EP.04

1132 คำ
ตอนที่ ๔ “ขบคิดให้แตกสิวะไอ้ยอด...” เสียงของท่านดังมาจากกลด เมื่อเห็นว่ายอดยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมทำอะไรต่อจากนั้น จนกระทั่งพระอาทิตย์เคลื่อนขึ้นสูง กระไอความหนาวเย็นระบายจางหายไป มีแสงแดด มีความร้อนกระทบแผ่มาถึง “เหอะ ยังขบไม่แตกอีกหรือวะไอ้ยอด” หลวงตาขยับออกจากกลด ท่านเดินมือไขว้หลังมาหยุดตรงหน้าของยอดแล้วบอก “ข้ายกบาตรให้เอ็งจัดการ ไม่ใช่จะให้เอ็งกินใบไม้เหล่านั้น” “อ้าว...แล้วจะให้กระผมทำอะไรหรือครับ” “ข้าให้เอ็งเอาของในบาตรออก แล้วไปจัดการล้างบาตรเสีย ไอ้หมอนี่ แค่นี้ก็ยังคิดไม่ได้” ยอดเกาหัวแล้วยิ้มแห้งๆ พอหลวงตาเดินมาใกล้จะเขกกบาล จึงรีบเผ่นหลบไปคว้าบาตรมุ่งหน้าไปทางลำห้วยในที่สุด ใกล้เพล หลวงตาสายชวนยอดไปสำรวจถ้ำที่อยู่ใกล้ๆ บอกว่าจะพายอดไปเจริญกรรมฐานในถ้ำ เพื่อฝึกปรือการเจริญสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออก ทั้งสองพระและศิษย์เดินตามกันมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง ลัดเลาะไปยังปากถ้ำ เห็นเป็นถ้ำกว้าง โถงยาวลึกเข้าไปภายใน มีหินงอกหินย้อยมากมาย ภายในถ้ำอับชื้น ได้กลิ่นความชื้นโชยมาแตะจมูก หลวงตาสายให้ยอดเตรียมไฟฉาย หมายเพื่อสำรวจเส้นทางข้างหน้า “เตรียมไม้ขีดไฟกับเทียนด้วยก็ดี เผื่อจะได้ช่วยแสงไฟฉาย” ทั้งสองเดินมุ่งหน้าเข้าไปตามเส้นทาง หลวงตาใช้ไฟฉายกระบอกสีเงินส่องสำรวจ โดยเบื้องหลังยอดจุดเทียนหมายใจให้ความสว่างช่วยเหลือ เมื่อพ้นจากปากถ้ำเข้าไปภายใน ดูเหมือนว่าแสงสว่างจากเบื้องนอกจะค่อยๆ จางหายไป รายรอบเต็มไปด้วยความมืดจนแทบมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า มีเพียงแสงไฟจากกระบอกไฟฉายจากหลวงตา และแสงเทียนดวงน้อยในมือของยอดเท่านั้น เดินกันมาราวร้อยสองร้อยเมตร จึงถึงโถงถ้ำกว้าง ทางที่แคบๆ ค่อยๆ ขยายแล้วไปบรรจบที่โถงใหญ่ขนาดห้องประชุมห้องหนึ่ง “ถ้ำกว้างมาก...” หลวงตาใช้ไฟฉายส่องสำรวจไปโดยรอบ เห็นว่ามีบรรดาหินงอกหินย้อยมากมาย ตามช่อง หลืบคล้ายเห็นประกายแสงเงินระยิบระยับงดงามจับตา “ตามข้ามาทางนี้...” ท่านเดินนำไปทางซ้ายมือของโถงถ้ำ เห็นว่ามีแท่นหินหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่า จึงกะว่าจะเดินไปนั่งและสำรวจหาที่กรรมฐาน “ตรงนี้แหละ” ได้ชัยภูมิอันเหมาะสม หลวงตาสายจึงให้ยอดตั้งเทียน สองเล่ม เสร็จแล้วจึงจัดการปัดกวาดที่ตรงหน้า แล้วนำยอดสวดมนต์ขอขมาเจ้าของสถานที่ บอกกล่าวถึงการมาและจุดประสงค์ของทั้งสอง “ข้าจะนั่งที่นี่สักครู่ เอ็งก็ควรทำตามนะไอ้ยอด” หลวงตาขยับไปนั่งบนแท่นหิน ซึ่งดูเหมือนจะพอเหมาะพอดี ส่วนยอดขยับไปนั่งตรงหน้า ขัดขาขึ้นนั่งสมาธิ มือขวาวางทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย กำหนดลมหายใจเข้าออก รับรู้ สัมผัสถึง ลิ้มรสซึ่งความหอมหวานแห่งพระธรรม เพียงไม่นาน ทั้งสองจึงเข้าสู่กรรมฐาน นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ยอดที่เข้าสู่สมาธิ คล้ายมองเห็นตัวเองนั่งนิ่งอย่างตั้งใจ เห็นตัวเองแล้วพลันรู้สึกขนลุก สติรับรู้ว่าบัดนี้ตนอาจจะวิญญาณออกจากร่าง พอหัวใจส่ายไหว ดวงจิตพลันอ่อนยวบ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะลมหายใจขาดห้วง ครู่เดียวจึงวูบดับไป “เฮือก...” สะดุ้งตื่นจากสมาธิ พอหันไปมองหลวงตา เห็นท่านยังนั่งนิ่ง แล้วเสียงของท่านก็ผ่านกระทบโสต “ใจไหวไม่นิ่ง มันอาจจะหนักหน่อยสำหรับเอ็ง แต่ควรจะตั้งใจทำ อย่าหวั่นไหวไปกับมัน” เขาระบายลมหายใจออกมา หัวใจตั้งมั่น อยากปฏิบัติ ไม่ควรใจวอกแวกหวั่นกลัว จึงขยับตัวแล้วนั่งอีกครั้ง โดยได้ยินเสียงของหลวงตาคอยสั่งสอนอยู่ใกล้ๆ พอทุกอย่างเข้าที่ ดวงจิตจึงหยัดมั่นเที่ยงตรง เขารับรู้อย่างมีสติ เข้าใจอย่างไม่ต้องร้องบอก ก่อนจะเห็นว่าในความมืดนั้น จู่ๆ กลับมีแสงวูบสว่างมาจากถ้ำด้านหนึ่ง “อย่าวอกแวก เอาไว้เสร็จกิจของเราค่อยไปสำรวจ” มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ตรงหน้า แถมหลวงตายังกำชับให้เขายึดสติกลับมาดังเก่า ยอดพยายามฝืนความสงสัย ฉุดดึงให้กลับมาอยู่กับตัวดังเดิม เพียงไม่นานจึงไม่คิดถึงและสงสัยต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีก นานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ หลวงตาสายจึงชวนยอดออกจากกรรมฐาน ท่านคว้าเทียนหนึ่งเล่ม โดยส่งกระบอกไฟฉายคืนให้กับยอด แล้วเดินนำไปยังจุดที่สงสัยจุดเดียวกับที่ยอดคิดสงสัย “มีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ตรงหน้านี้” หลวงตาสายบอก หมายทำลายความเงียบภายในถ้ำแห่งนั้น “ในนิมิตผมเห็นเหมือนแสงสีขาวสลับดำ สะท้อนมาจากช่องคูหาตรงหน้านี้ครับ” ยอดส่องไฟฉายเป็นลำยาว พุ่งไปยังคูหาช่องหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้า ตำแหน่งเดียวกับที่หลวงตาสายกำลังมุ่งหน้าเดินไปหยุด ท่านยื่นลำเทียนในมือไปดูใกล้ๆ เห็นว่าระหว่างช่องคูหาแคบๆ นั้นมีกล่องไม้วางซ่อนอยู่ “กล่องอะไรหรือครับหลวงตา” “ไม่รู้...” ภิกษุขยับถอยออกมา แล้วมอบหน้าที่ให้ยอดเข้าไปคว้าออกมา ท่านรับกล่องต่อแล้วบรรจงเปิดฝาออกอย่างเชื่องช้า ในนั้นบรรจุวัตถุชิ้นหนึ่งคล้ายตำราโบราณหรือที่รู้จักกันว่าปั๊บสาหรือพับสา สมุดโบราณที่ทำจากกระดาษสา พับเป็นชั้นๆ มักเห็นมากตามวัดชนบท ซึ่งชิ้นที่ทำจากกระดาษสาหรือใบลานแบบโบราณ ถูกจารลงด้วยนักคิดนักเขียนยุคก่อนหาได้ยากมากแล้ว ด้วยเพราะมียุคสมัยหนึ่ง วัดตามชนบททางภาคเหนือ ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมือง กวาดเอาคัมภีร์โบราณเหล่านี้ออกมาเผา ที่เก็บซ่อนเอาไว้ก็มีน้อย ไม่กล้ามีใครเอาออกมาให้เห็นอีก เหตุผลในช่วงนั้นเมื่อคราวคัมภีร์โบราณ พับสาใบลานตามวัดวาถูกทำลาย ด้วยเพราะเจ้าหน้าที่ยุคนั้นต้องการยัดเหยียดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนในประเทศ และนั่นจึงถือว่าเป็นการสิ้นสุดของบทคำสอนแห่งความเป็นล้านนา นิทานคำกลอน เรื่องราวชาดก ซึ่งถูกจารจดลงในคัมภีร์เก่าแก่ ถูกลบล้างและแทนที่ด้วยวัฒนธรรมแห่งความเป็นไทย ไม่มีอะไรที่เป็นของดั้งเดิมอีกต่อไป และคัมภีร์เก่าชิ้นนี้ คงจะเป็นหนึ่งในจำนวนที่หลุดรอดจากการถูกทำลายกวาดล้างในครั้งนั้น “ตำราอะไรหรือขอรับ หลวงตา...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม