“เวรกรรมอะไรของฉัน?...” โซเฟียปรารภขึ้นมาลอยๆกับสายลม น้ำเสียงเจือเอาไว้ด้วยความทุกข์ตรมขมขื่น
“ไม่ทราบว่าสามีเธอไปไหน?” ทนายร่างท้วมถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าแววตาก็เจือความแข็งกร้าวเอาไว้ในจังหวะการมองแต่ละครั้ง
จากนั้นโซเฟียก็เล่าเรื่องการหายตัวไปของสามีให้กับทนายได้ฟัง คิดเพียงว่าอย่างน้อย…ถ้าหากได้ฟังแล้วเขารู้สึกเมตตาสงสาร เธอกับลูกสาวก็อาจจะมีที่ซุกหัวนอนต่อไปอีกสักระยะ
ทนายยืนกอดอก พุ่งใหญ่ยื่นง้ำอยู่ภายใต้กระดุมเสื้อกั๊กแทบปริแตก นิ่งฟังเหมือนสนใจเรื่องที่โซเฟียกำลังเล่า แต่ความสนใจที่แท้จริงของทนายก็คือใบหน้าสวยของโซเฟียที่สายตาของเขากำลังลอบสำรวจไปทั่วสรรพางค์กายของเธอด้วยความสนใจ โดยที่โซเฟียไม่ทันได้สังเกตกิริยาของเขา
เมื่อโซเฟียเล่าจบ เขาก็เบือนหน้าไปที่ตัวบ้านซึ่งเก่าคร่ำเกินกว่าจะทำประโยชน์ใดๆได้ แต่ที่น่าสนใจกว่าตัวบ้าน คงเป็นอาณาบริเวณอันกว้างขวางของฟาร์ม ซึ่งตกทอดมาถึงคีธ จากเมื่อครั้งหนึ่งในอดีต ซึ่งมันเคยเป็นสมบัติเก่าแก่ของตระกูล
หลังจากมองสำรวจผืนฟาร์มได้ไม่นาน ทนายก็หันมากล่าวกับโซเฟีย
“ฟาร์มผืนนี้เนื้อที่กว้างขวางไม่เลว”
แม้ผืนฟาร์มแห่งนี้จะแห้งแล้งเหลือเกิน แต่เนื้อที่รูปสี่เหลื่อมผืนผ้าที่ได้รูป ทอดยาวไปจรดทิวเขาเบื้องทิศตะวันตก ก็ทำให้จอร์จแสดงความสนใจฟาร์มของเธอขึ้นมาในทันทีอย่างออกหน้าออกตา
ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากที่รกไปด้วยแผงหนวดของทนาย ว่าสนใจฟาร์มของเธอ ก็ทำให้โซเฟียรู้ว่าเขาอยากได้ฟาร์ม มากกว่าจะใส่ใจหรือเห็นใจเรื่องสามีที่หายตัวไป หรือความทุกข์ร้อนใดๆของเธอกับลูก
ทั้งที่เธอเล่าให้เขาฟัง ก็เพราะหวังว่าเขาจะเห็นใจ ผ่อนปรนให้เธอกับลูกสาวได้อยู่อาศัยในฟาร์มแห่งนี้ต่อไปอีกสักระยะ
“เมตตา...ช่วยยืดระยะเวลาออกไปอีกหน่อยได้ไหมคะคุณทนาย”
โซเฟียวิงวอนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ยังวาดหวังลมๆแล้งๆว่าใครคนใดคนหนึ่ง ไม่คีธก็เดล…อาจจะช่วยเธอได้ หากใครสักคนกลับมาพร้อมกับเงินสักก้อน ก็น่าจะผ่อนหนักเป็นเบา พอขัดดอกไปพลางๆ
ทนายละสายตาที่กำลังมองสำรวจฟาร์ม กลับมาจ้องใบหน้าสวยของโซเฟียอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทว่าก็มีความแปร่งกระด้างที่ปลายเสียง
“นี่มันก็ล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว...” เขากล่าวออกมาพร้อมกับเสียงพ่นลมหายใจ
“ข้อนั้นฉันทราบดีค่ะ”
“แต่…”
“แต่อะไร”
“แต่อยากจะขอผลัดผ่อนต่อไปอีกสักหน่อยได้ไหมคะ”
“เท่าที่ผ่านมา ก็นับว่าคุณโจนาธานปรานีครอบครัวเธอมากแล้ว”
“คุณโจนาธาน...”
โซเฟียเรียกชื่อของชายที่จอร์จอ้างถึง พลางทอดสายตามองไปที่รถ แลเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งถูกอำพรางเอาไว้เบื้องหลังบานกระจกสีเทาในรถคันใหญ่ มองจากไกลๆพอเดาได้ว่าชายที่นั่งอยู่ในรถไม่ได้มีทีท่าสนใจฟาร์มของเธอมากไปกว่าหนังสือพิมพ์ที่กำลังพลิกอ่านอยู่ในมือ
“คุณโจนาธานอยู่ในรถใช่ไหม ฉันจะลองวิงวอนเขาดู...ขอให้ฉันได้พูดกับเขานะคะ” โซเฟียละล่ำละลักออกมาเหมือนเพิ่งคิดบางอย่างได้ ทั้งที่ความหวังดูจะเลือนรางเต็มที
“อย่าไปรบกวนเขาเลย...ฉันเป็นทนายของเขา มีอะไรก็คุยกับฉันสิ” ทนายทำเสียงดุ
ถ้อยคำนั้นฉุดรั้งขาของโซเฟียที่กำลังจะก้าวออกไปข้างหน้าให้หยุดกึก ทว่าไม่อาจยับยั้งปลายเท้าน้อยๆของซาบรีน่าผู้เป็นลูกสาว ที่กำลังวิ่งถลาออกไปยังรถสีดำคันใหญ่ซึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกล
ซาบรีน่านิ่งฟังเงียบๆก็จริง หากในความสงบนั้น ก็จับใจความในเรื่องที่แม่และทนายคุยกันจนเข้าใจชัดเจน น้ำตาและมือของแม่ที่สั่น ทำให้เธอไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป
“คุณโจนาธานคะ...คุณโจนาธาน เมตตาด้วยเถอะ เมตตาด้วยเถอะนะคะ อย่าเพิ่งยึดบ้าน อย่าเพิ่งยึดฟาร์มของเรา ได้โปรดรอให้ลุงเดลกลับมาก่อนได้ไหมคะ” มือน้อยๆและน้ำเสียงแผ่วพร่าน่าเวทนา เคาะไปที่กระจกรถเบาๆ เรียกร้องให้คนที่นั่งอยู่ในรถหันมาสนใจในความทุกข์ยากของเธอบ้าง
เสียงร้องและมือน้อยๆที่เคาะกระจกรถ ทำให้ชายที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในรถถึงกับต้องหมุนบานกระจกลงช้าๆ เพราะเสียงโวยวายของซาบรีน่าที่ดังลั่น
“หืม...เธอว่าอะไรนะ” เขาถาม ขมวดคิ้วมองเธอด้วยความแปลกใจ
ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มชะโงกออกมาจากรถเพียงเล็กน้อย วัยคงไล่เลี่ยกับซาบรีน่า หน้าผากกว้างและนูนสวย เส้นผมสีน้ำตาลไหม้เรียบสลวยด้วยน้ำมันบางๆ โหนกแก้มสูงรับกับเบ้าตาลึก หัวคิ้วคมสัน แลเห็นเส้นขนคิ้วเรียงแนวแน่นเป็นระเบียบ ริมฝีปากบางเหยียดและหยักลึกได้รูป ดวงตารียาว ฉาบฉายไว้ด้วยประกายสีน้ำผึ้งชวนฝัน
ซาบรีน่ารู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นช่างสวยงาม แม้จะดูดุในยามที่เขาหรี่เล็งใบหน้าของเธอด้วยความฉงนก็เถอะ
“คุณโจนาธานใช่ไหมคะ” ซาบรีน่าถาม
“หืม…ฉันดูแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ” เขาย่นหน้าผาก หัวเราะออกมาเบาๆ ขำที่เธอคิดว่าเขาคือโจนาธานผู้เป็นพ่อ
“เอ่อ…ไม่ใช่คุณโจนาธานหรือคะ”
“โจนาธานคือพ่อฉัน”
เขาตอบเบาๆด้วยกังวานเสียงทุ้มนุ่ม จ้องมองใบหน้าสวยของเธอที่อยู่ในอาการตกใจ
“ขะ..ขอโทษค่ะ คิดว่าคุณคือคุณโจนาธาน”
เท้าน้อยๆขยับถอยห่างออกมาจากรถในทันที
“นี่บ้านเธอหรือ?” ชายหนุ่มชะโงกหน้าออกมามอง
เขาไม่ได้ลงจากรถ หรี่ตามองบ้านซ่อมซ่อที่ตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า ขมวดคิ้วมองสภาพความเป็นอยู่ของเธอด้วยความฉงนใจ ไม่อยากเชื่อหญิงสาวที่งดงามเหมือนนางฟ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ จะเกิดและเติบโตมาจากบ้านที่มีสภาพซอมซ่อหลังนี้
ไม่นานโซเฟียและทนายร่างท้วมก็ก้าวตามมาที่รถ
“ฉันขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะคะ” โซเฟียรั้งแขนของซาบรีน่าเบาๆ ส่งสายตาขอโทษชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถ ที่ซาบรีน่าตีโพยตีพาย เสียงดังใส่เขาด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นโจนาธาน
“ปิดกระจกเถอะคุณหนู” ทนายแนะชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถ กลัวว่าเสียงดังของซาบรีน่าจะสร้างความรำคาญให้เขา
“ช่างเถอะ...” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าคุณจะกรุณา...ขอให้ฉันกับแม่ได้อาศัยอยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ต่อไปอีกสักพักจะได้ไหมคะ” ซาบรีน่าอ้อนวอน
ทนายตวัดสายตามองหน้าของซาบรีน่าด้วยแววตาหนักใจในความดื้อดึงของเธอ
“ได้...ฉันจะให้เธออยู่ต่อ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถตอบออกมาด้วยน้ำเสียงดัง จงใจให้จอร์จได้ยินไปพร้อมๆกัน เหมือนรู้ว่าจอร์จต้องคัดค้าน
“แต่ว่า…เอ่อ คุณคริสโตเฟอร์ครับ ผมได้รับมอบหมายงานมาจากคุณพ่อของคุณว่าให้มาจัดการเรื่อง...” ทนายรีบคัดค้านออกมาทันที ทว่าไม่ทันที่จะกล่าวจบ ชายหนุ่มก็รีบขัดออกมาเสียงดังเป็นเชิงตัดรำคาญ
“ไม่เป็นไรจอร์จ…เรื่องนี้ฉันจะบอกพ่อเอง”
“ขอบคุณค่ะ…ขอบคุณ” ซาบรีน่าละล่ำละลัก แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เธอแทบจะทรุดเข่าลงขอบคุณเขา นึกในใจว่าชายผู้นี้ช่างรูปงามและใจดี
ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาววาวประกายด้วยความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่คิดไม่ฝันว่าในวันที่สิ้นไร้ความหวัง กลับแลเห็นแสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดอีกครั้ง