หกวันผ่านไป...
นับตั้งแต่อธิปย้ายตัวเองมาอยู่กับบัวชมพูที่คอนโดฯ ได้ห้าวัน ภายในคฤหาสน์เลิศภาณิชย์ก็ได้ต้อนรับสองสามีภรรยาจากตระกูลสิริกร
คุณอติเทพนั่งเงียบปล่อยให้ภรรยาพูดคุยกับคุณไตรภพและภรรยา ท่านเพียงแต่นั่งฟัง
ทว่าหนึ่งชั่วโมงสำหรับบทสนทนา ทำให้ท่านรู้สึกรังเกียจสองสามีภรรยาคู่นี้ยิ่งกว่าเดิม ทั้งที่บุตรสาวของตนสร้างปัญหาและเกือบทำให้ตระกูลของท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วยังมีหน้ามีพูดเรื่องร่วมธุรกิจกันอีก
ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและอย่างกาจ!
“ว่ายังไงล่ะค่ะคุณขวัญ เรื่องที่พวกเราเคยคุยกันไว้”
คุณอริสราเริ่มเข้าประเด็นอีกครั้ง นับวันธุรกิจของตระกูลท่านก็ยิ่งย่ำแย่ หากไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ธุรกิจของท่านต้องล้มละลายแน่ แค่พยุงให้อยู่รอดก็แทบแย่อยู่แล้ว
“เรื่องที่เราเคยคุยกัน ฉันคงให้คำตอบคุณตอนนี้ไม่ได้หรอก เพราะสิทธิ์ขาดทั้งหมดอยู่ที่ตาเสือ ฉันกับคุณเทพมอบกรรมสิทธิ์ในการดูแลธุรกิจให้ลูกชายหมดแล้ว”
คุณขวัญฤดีอธิบายอย่างนุ่มนวล เกือบทำกับตระกูลของท่านเสียชื่อเสียง แต่ยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลืออีก คนพวกนี้ไม่รู้จักละอายกันบ้างหรือไงกัน!
“คุณเทพครับ”
คุณไตรภพหันไปขอความเห็นจากบิดาของลูกเขย ถึงอธิปไม่ได้แต่งงานกับบุตรสาวคนโตแต่ชายหนุ่มก็แต่งงานกับบุตรสาวคนเล็กของท่าน ยังไงก็เกี่ยวดองกันอยู่ พวกเขาก็ควรช่วยเหลือธุรกิจของตระกูลท่านได้
“ผมยกธุรกิจทั้งหมดให้ตาเสือเป็นคนบริหารแล้ว การตัดสินใจทั้งหมดจึงอยู่ที่ตาเสือ ผมว่าคนที่คุณควรไปคุย ควรเป็นลูกชายของผมมากกว่าผมนะครับคุณไตร”
คุณอติเทพบอกเสียงเรียบเย็น หลังจากการแต่งงานผ่านไป ท่านจึงจ้างนักสืบไปสืบประวัติของทายาทของตระกูลสิริกรและบวรนันท์
จากข้อมูลที่ได้มาทำให้ท่านรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้บุตรชายไม่ต้องแต่งงานกับบุตรสาวของคุณไตรภพกับคุณอริสรา
ผู้หญิงที่ท่านกับภรรยาอยากได้มาเป็นสะใภ้ ไม่ใช่คนดีอย่างที่ท่านคิด พอเรียนในเมืองไทยไม่จบผู้เป็นบิดามารดาจึงส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ แทนที่จะสำนึกได้กลับทำตัวแย่ยิ่งกว่าเดิม คบผู้ชายไม่เลือกหน้าแถมยังไม่ตั้งใจเรียนอีก สุดท้ายก็เรียนไม่จบ
ในขณะที่...
ทายาทของตระกูลบวรนันท์กลับเรียนจบปริญญาตรีมาด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ปัจจุบันเปิดร้าน แถมแผนการในอนาคตที่วางไว้ก็คือการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอีก
ที่จริงท่านควรขอบคุณตระกูลสิริกรด้วยซ้ำที่ทำให้ท่านได้สะใภ้ที่ดี ถึงตอนนี้ความสัมพันธ์ของบุตรชายกับลูกสะใภ้ยังไม่คืบหน้า แต่อนาคตท่านเชื่อว่าทั้งสองต้องรักกันได้
คุณไตรภพเงียบไปเมื่อฟังคำพูดของคุณอติเทพจบ เรื่องมันไม่ควรเป็นแบบนี้ หากไม่เพราะบุตรสาวตัวดีของท่านก่อเรื่องวุ่นวายให้ท่านต้องตามแก้ ท่านคงไม่ลำบากและเครียดอย่างนี้
“พวกเราไม่มีทางร่วมธุรกิจกันได้เลยหรือครับคุณเทพ”
“ไม่ใช่ว่าร่วมธุรกิจไม่ได้ แต่สิทธิ์การตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ผม คุณเองก็รู้ไม่ใช่หรือครับว่าผมยกธุรกิจทั้งหมดให้ลูกชายดูแลบริหารทั้งหมดแล้ว”
“แล้วตอนนี้ตาเสืออยู่ที่ไหนหรือครับ ผมอยากคุยกับเขาหน่อย”
“ตาเสือย้ายไปอยู่กับหนูเหมียวได้เกือบอาทิตย์แล้วค่ะคุณไตร”
คุณขวัญฤดีตอบแทนผู้เป็นสามี พลางหันมายิ้มให้คุณอริสรา โชคดีที่บุตรชายกับลูกสะใภ้ไม่ได้อยู่ที่นี่ และถึงอยู่ท่านเชื่อว่าอธิปคงไม่ยอมช่วยเหลือธุรกิจโรงแรมของคุณไตรภพและภรรยาแน่
“ทำไมตาเสือกับหนูเหมียวถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะค่ะคุณขวัญ”
คุณอริสราถามอย่างแปลกใจ แต่งงานแล้วก็ควรอาศัยอยู่ที่นี่สิ ทำไมต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกด้วย
“คุณหนึ่งลืมไปแล้วหรือค่ะว่าหนูเหมียวไม่ใช่เจ้าสาวของตาเสือ และตาเสือก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวของหนูเหมียว การแต่งงานที่เกิดขึ้นหลังจากที่หนูพลอยหนีงานแต่งไป ทั้งหมดเป็นการแต่งงานเพื่อรักษาหน้าตาและชื่อเสียงของตระกูลฉันแล้วก็ตระกูลคุณ”
คุณขวัญฤดีอธิบายด้วยสีหน้าเย็นชา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อน สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่รู้เลยหรือไงว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“ว่าแต่คุณเถอะค่ะ หาตัวหนูพลอยเจอหรือยัง”
“จะ...เจอแล้วค่ะ” คุณอริสราตอบไม่เต็มเสียงนัก
“แล้วตอนนี้หนูพลอยอยู่ที่ไหนหรือค่ะ” คุณขวัญฤดีถามอย่างเป็นห่วง แต่ในใจกลับรู้สึกโกรธบุตรสาวของคุณอริสราไม่น้อย
คุณอริสรานิ่งเงียบไป หลังจากการแต่งงานผ่านไปได้สามอาทิตย์ บุตรสาวก็โทรศัพท์กลับมาหาท่านและบอกว่าตอนนี้อยู่อังกฤษ ท่านอดคิดไปถึงบทสนทนาในเย็นวันนั้นไม่ได้...
“พลอยทนอยู่กับคนพิการไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่างการผ่าตัดในครั้งที่สองก็ไม่รู้สำเร็จหรือเปล่า ถ้าเกิดไม่สำเร็จ พลอยต้องมีผัวเป็นคนตาบอดไปตลอดชีวิตเลยนะคะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พลอยคงทนไม่ได้หรอกค่ะคุณแม่”
“ทำไมพลอยพูดแบบนั้นล่ะลูก หนูรักคุณเสือมากไม่ใช่หรือจ้ะ”
“พลอยรักสมบัติของคุณเสือมากกว่าตัวคุณเสืออีกค่ะคุณแม่ ผู้ชายที่บ้างาน ไม่มีความโรแมนติกแถมตอนนี้ยังเป็นพิการอีก พลอยไม่อยากแต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยหรอก ใครอยากได้ก็เอาไปเลย ตอนนี้พลอยไม่สนใจคุณเสือแล้วล่ะค่ะคุณแม่ แค่นี้ก่อนนะคะคุณแม่”
“เดี๋ยวสิหนูพลอย แม่ยังพูดไม่จบเลย”
“อะไรอีกล่ะค่ะคุณแม่ พลอยกำลังรีบ”
“แม่ว่าพลอยกลับมาขอโทษคุณลุงเทพกับคุณป้าขวัญแล้วคุณเสือดีกว่าไหมลูก ยังไงแม่เชื่อว่าพวกเขาต้องอภัยให้ลูกแน่ คุณเสือรักลูกมากไม่ใช่หรือจ้ะ กลับมาเถอะนะหนูพลอย อย่าปล่อยให้เรื่องมันคาราคาชังแบบนี้”
“พลอยไม่กลับไปตอนนี้หรอกค่ะคุณแม่ พลอยไม่คิดกลับไปขอโทษคุณลุง คุณป้าแล้วก็คุณเสือด้วย พลอยว่าคุณแม่น่าจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ไม่ต้องมีลูกเขยเป็นคนพิการแบบนั้น”
“แต่การผ่าตัดในครั้งต่อไป คุณหมอบอกว่าคุณเสือมีเปอร์เซ็นต์หายเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะลูก”
“มันก็ไม่แน่นอนเสมอไปหรอกค่ะคุณแม่ การผ่าตัดครั้งต่อไปของคุณเสืออาจล้มเหลวก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นพลอยไม่ต้องอยู่กับคนพิการไปตลอดชีวิตเหรอค่ะ หรือคุณแม่ทนอยู่กับผู้ชายพิการได้ตลอดชีวิต”
“หนูพลอย!”
“แค่นี้นะค่ะคุณแม่ เปลืองค่าโทรศัพท์ของพลอย อีกอย่างริชาร์ดก็มารับพลอยไปเที่ยวแล้ว”
นี่เป็นบทสนทนาครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายหลังจากบุตรสาวหายตัวไป ตลอดเวลาท่านพยายามโทรศัพท์กลับยังไปบ้านพักที่อังกฤษ แต่ไม่คนรับสายเลยสักครั้ง
คุณอริสรายังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนกระทั้งคุณขวัญฤดีเรียกและเขย่าแขนของท่านนั่นแหละ ท่านถึงได้รู้สึกตัว
“คุณหนึ่ง คุณหนึ่งค่ะ ได้ยินที่ฉันถามหรือเปล่าค่ะ” คุณขวัญฤดีเรียกแล้วยื่นมือไปเขย่าแขนคุณอริสราอย่างเป็นห่วง พอถามว่าหนูพรทิพาอยู่ที่ไหน
“คุณขวัญถามอะไรฉันหรือค่ะ” คุณอริสราหันมาถามคุณขวัญฤดีอีกครั้ง ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เพราะไม่รู้จะอธิบายออกไปว่าอย่างไรดี
“ฉันถามคุณว่าตอนนี้รู้หรือยังว่าหนูพลอยอยู่ที่ไหน” ท่านถามย้ำประโยคเดิม ก่อนปรายตามองสามีสลับกับสามีคุณอริสรา
“ยัยพลอยอยู่อังกฤษครับคุณขวัญ” คุณไตรภพตอบแทนภรรยา
“อย่างนั้นหรือครับ” คุณอติเทพเอ่ยขึ้น
“ครับคุณเทพ”
คุณไตรภพอึดอัดกับสีหน้าและท่าทางของคุณอติเทพและรู้สึกละอายใจกับคำพูดของคุณขวัญฤดี เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของบุตรสาวท่านทั้งนั้น
บางทีสิ่งที่หมอดูในอดีตเคยทำนายไว้อาจเป็นบุตรสาวคนโตก็ได้เป็นจะทำให้ตระกูลชัยนันท์ต้องล้มละลาย เห็นทีท่านต้องไปขอความช่วยเหลือจากบุตรสาวอีกคน ถึงรู้สึกผิดอยู่บ้างก็เถอะ แต่นี่คงเป็นหนทางเดียว ที่ธุรกิจโรงแรมของท่านจะอยู่รอด
“คุณขวัญรู้ที่อยู่ของยัยเหมียวหรือเปล่าครับ”
“ที่อยู่ของหนูเหมียวฉันกับคุณเทพไม่รู้หรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นที่อยู่ของคุณชิตพงษ์กับคุณปนัดดา...พ่อแม่บุญธรรมหนูเหมียว พวกเรารู้จักดี”
คุณขวัญฤดีอธิบายรอยยิ้มอบอุ่น ท่านไม่อยากนำบิดามารดาทั้งสี่คนของลูกสะใภ้มาเปรียบเทียบกันหรอก
เพราะรู้ดีว่านิสัยของพวกเขาเป็นยังไง ถึงเพิ่งเจอบิดามารดาบุญธรรมของลูกสะใภ้ครั้งแรกก็เถอะ แต่ท่านก็รู้ดีว่าคุณชิตพงษ์กับคุณปนัดดาเป็นคนดี น่ารักแค่ไหน ต่างกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดลิบลับ
“ถ้าคุณอยากได้ที่อยู่ของคุณพ่อ คุณแม่ของหนูเหมียวฉันจะให้พวกคุณไปก็ได้ แต่ระวังหน่อย เพราะคุณชิตกับคุณดารักหนูเหมียวมาก จะทำอะไรก็คิดให้ก่อน ส่วนคนที่พวกคุณควรระวังมากที่สุดก็คือคุณตาของหนูเหมียว เพราะท่านรักหนูเหมียวยิ่งกว่าคุณชิตกับคุณดาอีก”
ท่านเห็นถึงความน่ากลัวของคุณตาบุญธรรมของลูกสะใภ้มาแล้ว อาจเพราะตระกูลนี้ไม่มีลูกหลาน ตระกูลทางฝ่ายคุณชิตพงษ์กับคุณปนัดดา ต่างก็มีลูกคนเดียว ไม่มีลูกหลานคนอื่นอีก พอรับบัวชมพูเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้าน ทุกคนต่างก็รักและหวงหลานบุญธรรมคนนี้ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่
“นี่คือที่อยู่ของคุณพ่อ คุณแม่หนูเหมียวนะคะ”
“เอ่อ...ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ”
คุณไตรภพกับคุณอริสราเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอึกอัก เมื่อเจอคำพูดของคุณขวัญฤดี แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดสองสามีภรรยาคู่นี้ถึงไปพบบิดามารดาบุญธรรมของบุตรสาวคนเล็ก
******