ตอนที่ 16 ขายจิ้งหรีด ได้เงินดีเกินคาด

2218 คำ
ความใฝ่ฝันอีกหนึ่งสิ่งของฝูเฟยเมี่ยวคือการเป็นดีไซน์เนอร์ หรือนักออกแบบ ครั้งหนึ่งนางเคยเก็บเงินเก็บทองไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ถึงปารีส แต่ไปเรียนได้เพียงเทอมเดียวก็ต้องรีบเก็บกระเป๋าบินกลับไทยเพราะที่บ้านมีปัญหา หลังจากนั้นนางก็ยังไม่ย่อท้อ เรียนคอร์สต่างๆ ที่เปิดสอนระยะสั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บเอย การเพ้นท์ผ้าเอย การทำผ้ามัดย้อม การออกแบบลายผ้า จนกระทั่งเมื่อกลายมาเป็นนักปั้นดาราก็ยังคงทำงานเรื่องการออกแบบและตัดเย็บเป็นงานอดิเรก โดยนายแบบนางแบบที่ลองเสื้อผ้าให้ก็คือบรรดาลูกๆ ซุปตาร์ของนางนั่นเอง หลังจากที่ไปวัดตัวเพื่อตัดเสื้อผ้าให้กับป้าเจินและลุงเจินแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวก็วัดตัวเพื่อตัดชุดให้กับตัวเองบ้าง ซึ่งการวัดตัวให้กับตัวเองนั้นออกจะลำบากสักเล็กน้อย อีกทั้งสัดส่วนที่วัดได้ก็อาจจะมีคลาดเคลื่อนไปบ้าง “ไม่เป็นไร ลองตัดชุดแรกดูแล้วจะรู้ว่าต้องปรับลดสัดส่วนตรงไหน” หญิงสาวพึมพำอย่างอารมณ์ดี ฝูเฟยเมี่ยวเลือกที่จะทำการตัดเย็บเสื้อผ้าในช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะช่วงนั้นแดดร้อน อยู่ในร่มจะดีกว่า อีกทั้งเวลานี้ก็เป็นเวลานอนของลูกทั้งสองของนาง ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นมารดาฝูเฟยเมี่ยวคิดว่าอากาศร้อนอบอ้าวของช่วงบ่ายนางอยู่คอยพัดวีให้ลูกทั้งสองไปด้วย ตัดผ้าไปด้วยน่าจะดีกว่า พอบ่ายคล้อยฝูเฟยเมี่ยวก็ลงมาดูจิ้งหรีดและจิ้งโกร่งพร้อมๆ กับให้อาหารพวกมัน “นี่ พวกเจ้าโตเร็วๆ นะ พวกเจ้าน่ารักมาก ตัวโต แข็งแรงกันทั้งนั้นเลย” หญิงสาวฮัมเพลงไปพลางโปรยหญ้าและเศษผักให้พวกมันกิน อีกไม่กี่วันจิ้งหรีดของนางก็จะจับขายได้แล้ว “ท่านแม่ ท่านร้องเพลงอะไรหรือเจ้าคะ?” เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกให้ผู้เป็นมารดาหันไปมอง “แม่ไม่ได้ร้องเพลงจ้ะ แบบนี้เขาเรียกฮัมเพลง” พูดจบนางก็ชะงัก เด็กตัวแค่นี้ในยุคสมัยนี้จะรู้จักฮัมเพลงได้อย่างไร “เอ้อ…เอาไว้เมื่อเจ้าโตขึ้นแล้วแม่จะสอนร้องเพลงแบบแม่นะ” “จริงนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยเสียงใส ท่าทางตื่นเต้น ฝูเฟยเมี่ยวเอ็นดูบุตรสาวตัวน้อยยิ่งนัก เด็กวัยกำลังเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น ช่างซักช่างถาม น่ารักน่าชังขนาดนี้ผู้เป็นบิดายังทิ้งไปได้ลงคอ รอสักวันหนึ่งเถอะนางจะทำให้ฉีห่าวซวนได้รู้สึกว่า…เขาพลาดไปแล้ว “จริงสิจ๊ะ แต่ตอนนี้เราไปดูโรงเรือนเห็ดของเรากันก่อนดีไหม?” “ไปเจ้าค่ะ ไปๆ” เด็กน้อยวิ่งตามผู้เป็นมารดาไปอย่างร่าเริง ฝูเฟยเมี่ยวสำรวจตรวจตราโรงเรือนเห็ด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดคาดและผิดปกติก็เบาใจ อีกไม่นานนางก็จะมีเห็นหลินจือแดงดอกใหญ่ๆ เข้าไปขายในเมืองแล้ว เพราะวันนั้นรีบ กลัวว่าจะมาไม่ทันเวลาที่ได้นัดหมายกับท่านลุงจางเอาไว้นางจึงมิได้เข้าไปถามร้านรับซื้อสมุนไพรและร้านขายยาว่าพวกเขารับซื้อเห็ดหลินจือแดงอย่างไร “ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันเราก็จะเอาจิ้งหรีดไปส่งในเมืองแล้ว ค่อยแวะถามก็ได้” หญิงสาวนึกไปพลางยิ้ม นางวาดฝันถึงเงินที่จะได้จากการขายจิ้งหรีดและท่าทางดีอกดีใจของบุตรสาวเมื่อได้ขนมมากมายหลายชนิด อุแว๊ๆๆๆ เสียงทารกที่ดังแว่วมาทำให้สองแม่ลูกต้องรีบกลับขึ้นเรือนไป ฝูเฟยหลงที่นอนอยู่ในเปลตอนนี้กำลังแหกปากร้อง บนพื้นเรือนนั้นมีของเหลวกลิ่นฉุนเปียกเต็มไปหมด “เจ้าตัวแสบฉี่รดที่นอนนี่เอง แหกปากร้องลั่นบ้านเลยนะ” ฝูเฟยเมี่ยวอุ้มเจ้าก้อนแป้งขึ้นมาจากเปลที่เปียกชื้น แกะกางเกงผ้าอ้อมที่นางตัดเย็บให้ออกแล้ววางเจ้าตัวน้อยลงบนเบาะ “ท่านแม่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องหรือเจ้าคะ?” ฝูฟางหรงถามพลางขยับเข้ามาใกล้ๆ พร้อมๆ กับยื่นกางเกงผ้าอ้อมตัวใหม่ให้ “เก่งมากจ้ะที่ช่วยแม่ดูแลน้อง” ฝูเฟยเมี่ยวเอ่ยชม “ก็พวกเรามีกันอยู่แค่สามคนนี่เจ้าคะท่านแม่ ข้าก็ต้องช่วยงานท่านแม่ทุกอย่างที่ข้าพอจะทำได้เจ้าค่ะ” คำพูดที่ออกจากปากเล็กๆ ของเด็กน้อยนั้นทำให้ผู้เป็นมารดาแทบสะอึก ฝูเฟยเมี่ยวอยากให้ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเด็กทั้งสองมาได้ยินเช่นนี้บ้าง แต่คนที่มีจิตใจดำมืดเช่นนั้นจะรู้สึกอันใดกัน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าก้อนแป้งเสร็จฝูเฟยเมี่ยวก็เปลี่ยนผ้าที่ใช้มัดทำเป็นเปล เอาผืนเก่าที่เปื้อนปัสสาวะออกไปซัก และจัดการเช็ดถูเรือนให้เรียบร้อย “เราจะอุ้มน้องไปเดินเล่นกับเรา” หญิงสาวเอ่ยบอกบุตรสาวพลางอุ้มเจ้าก้อนแป้งขึ้น “เราจะไปเดินเล่นที่ไหนกันหรือเจ้าคะท่านแม่?” ฝูฟางหรงนั้นเป็นเด็กร่าเริง เด็กน้อยมีท่าทางตื่นเต้นและมีความสุขตลอดเวลาที่ได้อยู่กับแม่ “เราเดินไปดูทางฝั่งนู้นดีหรือไม่ วันก่อนแม่เห็นดอกหญ้าสีเหลืองขึ้นเต็มเลย เผื่อฟางหรงของแม่อยากจะเก็บมาเล่น” “ไปสิเจ้าคะ” ยังพูดไม่ทันจบดีเด็กน้อยก็วิ่งนำหน้าผู้เป็นมารดาไปก่อนแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวกำลังเล็งอยู่ว่าจะเปลี่ยนที่นาทางด้านทิศตะวันตกซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านออกไปเป็นสวนหม่อน ใช่แล้ว…นางจะปลูกหม่อน เลี้ยงไหม เพื่อทอผ้าไหมเอาไปขายในเมือง แต่ถ้าหากว่าได้ที่ดินมาอีกแปลงจะยิ่งดีกว่า หญิงสาวจะได้ลงทุนทำนู่นทำนี่ได้หลายอย่างมากขึ้น เมื่อครั้งที่ฝูเฟยเมี่ยวยังเป็นเด็กอยู่นั้น ครอบครัวของนางก็เหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป หน้านาก็ทำนา ว่างจากงานนาก็ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้า ปลูกมัน ปลูกปอ ฝูเฟยเมี่ยวนั้นมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้พอสมควร เพราะอยากช่วยให้ครอบครัวมีฐานะดีขึ้น อยู่ดีกินดี อยากแบ่งเบาภาระงานให้บิดามารดาเหนื่อยน้อยลงนางจึงลงมือทำทุกอย่าง เรียนรู้ทุกอย่าง เพื่อให้เป็นทุกอย่าง ต้องขอบคุณความขยันที่นางสั่งสมมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ สินะ เช้ามืดวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่ฝูเฟยเมี่ยวรู้สึกตื่นเต้นที่สุดอีกวันหนึ่ง วันนี้นางตื่นตั้งแต่ปลายยามอิ๋น (03.00-04.59น.) เพื่อที่จะมาจับจิ้งหรีด จิ้งหรีดรุ่นนี้ทั้ง 5 รางไม้ไผ่กับอีก 2 โอ่งนั้นหากกะน้ำหนักแล้วน่าจะได้สัก 30 จิน (1 จิน = 500 กรัม ) นางแบ่งไว้ 10 จิน และนำไปขายที่ตลาด 20 จิน “20 จิน จินละ 300 อีแปะ เราจะได้เงินทั้งหมด 6000 อีแปะ หรือ 6 ตำลึงสินะ หักค่ารถม้าแล้วก็เหลือ 5 ตำลึง ถือว่าไม่เลว นี่เป็นการเลี้ยงจิ้งหรีดรุ่นแรกเรายังได้เงินดีขนาดนี้ เห็นทีต้องขยายฟาร์มแล้ว” หญิงสาวพึมพำคนเดียวพลางแบ่งจิ้งหรีด 10 จินที่เหลือใส่ลงในห่อใบตองที่นางบรรจงเย็บขึ้นมา แบ่งให้บ้านป้าเจิน 2 จิน แบ่งให้บ้านของป้าเหวิน หมอตำแย 1 จิน แบ่งให้บ้านของถังลี่จิน 1 จิน ที่เหลือ 6 จินเก็บไว้กินเองในบ้าน จิ้งหรีดนี้ถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในยุคที่นางจากมา ฟาร์มจิ้งหรีดเลี้ยงจิ้งหรีดส่งให้โรงงานที่ผลิตโปรตีนผงจนร่ำรวยมาก็มากนัก นางอยากให้บุตรสาวที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตได้รับโปรตีนอย่างเต็มที่ “ป้าเจินเจ้าคะ วันนี้ข้าขอฝากอาหลงสักครึ่งวันนะเจ้าคะ นี่นมของเขา ข้าเพิ่งบีบใส่ขวดกระเบื้องนี่มาเจ้าค่ะ ส่วนนี่ก็ถ้วยกระเบื้องสำหรับป้อนนมเจ้าค่ะ” ฝูเฟยเมี่ยววางเจ้าก้อนแป้งที่กินนมอิ่มแล้วและกำลังหลับปุ๋ยอยู่ลงไปในเปล “เอ๊ะ!แล้วนั่นอะไรกัน?” ป้าเจินมองใบตองที่เย็บทำเป็นห่ออย่างดีทั้งหมด 3 ห่อแล้วให้นึกสงสัย “จิ้งหรีดเจ้าค่ะ” คราวนี้ฝูฟางหรงเปล่งเสียงใสๆ ตอบแทนมารดา ในมือของนางยังมีจิ้งหรีดทอด จิ้งหรีดคั่วอยู่เต็มทั้งสองมือ “นี่คือจิ้งหรีดที่เจ้าบอกว่าเจ้าเลี้ยงเช่นนั้นหรือ?” ป้าเจินถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง เหตุใดจิ้งหรีดจึงมีมากมายถึงเพียงนี้ “ท่านป้าเจิน วันนี้ข้าจะเอาจิ้งหรีด 20 จินเข้าไปขายในเมือง ส่วนใบตองห่อใหญ่นี้เป็นของท่าน และพอดีว่าข้าต้องรีบไปข้าขอวานท่านลุงเจินช่วยนำห่อใบตองอีก 2 ห่อนี้ไปฝากบ้านป้าเหวินและบ้านของถังลี่จินด้วยนะเจ้าคะ พวกเขาเคยมีน้ำใจกับข้า” “ดะ…ได้ ได้สิ” ป้าเจินตอบเสียงสั่นๆ จิ้งหรีดในห่อใบตองที่ฝูเฟยเมี่ยวมอบให้บ้านของนางนั้นมันช่างมากมายเสียเหลือเกิน ‘นี่อาเมี่ยวเลี้ยงจิ้งหรีดได้มากมายขนาดนี้เลยหรือ จะนำไปขายตั้ง 20 จินแหนะ น่าเสียดายที่เราแข้งขาไม่ค่อยดี เดินไกลไม่ได้เลยไม่ได้แวะไปดูเลยว่านางเลี้ยงอย่างไร เดี๋ยวคราวหน้าจะชวนท่านพี่ไปดู จะไม่ให้พลาดอีกแล้ว’ ป้าเจินนึกคิดไปพลางนึกถึงภาพจิ้งหรีดคั่ว จิ้งหรีดทอดไป ยามเฉิน (07.00-08.59น.) ได้เวลาเดินทางกันแล้ว เวลานี้รถม้าของจางลู่ชินก็ได้มาจอดที่หน้าทางเข้าบ้านของฝูเฟยเมี่ยว บุตรชายของจางลู่ชินนั้นช่วย ฝูเฟยเมี่ยวขนของซึ่งคือตะกร้าใบใหญ่หลายใบข้างในมีห่อใบตองหลายห่อ “รถม้า รถม้า ไปตลาด ไปตลาด” ฝูฟางหรงร้องเป็นเพลงพลางเต้นหมุนไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น เด็กน้อยเคยเห็นรถม้าแต่ในระยะไกลๆ เท่านั้น ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้นั่งรถม้าเข้าไปในเมืองและได้เดินเที่ยวตลาด รถม้าใช้เวลาวิ่งไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงตลาดเมืองเซี่ยแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวให้ลุงจางจอดที่หน้าโรงเตี๊ยม บุตรชายของลุงจางช่วยขนตะกร้าลงไป ฝูเฟยเมี่ยวบอกว่าเอาลงมาแค่ 1 ตะกร้าก่อน ภายในโรงเตี๊ยม “ข้ามาพบหลงจู๊เจ้าค่ะ เอาจิ้งหรีดมาส่ง” ทันทีที่เสี่ยวเอ้อได้ยินคำว่าจิ้งหรีดก็หูผึ่ง วันก่อนลูกค้าขาประจำของที่นี่ก็มาถามหาจิ้งหรีดทอด เขาเองยังนึกแปลกใจ เวลานี้ที่ใดมีจิ้งหรีดกัน เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบเข้าไปบอกหลงจู๊ เพียงแค่หนึ่งอึดใจ บุรุษวัยกลางคนท่าทางคล่องแคล่วก็เดินปรี่เข้ามาหาฝูเฟยเมี่ยว “เอ้อ…เจ้ามีจิ้งหรีดมาจริงๆ หรือ?” น้ำเสียงของหลงจู๊ผู้นี้บ่งบอกว่าเขา ‘ไม่เชื่อ’ มันจะเป็นไปได้อย่างไร หน้านี้จิ้งหรีดวายหมดแล้ว ต้องรออีกตั้งหลายเดือนกว่าจะมีจิ้งหรีดมาให้กินอีก ฝูเฟยเมี่ยวหยิบห่อใบตองขึ้นมาแง้มเปิดให้บุรุษผู้เป็นหลงจู๊ได้ดู “นี่เจ้าค่ะ จิ้งหรีดตัวโตเต็มวัย มีไข่เต็มท้อง ข้าอุตส่าห์จ้างรถม้ามาเพราะเกรงว่าหากเดินทางมาด้วยเกวียนแล้วจิ้งหรีดจะตายเสียก่อน เอ่อ…หลงจู๊ ท่านยังจะรับจิ้งหรีดอยู่หรือไม่เจ้าคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจ นางเห็นท่าทางตื่นๆ ของบุรุษวัยกลางคนตรงหน้าแล้วก็ชักจะไม่แน่ใจว่าเขายังอยากได้จิ้งหรีดอยู่หรือไม่ “รับ…รับสิ นี่เจ้ามีเท่าไหร่เอามาให้หมดเลย” ท่าทางของหลงจู๊ยังดูตื่นเต้นไม่หาย แม้ว่าตอนนี้จะได้เห็นจิ้งหรีดตัวเป็นๆ แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าหน้านี้จะยังมีจิ้งหรีดอยู่ เพราะจิ้งหรีดเป็นของหายากและราคาแพง ในเกือบทุกวันจะมีลูกค้ามาถามหาอาหารจานจิ้งหรีดนี้อยู่บ่อยครั้ง แพงเท่าไหร่พวกเขาก็ยอมจ่าย ขอเพียงให้พวกเขาได้กินอาหารที่อยากกินเถอะ “หลงจู๊เจ้าคะ งวดนี้ข้ามีจิ้งหรีดมาให้ท่าน 5 จินเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งทดลองเลี้ยงดู เดี๋ยวคราวหน้าคงมีมาให้เยอะกว่านี้แน่” ฝูเฟยเมี่ยวพูดไปยิ้มไป “คราวหน้าอีกนานแค่ไหน?” “อืม…สักเดือนเศษๆ เจ้าค่ะ” “เอามาเลย เจ้ามีเท่าไหร่เอามาให้หมด ข้ารับซื้อไม่อั้น เจ้าอย่าเอาไปขายให้คนอื่นก่อนข้าล่ะ” หลงจู๊พูดไปพลางพยักเพยิดให้เสี่ยวเอ้อของเขานำจิ้งหรีดไปชั่งพลาง เมื่อพบว่าน้ำหนักที่ได้คือ 5 จินตามที่หญิงสาวบอกจึงได้จ่ายเงินให้กับนางไป 1500 อีแปะ ก่อนที่ฝูเฟยเมี่ยวจะหันหลังเดินออกมาเขายังไม่วายสำทับ “คราวหน้า อีกเดือนเศษๆ นะ ข้าจะรอ ห้ามเอาไปให้คนอื่นก่อนนะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม