก๊อก ก๊อก ก๊อก พอได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาอยู่ในห้องผมก็รีบเอาขนมมาบังตัวเองไว้ พอมันเปิดมาปุ๊ป ผมก็ยิ้มกว้างพร้อมทำตาปริบๆ
“เซอร์ไพรส์!!!” ผมเลื่อนขนมเพื่อเผยให้เห็นหน้าเริงร่าของผม แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากไอ้ยิมดันตรงข้าม เพราะในขณะที่ผมยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู มันเสือกทำหน้าแบบถ้าอธิบายเป็นอีโมติคอนก็จะเป็นแบบนี้ > -___-
ถ้าอธิบายเป็นตัวหนังสือคือ มึงทำอะไรของมึง
ผมชะงักนิดๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เลื่อนขนมมาปิดหน้าตัวเองใหม่และทำหน้าตลกที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนที่เลื่อนขนมออก ผมทำปากจู๋ ตาเหล่ คือพูดง่ายๆ ว่าเข้าขั้นวิกฤตต่อกระบอกตาของผู้พบเห็น หวังจะได้ยินเสียงหัวเราะจากมันแต่
“ไม่ตลก”
เออ ผมขอโทษนะที่มันแป้ก ผมมีปัญญาแค่นี้แหละ โธ่! ผมทำหน้าสลดรู้สึกปวดหัวมาก ไอ้ยิมมองผมด้วยสายตาดุๆ ของมัน ผมกระแอมนิดๆ แล้วเกาหัวแกรกๆ เปลี่ยนแพลนในทันที
กลยุทธ์ที่สองคือ : ดราม่า
“โหย มึงแม่งใจร้ายว่ะ กูอุตส่าห์บากบั่นไปซื้อขนมมาฝากอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วนี่คือสิ่งที่มึงตอบแทนกูเหรอ”
“ก็ไม่อะไรหรอกยีนส์” ไอ้ยิมมองผมนิ่งมากจนผมกลืนน้ำลายอึก “วันนี้กูก็แค่ดูหนังคนเดียวเฉยๆ”
“...”
“โดยที่รอบๆ ตัวกูทุกคนไปกับเพื่อน ส่วนเพื่อนกูอะนะ... ก็ไปเที่ยวกันสองคนโดยที่ไม่ชวนกู” มันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนดราม่าไม่ออก รู้สึกเหมือนผมเพิ่งจะก่ออาชญากรรมที่อภัยให้ไม่ได้ไปหยกๆ
มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ... แต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่หว่า
กลยุทธ์ที่สาม: เปลี่ยนเรื่อง
“เฮ้ย มึง ขนมเจ้านี้มึงชอบมากเลยไม่ใช่เหรอ รีบกินดีกว่า เดี๋ยวไม่ร้อนนะ” ผมยิ้มกว้างพลางเอาขนมมาล่อแล้ววนถุงไปใกล้จมูกมัน พลางสรรหาเรื่องอื่นมาคุย ไอ้ยิมถอนหายใจแล้วดึงถุงขนมจากมือผมออก
“แล้วใครบอกมึงว่ากูอยากกินขนมอันนี้”
ได้ผล! มันเริ่มจะแสดงท่าทีเป็นมิตรมากขึ้นตอนที่มันใช้นิ้วแหวกถุงออกดูแล้วเลื่อนสายตามามองหน้าผมนิดหน่อย
“ก็มึงชอบกินไม่ใช่เหรอ?”
“เปล่า กูเบื่อแล้ว กูอยากกินอย่างอื่นบ้าง”
“อย่างอื่นของมึงนี่คืออะไรวะ?” ผมแอบวื้ดนิดหน่อยกับความเรื่องมากของมัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมผิดและมันกำลังโกรธ ถ้าผมบ่น มันคงเคืองมากขึ้นไปอีก ผมรอฟังว่ามันจะบอกรายชื่อเมนูอาหารกับผมแต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ตอบ
และเอาแต่จ้องหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก