1.1 การย้อนเวลาที่ต่างไป

1650 คำ
หนึ่ง การย้อนเวลาที่ต่างไป ...เหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้ มีสิ่งใดผิดพลาดอย่างนั้นหรือ? หญิงสาวร่างบางซึ่งถูกชิวชิวช่วยแต่งตัวขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก หลังจากสวมอาภรณ์ตัวใหม่เรียบร้อย ชิวชิวก็พานางมานั่งลงตรงหน้าคันฉ่อง ใช้หวีสางผมยาวสลวยให้อย่างเบามือ จางเหนียนสบตากับตนเองในภาพสะท้อน ใบหน้าของนางอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นตนเองในช่วงอายุสิบเจ็ด สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่านางได้ย้อนเวลากลับมาเร็วกว่าสามครั้งก่อนถึงสองปีด้วยกัน “ท่านแม่อยู่ที่งานเลี้ยงแล้วหรือยัง” จางเหนียนเอ่ยถามถึงมารดาของตนขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงสั่นเครือนิดๆ คิดถึงอีกฝ่ายจับใจจนแทบอยากไปพบเสียประเดี๋ยวนี้ “เจ้าค่ะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของคุณหนูรอง ฮูหยินสามจึงตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้ามืด ยามนี้น่าจะกำลังช่วยนายท่านรับแขกอยู่ที่เรือนใหญ่” “ท่านแม่คนอื่นๆ ก็ด้วยหรือ” ชิวชิวเกล้าผมนางขึ้นอย่างระมัดระวังพลางตอบ “คุณหนู จำไม่ได้หรือเจ้าคะว่าบิดาของฮูหยินหกเพิ่งเสีย ท่านตั้งใจไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี ดังนั้นจึงขออนุญาตนายท่านไม่มาร่วมงานมงคล” “อ้อ...” จางเหนียนขานรับเสียงเบาอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าคงตื่นเต้นกับวันเกิดมากเกินไปหน่อย กระทั่งเรื่องของท่านแม่หกยังละเลย ข้าช่างเป็นบุตรีที่อกตัญญูเสียจริง” เนื่องจากสกุลจางทำงานรับใช้ราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน คฤหาสน์สกุลจางจึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่หากเทียบเคียงกับขุนนางขั้นห้าระดับเดียวกัน ทว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้สกุลจางจำเป็นต้องใช้ที่ดินอันกว้างขวางนั้นไม่ใช่เพราะอยากแสดงถึงความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะอุปนิสัยของผู้นำตระกูลทุกรุ่นที่ผ่านมาต่างหาก ผู้นำตระกูลจางรุ่นที่หนึ่ง มีภรรยาทั้งสิ้นแปดคน ผู้นำตระกูลจางรุ่นที่สอง มีภรรยาทั้งสิ้นสิบห้าคน ผู้นำตระกูลจางรุ่นที่สาม มีภรรยาทั้งสิ้นหกคน และล่าสุด... ผู้นำตระกูลจางรุ่นที่สี่ จางเหมา มีภรรยาทั้งสิ้นเจ็ดคน ด้วยจำนวนภรรยาและลูกหลาน จึงไม่แปลกที่ต้องใช้เนื้อที่มหาศาลในการปลูกสร้างเรือนใหญ่เล็ก หากมิใช่ว่าก่อนหน้านี้สกุลจางเป็นคหบดีที่ร่ำรวยมั่งคั่งมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ คาดว่าลำพังตำแหน่งขุนนางขั้นที่ห้าย่อมไม่สามารถเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้านายและบริวารทั้งหลายภายในคฤหาสน์แห่งนี้ได้มาจนถึงทุกวันนี้ มารดาของจางเหนียน ซีเซี่ย เป็นภรรยาคนที่สาม เดิมทีซีเซี่ยเป็นน้องสาวของ ชีเซียน ภรรยาคนแรกที่แต่งเข้าคฤหาสน์สกุลจาง หลังจากคลอดบุตรชายคนแรกได้สามเดือน ร่างกายก็อ่อนแอลง ซีเซี่ยจึงเดินทางจากบ้านมาช่วยดูแลพี่สาวและหลานชาย จนกระทั่งครึ่งปีให้หลัง ชีเซียนได้จากโลกนี้ไป จางเหมาก็แต่งซีเซี่ยเข้าตระกูลจางเป็นฮูหยินคนที่สาม บุตรชายคนโตของสกุลจาง มีนามว่า จางอวี้ เนื่องจากมารดาจากไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ เขาจึงรักและเคารพซีเซี่ยเสมือนมารดาแท้ๆ ด้วยเหตุนี้หลังจากจางเหนียนลืมตาดูโลก จางอวี้จึงมองนางเสมือนน้องสาวแท้ๆ แม้อุปนิสัยของพี่ชายนางจะไร้ความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว ขาดคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่ดีแต่ก็เอาใจใส่และปกป้องนางเป็นอย่างดี ชั่วชีวิตที่ผ่านมาของจางเหนียนมีเพียงซีเซี่ยกับจางอวี้ที่รักและจริงใจกับนางอย่างแท้จริง ทว่าชีวิตของจางเหนียนซึ่งมีมารดาและพี่ชายคนโตคอยปกป้องก็เปลี่ยนไปเมื่อพี่ชายแต่งงานกับพี่สะใภ้ที่แสนร้ายกาจ และท่านแม่ของนางถูกคนวางยาพิษจนตาย ทุกครั้งที่จางเหนียนย้อนเวลากลับมามักจะเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว นางจึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมดังกล่าวอย่างไร้เงื่อนไข ทว่าการย้อนเวลากลับมาครานี้มันต่างออกไป เพราะจางอวี้จะแต่งงานในปีหน้า ส่วนมารดาของนางก็ยังไม่เริ่มถูกป้อนยาพิษ หญิงสาวปิดเปลือกตาลงก่อนจะเริ่มจัดวางลำดับขั้นตอนของสิ่งที่อยากทำอยู่ในใจ ข้อแรกคือหาวิธียับยั้งการแต่งงานระหว่างจางอวี้กับว่าที่พี่สะใภ้ ข้อสองคือช่วยมิให้ท่านแม่ตาย ข้อสามคือเอาตัวรอดจากการตายแบบสี่ชาติที่แล้ว พร้อมกับหาสาเหตุที่ทำให้การย้อนเวลาครั้งนี้มันต่างไปจากเดิม ข้อสุดท้ายนั้นจางเหนียนไม่ค่อยรีบร้อน ทว่าข้อที่หนึ่งกับข้อสองจำเป็นต้องเริ่มคิดแผนการโดยเร็ว ในระหว่างที่คุณหนูรองแห่งสกุลจางครุ่นคิดสะระตะอยู่ในใจ สาวใช้ที่แต่งแต้มใบหน้าของนางด้วยเครื่องประทินโฉมบางๆ ก็พูดขึ้นมา “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู” จางเหนียนดึงสติของตนเองกลับมาแล้วลืมตามองภาพสะท้อนเบื้องหน้า แผงขนตางอนที่กะพริบถี่ประหนึ่งผีเสื้อกระพือปีกบินล้อมกรอบดวงตาดอกท้อ จมูกที่โค้งงอน ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงเด่นชัดจากชาดสีสด เดิมทีความงามของจางเหนียนจัดได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง แต่เนื่องจากข่าวลือที่ถูกปล่อยออกไปว่าบุตรีคนรองของสกุลจางค่อนข้างโง่เขลาเบาปัญญา ความนิยมของนางในหมู่คุณชายหรือบุรุษสกุลดีจึงรั้งอยู่ในลำดับท้ายๆ เรื่องนี้ต้องขอบคุณฮูหยินรองกับคุณหนูสามที่ช่วยกันประโคมข่าว... ช่างเป็นครอบครัวที่น่ารักเสียเหลือเกิน จางเหนียนนึกถึงใบหน้าของคนทั้งสองที่ตามราวีนางทุกชาติแล้วกัดฟันกรอด แววตาพลันแข็งกระด้างขึ้นมา “คุณหนู... ท่านไม่ชอบหรือเจ้าคะ” ชิวชิวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล คิดว่าสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวเป็นเช่นนี้เพราะนางแต่งตัวให้ไม่ดีพอ “ชอบ” จางเหนียนถอนหายใจแล้วหันไปยิ้มให้ชิวชิว เป็นรอยยิ้มราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังเอ็นดูผู้ที่อายุน้อยกว่า “เพียงแต่ยังขาดอะไรบางอย่าง” “ขาดหรือเจ้าคะ” นางเอียงคออย่างไม่เข้าใจ “หาพู่กันมาให้ข้าที” “พู่กัน?” “อืม” เนื่องจากพวกนางมีเวลาไม่มาก ชิวชิวจึงรีบทำตามคำสั่งของจางเหนียน นางออกไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาพร้อมกับพู่กันปลายแหลม ดวงตาเรียวจับจ้องนายที่นำผงชาดราคาแพงเทผสมน้ำอย่างอึ้งทึ่ง ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายจุ่มปลายพู่กันแล้วแต้มลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาอย่างไม่ลังเล “คุณหนู!” ชิวชิวร้องขึ้น นอกจากท่าทางของจางเหนียนจะดูแปลกไปแล้ว นางยังคิดจะละเลงใบหน้าตนเองให้แปดเปื้อนกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นอีกหรืออย่างไร! เดิมทีชื่อเสียงของจางเหนียนก็ไม่ดีอยู่แล้ว หากคราวนี้เลวร้ายลงไปอีก นางซึ่งมีฐานะเป็นสาวใช้ก็จะยิ่งย่ำแย่ เกิดมาเป็นคนรับใช้ หากนายได้ดีก็ถือว่าได้เชิดหน้าชูตา แต่หากเลือกนายผิด... นอกจากจะไร้อนาคตแล้วก็ยังถูกผู้อื่นข่มเหงกลั่นแกล้ง ชิวชิวรับใช้จางเหนียนมานานหลายปี นางไม่ได้คาดหวังอยากได้เจ้านายที่ดีเลิศ แต่อย่างน้อยก็ขอให้อยู่ในระดับที่ไม่น่าเกลียด ให้ชีวิตของนางไม่ยากลำบากมากก็เพียงพอ ด้านจางเหนียนหาได้หวั่นไหวกับท่าทีแตกตื่นตกใจของชิวชิว มือเรียวบางที่ก่อนหน้านี้กระทั่งคัดตัวอักษรยังไม่สวยงามตวัดบนหน้าผากอย่างคล่องแคล่ว หากความทรงจำของนางถูกต้อง อีกครึ่งปีให้หลังจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในพระราชวัง เป็นเรื่องราวขององค์หญิงซือเหยาที่แอบนอนหลับในห้องใต้หลังคา มีดอกเหมยสีสดถูกลมพัดมาแปะบนหน้าผาก หลายวันผ่านไปกลีบเหมยดังกล่าวไม่ยอมหลุดลอกออกไป ทว่ามันกลับทำให้องค์หญิงซือเหยางดงามโดดเด่นกว่าสตรีนางอื่น ไม่นานหลังจากนั้น บรรดาหญิงสาวในพระราชวังและเมืองหลวงก็เริ่มนำสีมาวาดเป็นรูปต่างๆ บนหน้าผากและหว่างคิ้ว กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในภายหลัง ในชาติก่อนๆ จางเหนียนเคยวาดลวดลายนี้บนหน้าผากตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจึงสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วและมั่นใจ หน้าผากมนที่เคยว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยลายบุปผาสี่กลีบสีแดงสด เสริมให้ใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาววัยแรกแย้มยิ่งงดงามโดดเด่น ชิวชิวตะลึงพรืด ก่อนจะยกมือปิดปากกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ราวกับมีดอกไม้แบ่งบานอยู่บนหน้าผากของท่านเลยเจ้าค่ะ!” จางเหนียนผินสายตากลับมาส่งยิ้มให้ “งามหรือไม่” สาวใช้ประจำตัวพยักหน้าหงึกหงัก “งาม...งามมาก มันคืออะไรหรือเจ้าคะ” “ฮวาเตี้ยน[1]” นางหยัดกายยืนขึ้น ดวงตาหลุบมองชายกระโปรงสีกลีบบัวที่สะบัดพลิ้วตามจังหวะการขยับตัวของตนเอง “หลังจากนี้หากมีผู้ใดมาถาม ก็ให้ตอบพวกเขาไปว่ามันคือฮวาเตี้ยน และข้าเป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมา” “เจ้าค่ะ!” “ข้าอยากให้ทุกคนในงานประหลาดใจพร้อมกัน” จางเหนียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ชิวชิว ช่วยไปหาผ้าโปร่งสีขาวมาให้ข้าผืนหนึ่ง” คราวนี้ชิวชิวไม่มีชักสีหน้าเคลือบแคลงสงสัยอันใดอีก นางรีบหันหลังเดินออกจากห้องอย่างตื่นเต้น [1]***แปลว่า ดอกไม้โลหะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม