ความดื้อดึงของเขาส่งผลให้หญิงสาวถอนหายใจ นางเคยรักเขามากก็จริง ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันได้พังทลายไปจนหมด ทุกครั้งที่เห็นหน้าหลี่เฉิงถิง ความทรงจำที่นางนึกถึงนั้นมีแต่เรื่องที่เจ็บปวด จนนางนึกถึงความสุขในวัยเด็กไม่ออกอีกต่อไป “ดูเหมือนว่าคุณชายหลี่จะยังไม่เข้าใจ”
“ใช่ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าเป็นอะไรกันแน่!” เขาตวาดเสียงดังลั่นจนคนในห้องโถงต่างพากันหันมามอง ทว่าหลี่เฉิงถิงกลับไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น “เรารู้จักกันมานานแต่เจ้ากลับทำตัวห่างเหินแล้วอ้างว่ากลัวผู้อื่นเข้าใจผิด แต่กับคุณชายหลี่เหอ เจ้ากลับยืนพูดจากับเขาอยู่นานสองนาน ทั้งยังมีการนัดหมายทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน ข้าว่าเจ้าไม่ได้กลัวผู้อื่นเข้าใจผิด แต่กลัวว่าคุณชายหลี่เหอจะมองพวกเราสนิทสนมกันมากกว่ากระมัง”
ในขณะที่ชายหนุ่มพูดรัวออกมาเป็นชุดด้วยความโมโห จางเหนียนซึ่งรับรู้ถึงสายตาจากทิศทางอื่นจึงเคลื่อนสายตาไปมอง พบว่าเป็นจางลี่ที่กำลังยกพัดปิดปากหัวเราะ คล้ายกำลังเยาะเย้ยนางที่ถูกหลี่เฉิงถิงขึ้นเสียงใส่
หลี่เฉิงถิงขึ้นชื่อเรื่องความเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ปกติมักไม่แสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมาต่อหน้าธารกำนัล คาดว่าการแสดงออกของนางคงทำให้เส้นความอดทนของเขาขาดสะบั้น
จางลี่... เจ้าสะใจต่อไปได้อีกไม่นานหรอก
จางเหนียนยกยิ้มนิดๆ ดึงสายตากลับมาสบตาบุรุษตรงหน้าที่กำลังโกรธจัด ตัดสินใจว่านางไม่ควรปล่อยให้ตนเองต้องมารับอารมณ์ฉุนเฉียวของเขาอีกต่อไป
ในเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ นางก็ต้องพลิกแพลงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“แต่ว่าข้า...” คุณหนูรองแห่งสกุลจางยกมือปิดปากแสร้งทำเสียงสั่น กล่าวเสียงเบาหวิวให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ข้าไม่อยากทำให้คนในครอบครัวต้องเกลียดข้าไปมากกว่านี้”
“หมายความว่าอย่างไร” หลี่เฉิงถิงคาดคั้น
จางเหนียนก้มหน้าพลางสะอื้นแผ่วเบา “ข้าเพิ่งรู้ว่าน้องหญิงสามชอบท่านมาก... หากข้าใกล้ชิดกับท่านมากเกินไปคงทำให้นางปวดใจและเกลียดข้า”
หลี่เฉิงถิงเบิกตากว้าง ตกใจกับคำอธิบายของคนตรงหน้า “เจ้าหมายถึงจางลี่?”
เขาแวะเวียนมาที่คฤหาสน์สกุลจางตั้งแต่เยาว์วัย จางลี่อายุน้อยกว่าจางเหนียนอยู่หนึ่งปี มีมารดาคนละคนกัน เขาจำได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาตนมีโอกาสได้พบหน้านางเพียงไม่กี่ครั้ง กระทั่งบทสนทนายังเป็นแค่การทักทายหรือพูดคุยเรื่องทั่วไป
“ใช่” หญิงสาวแสร้งเอามือปาดน้ำตาแล้วเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ขอบตาที่แดงเล็กน้อยแลดูน่าสงสารจับใจ “ท่านเองก็คงทราบดีว่าความสัมพันธ์ของท่านแม่กับท่านแม่รองไม่ค่อยลงรอยกัน ข้ากับจางลี่เป็นพี่น้องแต่นางกลับมองข้าเป็นศัตรู แต่ถึงอย่างไรข้าก็มองนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ข้าไม่อยากให้นางเกลียดข้า แต่ข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจจึงได้ไม่พูดออกไป ท่าน...ท่านเข้าใจจุดยืนของข้าบ้างหรือไม่”
หลี่เฉิงถิงเป็นสหายสนิทกับจางอวี้ มีหรือที่เขาจะไม่ทราบเรื่องที่จางเหนียนถูกจ้าวชวนกับจางลี่รังแกและกลั่นแกล้งมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในครอบครัวสกุลจาง ต่อให้เขาสนิทกับจางอวี้มากเพียงไรก็เป็นแค่คนนอกที่ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย และนี่...จางเหนียนกำลังตีตัวออกห่างเพราะจางลี่มีใจให้เขา
ชายหนุ่มอยากพูดใส่หน้าหญิงสาวเหลือเกินว่าเรื่องนี้มันเหลวไหลสิ้นดี ทว่าต่อให้เขาพูดออกไปแบบนั้น จางเหนียนก็คงไม่เปลี่ยนความคิดโดยง่าย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาจำเป็นต้องสะสางกับจางลี่เสียก่อน
เขาไม่ได้ชอบจางลี่ และหากการที่นางชอบเขานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้จางเหนียนตีตัวออกห่าง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกให้อีกฝ่ายเลิกหวังในตัวเขาเสีย
มือใหญ่กร้านที่ถือไม้แกะสลักกำกระชับแน่นจนสั่นเทา ริมฝีปากที่ปิดสนิทขยับอีกครั้ง “และเพราะสาเหตุที่เจ้าบอก เจ้าจึงจะไม่รับของขวัญที่ข้าเตรียมมาให้เชียวหรือ”
“ข้า...” จางเหนียนอึกอัก ก้มหน้ามองของขวัญที่หลี่เฉิงถิงเตรียมมาให้อย่างอาลัยอาวรณ์
เขาใช้มือที่เว้นว่างรวบมือเรียวบางของนางขึ้นมาแล้วยัดของนั้นใส่มือ “รับไปเสีย”
“แต่ว่า...” นางพยายามดันของขวัญส่งกลับไปหาหลี่เฉิงถิง ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
“ของสิ่งนี้ข้าสั่งทำมาเพื่อมอบให้เจ้า หากเจ้าไม่รับไว้มันก็เป็นเพียงของไร้ค่า” น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับมานุ่มนวลดังเดิม สายตาที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนส่งผลให้จางเหนียนชะงักไปครู่หนึ่ง “ขอเพียงแค่เหตุผลที่ทำให้เจ้าทำตัวห่างเหินไม่ได้เป็นเพราะเจ้าโกรธหรือเกลียดข้า ข้าก็พอใจแล้ว”
จางเหนียนก้มหน้าหลบสายตาดังกล่าว ขานรับเสียงเบาโดยมีเพียงพวกนางเท่านั้นที่ได้ยิน “เจ้าค่ะ”
นางมองกวางตัวผู้ซึ่งแกะสลักอย่างงามวิจิตรในมือของตนเอง น้ำหนักของมันกำลังพอดีสำหรับสตรี สะท้อนให้เห็นว่าผู้สั่งทำพิถีพิถันกับของขวัญชิ้นนี้มากเพียงไร
...วิธีที่ง่ายที่สุดในการเล่นงานจางลี่ก็คือการใช้หลี่เฉิงถิง
หญิงสาวคิดพลางกัดริมฝีปากล่างของตนเองน้อยๆ ขณะที่เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง “เจ้าดูเหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
จางเหนียนก้มหน้าไม่ตอบรับคำพูดของเขา หลี่เฉิงถิงเองก็ไม่อยากทำให้นางลำบากใจไปมากกว่านี้จึงหมุนตัวผละจากไป แขกเหรื่อที่มาร่วมงานหันไปกระซิบกระซาบพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดเดาไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจมีรักสามเส้าเกิดขึ้นระหว่างคุณหนูรองสกุลจางกับคุณชายหลี่ทั้งสอง
จางลี่ซึ่งเคยหัวเราะเยาะเย้ยจางเหนียนอย่างสะใจสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนของบุรุษที่นางรักใช้มองพี่สาวต่างมารดา ระยะที่นางยืนอยู่ไม่ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง ทว่าความใกล้ชิดสนิทสนมก็ทำให้เกิดความริษยา
“จางเหนียน...” คุณหนูสามแห่งคฤหาสน์สกุลจางกัดฟันกรอด ถลึงจ้องจางเหนียนอย่างเคียดแค้นชิงชัง ก่อนจะผงะตกใจเมื่อเจ้าของร่างใหญ่กำยำที่ผละจากจางเหนียนแล้วมุ่งหน้ามาทางตน
หลี่เฉิงถิงหยุดลงตรงหน้าจางลี่ เรียกอีกฝ่ายเสียงเคร่งขรึม “คุณหนูจาง”
นี่นาง...กำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่
“คะ...คุณชายหลี่” พวงแก้มของจางลี่ซับสีจาง มัวแต่เขินอายจนไม่ทันสังเกตเลยว่าสีหน้าของชายหนุ่มไร้ความเป็นมิตรดังเคย
“ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
ถ้อยคำที่กล่าวออกมาอย่างจริงจัง ส่งผลให้ความตื่นเต้นของหญิงสาวค่อยๆ มลายหายไป ลางสังหรณ์ใจบางอย่างกระตุ้นให้นางกำชายกระโปรงแน่น ก่อนจะก้มหน้าตอบรับอีกฝ่ายเสียงสั่นไหว
“เจ้าค่ะ”
สวนด้านหลังเรือนรับรองปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ แสงแดดถูกบดบังด้วยเงาไม้ แม้จะเป็นยามเช้าแต่กลับดูไม่ต่างจากยามเย็น
“ฮูหยินเชื่อข้าเถิด ข้ารับรองว่าต่อให้เชิญหมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงมาตรวจก็มิอาจพบความผิดปกติ”
คำอธิบายของชายหนุ่มร่างสันทัดวัยยี่สิบปี ส่งผลให้จ้าวชวนซึ่งแอบมานัดพบกับอีกฝ่ายยื่นมือไปรับกระดาษเคลือบน้ำมันสามซองที่มายื่นให้
ก่อนจะมาพบกับเถาเมิ่ง ฮูหยินรองแห่งคฤหาสน์สกุลจางได้กำชับให้บ่าวไพร่ในเรือนคอยดูต้นทางให้ หากพบเห็นใครผ่านทางมาก็ให้รีบมาแจ้งทันที
“ที่เจ้าให้มานี่ใช้ได้กี่วัน” จ้าวชวนกระซิบถามเสียงเบา หรี่ตามองบุรุษตรงหน้าซึ่งสวมผ้าคลุมสีทึม ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“หนึ่งซองใช้ได้สิบวัน สามซองก็สามสิบวัน” เถาเมิ่งอธิบาย “หากใช้หมดเมื่อไรก็ส่งคนมาแจ้งข้า แล้วข้าจะส่งให้เพิ่ม”
“เจ้าบอกว่ายาพิษนี้ต้องใช้เวลา... ต้องใช้เวลานานเพียงไร”
“หมอบอกว่าขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ที่รับยา อย่างต่ำก็เป็นร้อยวัน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นแววตาที่ห่างไกลความเยือกเย็นของจ้าวชวน “ฮูหยิน ทีแรกท่านบอกข้าเองมิใช่รึว่าอยากได้ยาพิษที่ฆ่าคนให้ตายช้าๆ และตรวจหาไม่ได้ หรือว่าท่านอยากเปลี่ยนใจ?”
คำถามของเขาจี้ใจดำฮูหยินรองเข้าเต็มเปา ก่อนหน้านี้นางอยากฆ่าซีเซี่ยให้ตายอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต แต่หลังจากได้เห็นพฤติกรรมของจางเหนียนในวันนี้ ในใจก็บังเกิดความลังเลขึ้นมา
“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปจากที่คิดไว้”
นางเกลียดซีเซี่ยและจางเหนียน หากเป็นไปได้ก็อยากจะกำจัดสองแม่ลูกนั่นให้หายไปจากสายตา ทว่าตระกูลซีนั้นเป็นตระกูลที่ใหญ่กว่าตระกูลจางและตระกูลจ้าว หากไม่สังหารอย่างสะอาดหมดจดแล้วถูกจับได้ขึ้นมา นางคงต้องรับโทษหนัก และจางลี่ก็กลายเป็นบุตรสาวของฆาตกร มีประวัติด่างพร้อย ชาตินี้คงไม่มีบุรุษจากสกุลดีมาแต่งงานด้วย
จ้าวชวนตั้งใจว่าจะฆ่าซีเซี่ยให้ตายช้าๆ ส่วนเด็กโง่งมอย่างจางเหนียน หากปราศจากการชี้นำและปกป้องจากมารดาก็ไม่ต่างจากวัชพืชไร้ค่าต้นหนึ่ง แค่ปล่อยไว้เฉยๆ ก็อาจสะดุดล้มตกเขาตายไปเอง แต่พฤติกรรมที่นางได้เห็นจางเหนียนในวันนี้ดูต่างออกไป หากร่างกายของซีเซี่ยเริ่มอ่อนแอลง ไม่แน่ว่าเด็กนั่นอาจจับสังเกตและขัดขวางแผนการในครั้งนี้เอาได้
“ฮูหยิน คิดทำการใหญ่ ใจต้องสุขุมและหนักแน่น” เถาเมิ่งกล่าวเสียงนุ่มนวลก่อนจะค้อมศีรษะเพื่ออำลาผู้อาวุโสกว่า “ข้าจำเป็นต้องกลับเข้างานแล้ว ฮูหยินเองก็ควรรีบไปเช่นกัน”
จ้าวชวนก้มหน้ามองซองกระดาษเคลือบน้ำมันในระหว่างที่ชายหนุ่มเดินจากไป ครุ่นคิดสะระตะในใจอยู่พักหนึ่งก็สะดุ้งตัวเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกิ่งไม้หัก
นางรีบยัดยาที่เถาเมิ่งมอบให้เข้าอกเสื้อ ตวัดสายตาไปยังทิศทางดังกล่าว “ใครน่ะ!”
“นายหญิง!”
เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทก้าวเท้าออกมาจากหลังต้นไม้ที่ตนซ่อนตัว
จ้าวชวนหันไปถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเห็นไหมว่าเป็นใคร”
“ข้า...ข้าเองก็มองไม่ชัดเจ้าค่ะ พอหันไปอีกฝ่ายก็หันหลังแล้ว แต่จากชุดที่สวมใส่ คาดว่าน่าจะเป็นสาวใช้คนหนึ่งในคฤหาสน์”
ผู้เป็นนายฟังแล้วก็ถึงกับหน้าถอดสี
สาวใช้ในคฤหาสน์สกุลจางแต่งกายเหมือนกัน ทั้งยังมีไม่ต่ำกว่าร้อยคน
“ไปสืบมาให้ได้ว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใด!”
เสียงตวาดอันดุดันของฮูหยินวัยสามสิบแปด ส่งผลให้เสี่ยวจูรีบคุกเข่า ตัวสั่นเทิ้มราวกับลูกนกตกน้ำ “จะ...เจ้าค่ะ!”