5.1 ผลักภาระ

1907 คำ
ห้า ผลักภาระ “คุณชายหลี่?” ก่อนหน้านี้นางถูกคุณชายหลายคนดักตัวไว้ก็จริง แต่จางเหนียนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าบุตรชายของท่านเสนาบดีไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น การที่เขามาปรากฏกายขึ้นยามที่นางกำลังเดือดร้อนเข้าพอดี แปลความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่าชายหนุ่มน่าจะยืนดูมาได้สักพักหนึ่งแล้ว จางเหนียนคิดในใจ ขณะที่หลี่เหอหลุบตามองผู้ที่ตนมายื่นมือมาช่วยเหลือด้วยแววตาอ่านยาก “คุณหนูจาง ข้าตามหาเจ้าอยู่นานทีเดียว” จางเหนียนกะพริบตาคราหนึ่งคล้ายมึนงง หากใช้เวลาเพียงไม่นานก็เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของเขา “ข้าทำให้คุณชายต้องลำบากแล้ว” นางใช้น้ำเสียงละอายเพื่อความสมจริง จากนั้นค่อยหันไปทางบุรุษที่ห้อมล้อม สีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีนัก เนื่องจากฐานะของบุตรชายเสนาบดีนั้นสูงกว่าครอบครัววงศ์ตระกูลของพวกเขาอยู่หลายขั้น หากหลี่เหอต้องการใช้เวลาอยู่กับจางเหนียน ใครเล่าจะกล้าขัดขวาง “อา... พวกเราเองก็ไม่ขอรบกวนเวลาของคุณชายหลี่เช่นกัน” “ใช่ๆ เชิญท่านกับคุณหนูพูดคุยกันตามสบายเถิด” เจ้าของร่างสูงโปร่งเห็นเช่นนั้นก็หันไปหรี่ตามองผู้ที่โกรธจนหน้าแดงจัด “คุณชายอวิ๋น แล้วธุระของเจ้ากับคุณหนูจางเล่า” “ไม่” อวิ๋นชุนกัดฟันกรอด สองมือข้างลำตัวกำแน่นจนสั่นเทา “ข้าหมดธุระจะคุยกับนางแล้ว” ต่อให้โกรธจางเหนียนมากเพียงใด แต่อวิ๋นชุนก็ไม่กล้ามีเรื่องกับคนจากตระกูลเป๋ยหลี่ที่ทรงอำนาจ หลี่เหอได้ฟังคำตอบก็ไม่รอช้า ผายมือเปิดทางให้จางเหนียนเดินออกมาจากวงล้อม หญิงสาวรับรู้ถึงสายตาของอวิ๋นชุนที่ทิ่มแทงมาจนเสียวสันหลังวาบ หลังจากนี้คงต้องระมัดระวังอย่าไปข้องแวะกับบุรุษผู้นี้อีก หากหลีกเลี่ยงได้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด พอถึงมุมที่ค่อนข้างสงบ หลี่เหอก็หยุดฝีเท้าพร้อมกับหันกลับมา “ขออภัยด้วย” ชายหนุ่มค้อมศีรษะน้อยๆ “ข้าเห็นคุณหนูจางดูอึดอัดจึงได้สอดมือเข้าไปโดยไม่ถามความเห็นของเจ้าก่อน” แม้เขาจะเป็นถึงบุตรชายของเสนาบดี แต่กลับวางตัวสุภาพและให้เกียรติจางเหนียนเป็นอย่างดี หลี่เหอไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ในทางตรงกันข้าม เขายังช่วยเหลือนางจากเรื่องวุ่นวาย จู่ๆ จางเหนียนก็เห็นหลี่เหอในวัยยี่สิบสองซ้อนทับกับภาพชายหนุ่มวัยสิบแปดเบื้องหน้า ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ เขาก็เป็นคนที่สุภาพและอ่อนโยนไม่เปลี่ยน ใบหน้าอ่อนหวานของคุณหนูรองประดับด้วยรอยยิ้มชวนมอง “คุณชายหลี่ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เป็นข้าเสียอีกที่ควรขอบคุณท่าน” สีหน้าของหลี่เหอผ่อนคลายลงเล็กน้อย กระทั่งน้ำเสียงและร่างกายของนางก็ไม่มีอาการสั่นให้เห็น “คุณหนูจางเป็นสตรีที่เข้มแข็ง” “คุณชายหลี่ก็เป็นบุรุษที่มีคุณธรรมน่ายกย่อง” จางเหนียนถูกชมมาก็ชมกลับ “คุณชายกับข้าเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก ทว่าท่านกลับมีน้ำใจเข้าช่วยเหลือ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง” “เรา...” หลี่เหอสบตานางพลางกล่าวเสียงเรียบ “เราไม่ได้พบกันเป็นครั้งแรก” ดวงตาดอกท้อของผู้ฟังเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขากำลังหมายถึงช่วงที่นางยังเด็ก หรือว่าเขาเอง...ก็มีความทรงจำในชาติก่อนเหมือนกันกับนาง แววตาของจางเหนียนมีแววสับสนวาดผ่าน ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อไขความขับข้องใจ “ท่านหมายความว่าอย่างระ...” “เหนียนเหนียน!” เสียงทุ้มห้าวที่ตะโกนเรียกดังแทรกขึ้นมาก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ จางเหนียนได้ยินเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหลี่เฉิงถิง ยามนี้นางรู้สึกไม่อยากเจอหน้าเขาจึงขยับตัวถอยไปหลบอยู่ด้านหลังคุณชายแห่งจวนเสนาบดี การกระทำดังกล่าวส่งผลให้คุณชายหลี่ทั้งสองชะงักงันไปด้วยกันทั้งคู่ “ท่านเรียกหาข้าทำไมหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงหญิงสาวที่เอื้อนเอ่ยกับหลี่เฉิงถิงดูห่างเหินเสียยิ่งกว่ายามที่พูดคุยกับหลี่เหอเสียอีก “ข้าตามหาเจ้าก็เพราะข้ามีของขวัญจะให้เจ้า” เสียงทุ้มห้าวของเขาเบาลงจนน่าใจหาย สายตาที่มองมาที่จางเหนียนเต็มไปด้วยคำถาม ราวกับเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่ จางเหนียนค่อยๆ ผละตัวออกห่างจากหลี่เหอ คงเป็นการเสียมารยาทหากนางจะไม่รับของขวัญจากเขา หลี่เหอมองสองหนุ่มสาวที่มีบรรยากาศอันน่าอึดอัดโอบล้อม คิดว่าพวกเขาต้องการเวลาส่วนตัวจึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” “คุณชายหลี่!” นางเอ่ยรั้งเขาเอาไว้ “น้ำใจของท่านครั้งนี้ ไว้โอกาสหน้าข้าจะตอบแทนท่าน” “เมื่อไร” คำถามจากร่างสูงโปร่ง ส่งผลให้จางเหนียนที่ละความสนใจไปแล้วต้องหันหน้ากลับมามองเขาอีกครั้ง “ท่านพูดว่า?” “ข้าถามว่า... เรื่องที่เจ้ารับปากว่าจะตอบแทนข้าคือเมื่อไรหรือ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของหลี่เหอไม่ได้แฝงความกดดัน ทว่าดวงตาที่จับจ้องมาอย่างรอคอยนั้นเร่งเร้าให้จางเหนียนรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เขารอนาน เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไร’ ตามมารยาทเสียอีก แต่ที่ไหนได้...เขากลับทวงสัญญาจากบุตรสาวขุนนางเล็กๆ อย่างนางเสียนี่ ในเมื่อนางเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนว่าจะตอบแทน หากจะพูดปัดไปเลยก็ใช่ที่ ดังนั้นจึงถามต่อ “แล้วคุณชายสะดวกเป็นวันไหนหรือ” “อีกสองวัน ข้าพอมีเวลาว่าง” หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย “ระ...เร็วถึงเพียงนั้น?” “นอกจากวันนั้น ข้าก็ไม่มีวันว่างแล้ว” บุตรชายของเสนาบดีตอบกลับเสียงเรียบ “หรือคุณหนูจางต้องการเลื่อนเป็นวันอื่น” บทสนทนาของพวกนางเริ่มยืดเยื้อ จางเหนียนคิดว่ามันคงลากยาวต่อไปเรื่อยๆ หากนางไม่ยอมให้คำตอบเรื่องการนัดหมายที่ลงตัวกับหลี่เหอ เพียงแค่นางต้องมายืนอยู่ใจกลางบุรุษผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเนื้อหอมเป็นอันดับต้นๆ ในเมืองหลวงถึงสองคนก็กลายเป็นที่จับตามองของผู้คนมากพอสมควรอยู่แล้ว นางอยากโดดเด่นน่ะใช่ แต่มันไม่ได้หมายความว่านางอยากเป็นข่าวร่วมกับพวกเขา “ข้าขอนัดหมายเป็นเวลาที่คุณชายสะดวก หากท่านจะว่างในอีกสองวันก็เป็นไปตามนั้น” นางกล่าวอย่างอ่อนน้อม หลี่เหอยกยิ้มบางราวกับพอใจในคำตอบ “เช่นนั้นอีกสองวัน ข้าจะให้รถม้ามารับเจ้าที่คฤหาสน์สกุลจาง” เจ้าของร่างสูงโปร่งกล่าวจบก็หมุนกายเดินจากไป จากทิศทางที่มุ่งหน้าไปคาดว่าน่าจะไปเอ่ยลาจางเหมาผู้เป็นเจ้าบ้านเพื่อเดินทางกลับจวน หลี่เฉิงถิงมองสายตาของจางเหนียนซึ่งมองตามแผ่นหลังของบุตรชายเสนาบดีอยู่แทบตลอดเวลา นอกจากจางอวี้แล้ว จางเหนียนก็ไม่เคยสนิทสนมกับชายอื่นนอกจากเขา ที่ผ่านมาสายตาดังกล่าวมักจะคอยสอดส่องตามหาเขามาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเห็นเด็กหญิงซึ่งเติบโตเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวสอดสายตามองตามบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขาและคนในครอบครัวของนาง ความรู้สึกขุ่นมัวบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว หลี่เฉิงถิงถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นค่อยหันไปกวักมือเรียกบ่าวที่ติดตามมาจากจวนแม่ทัพ “เหนียนเหนียน” จางเหนียนผินใบหน้ากลับมาตรงหน้าอีกครั้ง พบว่าในมือของเขาถือของชิ้นหนึ่งซึ่งดูแล้วเหมือนกับที่ทับกระดาษ ท่อนไม้แกะสลักเป็นรูปกวางตัวผู้นั่งหมอบอย่างสงบบนผืนหญ้า ดวงตาของกวางตัวนี้ประดับด้วยไข่มุกสีขาว บนเขากวางสองข้างมีนกตัวเล็กแกะสลักจากหยกสีขาวและเขียวเกาะอยู่ประมาณสี่ตัว เป็นของขวัญที่ล้ำค่า ดูงดงามและน่ารักสมวัยของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของวันเกิด “ของขวัญชิ้นนี้ข้า...” “ท่านเป็นคนนำไม้สนหอมนี้ไปให้ช่างเดียวกันกับที่รับงานแกะสลักให้วังหลวง” จางเหนียนพูดต่อประโยคของหลี่เฉิงถิงราวกับอ่านใจเขาได้ “ไข่มุกเหล่านี้เป็นหนึ่งในบรรณาการที่ส่งมาจากชนเผ่านอกด่านทางตอนใต้ ฮ่องเต้ทรงแบ่งมันให้ขุนนางและขุนพลต่างๆ ตามความเหมาะสม ของล้ำค่าเช่นนี้...ท่านคงขออนุญาตจากท่านแม่ทัพหลี่เพื่อมาทำเป็นของขวัญวันเกิดให้ข้า” นางไม่มีวันลืมของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ที่นางทะนุถนอมมาตลอดหลายปี คำตอบของนางส่งผลให้สีหน้าของชายหนุ่มวัยสิบเก้าเปลี่ยนไปอีกหน วันนี้จางเหนียนดูผิดปกติไปราวกับคนละคน มิหนำซ้ำยังทราบเรื่องของขวัญที่เขาเตรียมมาให้ล่วงหน้า เขากำชับให้จางอวี้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หรือเพราะจางเหนียนไม่ชอบของขวัญที่เขาเตรียมไว้ให้ นางจึงได้ทำตัวหมางเมินใส่กันเยี่ยงนี้ “เหนียนเหนียน ก่อนหน้านี้ข้า...ทำสิ่งใดให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงตัดพ้อของเขาช่างขัดกับรูปร่างใหญ่กำยำของทายาทขุนพล หากมีผู้อื่นมาได้ยินเข้าคงคิดว่านางเป็นสตรีร้ายกาจที่รังแกทายาทสกุลหนานหลี่ แม้จะเคยได้รับของขวัญชิ้นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต ทว่าพอได้สบตาของหลี่เฉิงถิงที่ฉ่ำวาวไม่ต่างจากสุนัขตัวใหญ่ที่ออดอ้อนขอให้เจ้านายยกโทษให้ นางก็กำมือแน่นแล้วถอนหายใจออกมา ณ เวลานี้นางยังไม่ได้แต่งเข้าจวนสกุลหนานหลี่ ยังไม่ได้เป็นฮูหยินเอกของหลี่เฉิงถิง และเขาเองก็ยังไม่ได้ทำผิดต่อนาง นางไม่อาจลืมเลือนความทุกข์ทรมานในอดีต แต่หากแสดงตัวออกไปมากกว่านี้อาจเป็นที่ผิดสังเกตของคนรอบข้าง โดยเฉพาะจางเหมาซึ่งเป็นบิดา “คุณชายหลี่ไม่ผิดเลยเจ้าค่ะ” จางเหนียนส่ายหน้า “ที่ผ่านมาเป็นข้าเองต่างหากที่ผิด” “หมายความว่าอย่างไร” หลี่เฉิงถิงถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อก่อนข้ามักจะเรียกขานคุณชายด้วยถ้อยคำอันสนิทสนม ยามเด็กนั้นไม่เป็นไร ทว่าบัดนี้ทั้งท่านและข้าต่างก็เติบโตเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาว หากใช้คำเรียกขานแบบเดิมอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเอาได้” “เข้าใจผิด?” ดวงตาของบุตรชายแม่ทัพเผยความไม่พอใจออกมา “พวกเรารู้จักกันมาเป็นสิบปี ความสนิทสนมที่มีต่อกันเป็นเรื่องจริง ไยต้องกลัวผู้อื่นเข้าใจผิดด้วย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม