ฝูเฟยเมี่ยวเสร็จธุระจากร้านอาหารและโรงเตี๊ยมแล้วจึงเดินดูสินค้าตามร้านต่างๆ นางนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของนางและลูกๆ นั้นทั้งเก่าและขาดวิ่น หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านขายผ้า
“อ้อ แม่นางท่านนี้ เชิญๆๆๆ ขอรับ” บุรุษวัยกลางคนให้การต้อนรับด้วยท่าทางเป็นมิตร แม้ว่าสตรีนางนี้จะแต่งกายอย่างซอมซ่อ แต่นางมีรัศมีบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ว่านางมิใช่สตรีชาวบ้านธรรมดาๆ เป็นแน่
“เถ้าแก่ ร้านท่านมีผ้าชนิดใดบ้าง ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
บุรุษวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของร้านขายผ้านำผ้าฝ้ายเนื้อหยาบและเนื้อละเอียดมาให้ฝูเฟยเมี่ยวได้ชม
“ถ้าเป็นผ้าเนื้อหยาบแบบนี้ราคาอยู่ที่จั้งละ 10 อีแปะ หากเป็นผ้าฝ้ายละเอียดราคาอยู่ที่จั้งละ 20 อีแปะ ส่วนเรื่องสีนั้นก็มีทุกสีตามนี้เลย” เถ้าแก่เจ้าของร้านขายผ้ายกผ้ามาให้ฝูเฟยเมี่ยวเลือกดูหลายพับ (1 จั้ง = 2.5 เมตร)
ฝูเฟยเมี่ยวเลือกผ้าอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“ข้าเอาผ้าเนื้อหยาบสีเหลือง ชมพู ฟ้า เขียวอ่อน น้ำเงิน ม่วงอย่างละ 2 จั้งเจ้าค่ะ และเอาผ้าเนื้อละเอียดสีเหลือง ฟ้า ชมพู เขียวตองอ่อน อย่างละ 1 จั้ง”
“อ้อ ได้ๆ” เถ้าแก่ร้านขายผ้ากระวีกระวาดตัดผ้าและพับใส่ห่อให้
“ทั้งหมดเท่าไหร่หรือเจ้าคะ?” ฝูเฟยเมี่ยวเอ่ยถาม แต่ยังไม่ทันที่บุรุษเจ้าของร้านจะได้เอ่ยตอบก็มีบุรุษผู้หนึ่งพรวดพราดเข้ามา ท่าทางของเขาดูกระหืดกระหอบ
“เถ้าแก่ นายหญิงสั่งให้มาซื้อผ้าไหมแบบเดิมที่นางเคยซื้อจากร้านท่านไป ขอให้จัดให้ข้าอย่างด่วนๆ” เขาพูดไปหอบไป
เถ้าแก่ร้านขายผ้าชะงัก เขาทำสีหน้าอัดอัดเพียงแค่จิบน้ำชาก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างอ่อนน้อม
“น้องชายท่านนี้ทางร้านเราต้องขออภัยด้วย พอดีว่าผ้าไหมร้านเรานั้นหมดเกลี้ยงเลย ช่วงนี้ผู้คนมาหาซื้อผ้าไหมเยอะมากจริงๆ ร้านอื่นๆ ก็คงไม่มีเช่นกันเพราะข้าก็ได้คุยกับร้านอื่นอยู่บ้าง เห็นทีต้องรอส่งมาจากเมืองหลวงนู่นแหละ แต่ก็ยังไม่รู้นะว่าจะมาเมื่อใด เพราะได้ข่าวว่าทางเมืองไท่ซุนเองผ้าไหมก็ขาดตลาดเช่นกัน” พูดจบเถ้าแก่เจ้าของร้านก็ถอนหายใจ เขาน่าจะกักตุนผ้าไหมเอาไว้ให้มากหน่อย แต่เพราะผ้าไหมมีราคาแพงเขาจึงไม่อาจกักตุนสินค้าได้มาก เพราะขั้นตอนในการผลิตผ้าไหมนั้นยุ่งยากซับซ้อน ผ้าไหมจึงมีค่าและราคาแพงยิ่งนัก คนที่ได้สวมใส่อาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าไหมเห็นจะมีแต่เหล่าคหบดีและจวนขุนนางเท่านั้น
“เฮ้อ!ข้าเองก็เดินถามมาทุกร้านแล้ว ร้านไหนๆ ก็ไม่มีผ้าไหมเลยสักชิ้นเดียว เห็นทีต้องกลับไปรายงานนายหญิงตามนี้ ข้าไปก่อนนะเถ้าแก่” พูดจบบุรุษผู้นั้นก็รีบจ้ำอ้าวเดินออกจากร้านไป
หลังจากนั้นเถ้าแก่เจ้าของร้านจึงได้หันมาสนใจสตรีตรงหน้าอีกครั้ง
“อ้อ ของแม่นาง 200 อีแปะเท่านั้นเอง” บุรุษเจ้าของร้านยื่นห่อผ้าให้พลางส่งยิ้มอ่อนโยน ฝูเฟยเมี่ยวรับห่อผ้านั้นมาก่อนจะยื่นเงินให้ 200 อีแปะ
“ขอบคุณแม่นางมากๆ วันหลังมาอุดหนุนร้านเราอีกนะ” นั่นไง เขานึกเอาไว้ไม่มีผิด ถึงแม้ว่านางจะแต่งตัวดูมอซอ แต่นางก็มีเงินจ่าย
“เอ้อ…เถ้าแก่ ข้าขอถามอะไรจะได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เถ้าแก่เจ้าของร้านเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ถามมาได้เลยแม่นาง หากข้ารู้ข้าจะตอบ”
“อ้อ เรื่องนี้เถ้าแก่ต้องรู้แน่เจ้าค่ะ ข้าอยากรู้ว่าผ้าไหมเขาซื้อขายกันอย่างไรเจ้าคะ?”
“ผ้าไหมเช่นนั้นหรือ อืม…ผ้าไหมก็มีหลายราคา แบบที่เนื้อหยาบและคุณภาพแย่หน่อยก็อยู่ที่จั้งละ 1 ตำลึง ส่วนเนื้อผ้าและคุณภาพปานกลางนั้นราคาอยู่ที่จั้งละ 5 ตำลึง ผ้าไหมที่มีคุณภาพดี เนื้อละเอียดราคาขั้นต่ำอยู่ที่จั้งละ 10 ตำลึง”
ฝูเฟยเมี่ยวเป็นต้องทำตาโต ราคาผ้าไหมถือว่าแพงยิ่งนัก ต้องเป็นผู้มีอันจะกินโดยแท้จึงจะมีปัญญาสวมใส่ผ้าไหมเหล่านี้ได้ ที่นางทำตาโตมิใช่ว่าอยากจะซื้อหรอกนะ กลับกัน นางอยากจะขายต่างหาก
“เถ้าแก่ เมื่อสักครู่ข้าได้ยินว่า ผ้าไหมนั้นต้องรอส่งมาจากเมืองหลวง แล้วในเขตเมืองเซี่ยเองเล่าเจ้าคะ ไม่มีคนทำผ้าไหมมาขายเลยหรือ?” นางอยากรู้จริงๆ ว่าที่ไหนในยุคสมัยนี้ที่เป็นแหล่งผลิตผ้าไหม
บุรุษเจ้าของร้านทำหน้ายิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“แหล่งผลิตผ้าไหมนั้นหลักๆ ก็อยู่ที่เขตทางตอนเหนือ เจ้าเคยได้ยินชื่อเมืองหลิ่งหรือไม่ แม่นาง?”
เมืองหลิ่งเช่นนั้นหรือ ฝูเฟยเมี่ยวเคยได้ยินมาว่าเมืองหลิ่งนั้นอยู่ห่างจากเมืองเซี่ยเป็นพันลี้เลยทีเดียว
‘มิน่าล่ะ ผ้าไหมถึงได้ราคาแพง’
“เอ่อ เถ้าแก่เจ้าคะ หากว่ามีคนนำผ้าไหมมาขาย ทางร้านจะรับซื้อหรือไม่?” นางเอ่ยถามอย่างลิงโลด
เถ้าแก่เจ้าของร้านหัวเราะเสียงดังหึหึ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีชาวบ้านแถวนี้นำผ้าไหมมาขายให้สักราย หากมีมาจริงต่อให้เป็นเนื้อผ้าหยาบคุณภาพเลวเขาจะรีบซื้อกักตุนเอาไว้เลย
“ถ้ามีมาก็ดีสิ แต่ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดนำมาขายสักราย”
หลังจากเสร็จธุระจากร้านขายผ้าแล้วฝูเฟยเมี่ยวก็เดินซื้อของอีกเล็กน้อยเพราะใกล้จะถึงเวลาที่ได้นัดหมายกับลุงจางเอาไว้แล้ว
ระหว่างทาง ลุงจางที่แอบมองข้าวของที่ผู้โดยสารของเขาซื้อหากลับบ้านก็พบว่าฝูเฟยเมี่ยวนั้นซื้อของมากที่สุด มากกว่าคนอื่นๆ ซื้อรวมกันซะอีก
“เจ้าซื้อของมากมายเพียงนี้ เห็นทีว่าอีกนานกว่าจะเข้ามาในตลาดในเมืองอีกสิท่า” จางลู่ชินถามยิ้มๆ
ฝูเฟยเมี่ยวที่เพิ่งจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้จึงรีบถามออกไป
“มิได้เจ้าค่ะ ท่านลุงจาง อีก 15 วัน ข้าจะเข้ามาทำธุระที่เมืองเซี่ยอีก หากจะว่าจ้างรถม้าของท่านมานั้น ท่านจะคิดราคาเท่าไหร่เจ้าคะ อยู่ไม่เกินครึ่งวันเจ้าค่ะ”
ที่ฝูเฟยเมี่ยวต้องการว่าจ้างรถม้าแทนเกวียนนั้นเพราะรถม้าเดินทางเร็วกว่าเกวียน นางต้องการนำส่งจิ้งหรีดให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้พวกมันตาย
“เอ้อ…เจ้าหมายความว่าจะเหมารถม้าเช่นนั้นรึ?” น้ำเสียงของจางลู่ชินเจือความประหลาดใจไม่น้อย สตรีผู้นี้กำลังคิดจะทำอันใด หรือว่านางจะนำของมาขายที่ตลาดเมืองเซี่ยกันนะ
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะเหมารถม้าของท่าน”
ชายวัยกลางคนยิ้ม พลางเอ่ย
“รถม้านั้นถ้าเหมาก็ครั้งละ 1ตำลึง เพราะว่ารถม้ามันเร็ว เดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว”
ตอนนี้เขากำลังลุ้นว่าสตรีผู้นี้จะกล้าเหมารถม้าของเขาหรือไม่ เพราะราคาก็ค่อนข้างแพง
“ตกลงตามนั้นเจ้าค่ะ อีก 15 วันข้าจะเดินทางเข้ามาที่ตลาดเมืองเซี่ย ขอให้ท่านลุงจางไปรับข้าที่บ้านแต่เช้าด้วย”
“ย่อมได้ๆ” จางลู่ชินยิ้มอย่างดีใจ นานทีจะมีคนกล้าเหมารถม้าของเขาสักที
ปลายยามอู่ (11.00-12.59น.)
ฝูเฟยเมี่ยวเดินทางมาถึงบ้านแล้วจึงรีบนำข้าวของไปเก็บก่อนที่จะไปรับลูก พอเดินไปถึงหน้าบ้านของป้าเจินฝูฟางหรงก็รีบร้องไชโยอย่างดีใจ เป็นธรรมดาสามัญที่เด็กๆ เวลาที่รู้ว่าผู้เป็นมารดากลับมาจากตลาดย่อมต้องซื้อขนมและของกินมาให้ตน
“ท่านป้าเจิน เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ้าสองคนนี้ทำท่านปวดหัวหรือไม่?”
ป้าเจินหันมายิ้มให้ในขณะที่มือของนางยังคงไกวเปลให้ฝูเฟยหลงอยู่
“อาหลงน่ะ เลี้ยงง่าย ตื่นมากินนมรอบนึง นมยังไม่ทันหมดขวดก็หลับต่อแล้ว นี่นอนราวๆ เกือบหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่ยอมตื่น ส่วนฟางหรงก็วิ่งเล่นบ้าง นอนกลางวันกับน้องบ้าง ไม่ดื้อหรอก”
ฝูเฟยเมี่ยวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่งห่อบะหมี่สองห่อให้ป้าเจินพร้อมๆ กับขนมเฉียวกั่ว
“อาเมี่ยว ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อมา เจ้ายิ่งต้องประหยัดเงินประหยัดทองเอาไว้เพราะต้องหาเลี้ยงลูกคนเดียว” หญิงชราทำท่าเกรงอกเกรงใจ แต่ฝูเฟยเมี่ยวนั้นทันสังเกตเห็นว่าป้าเจินเองก็แอบกลืนน้ำลายลงคอ
“มิเป็นไรเจ้าค่ะป้าเจิน ตอนนี้ข้าพอจะมองเห็นลู่ทางหาเงินได้มากขึ้น อีกไม่นานข้าจะเข้าไปที่ตลาดเมืองเซี่ยอีก คราวนี้จะเอาจิ้งหรีดไปขายเจ้าค่ะ ข้าต้องรบกวนท่านป้าเจินกับท่านลุงเจินอยู่บ่อยๆ เกรงใจยิ่งนักเจ้าค่ะ อ้อ พอดีข้าซื้อผ้ามาเยอะเลยกะว่าจะมาตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้เด็กสองคนนี้ รวมทั้งท่านป้าเจินและลุงเจินด้วย เดี๋ยววันหน้าข้าจะมาขอวัดตัวเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
ป้าเจินได้แต่อ้ำอึ้ง ตอนนี้นางงงไปหมดแล้ว สตรีผู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้ามาจากที่ใดกัน หากเป็นเมื่อก่อนเสื้อผ้าที่นางและชาวบ้านใช้นั้นล้วนซื้อสำเร็จจากร้านเถ้าแก่เหวย ผู้ที่มีฝีมือด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าในหมู่บ้านเฉียงไฉ่นี้มีแทบจะนับคนได้ แต่ฝีมือก็ไม่ได้ดีนักหนาหรอก ไม่เหมือนช่างตัดผ้าในเมือง แค่เพียงใส่ได้เท่านั้น แล้วเรื่องจิ้งหรีดนั่นอีก ป้าเจินเองยังไม่เคยมีโอกาสแวะเวียนไปดูจิ้งหรีดที่หญิงสาวบอกว่านางเลี้ยงเอาไว้เลยเพราะตนนั้นกระดูกและข้อไม่ค่อยดี เดินเหินลำบากยิ่ง
“ไปกันเถอะ รบกวนป้าเจินมาทั้งวันแล้ว ท่านจะได้พักผ่อน ป้าเจินเจ้าคะ บะหมี่ร้านนี้เขาร่ำลือว่าอร่อยมาก ลองชิมดูนะเจ้าคะ หากว่าถูกใจ วันหน้าข้าจะซื้อมาฝากอีก”
จากนั้นฝูเฟยเมี่ยวก็หอบลูกเดินกลับบ้าน ระหว่างทางฝูฟางหรงแทบอยากจะอุ้มผู้เป็นมารดาและน้องวิ่งกลับบ้าน เด็กน้อยอยากให้ถึงบ้านเร็วๆ เพราะมารดาของนางบอกว่ามีบะหมี่ ขนมเซาปิ่ง ถังหูลู่และขนมเฉียวกั่วรออยู่ที่บ้าน
เมื่อถึงบ้านเด็กน้อยก็จัดการบะหมี่และขนมจนอิ่มแปล้แทบจะเดินไม่ไหว
“ท่านแม่ ทั้งบะหมี่และขนมพวกนี้อร่อยมากเหลือเกินเจ้าค่ะ” เด็กน้อยนอนหนุนตักผู้เป็นมารดาพลางยิ้ม ฝูฟางหรงจำได้ว่านางไม่เคยได้กินบะหมี่ที่อร่อยขนาดนี้และขนมมากมายเท่านี้มาก่อนเลย
“หากเจ้าชอบ วันหลังแม่จะทำขนมแปลกๆ ใหม่ๆ ให้กิน แต่ต้องสัญญานะว่าจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังแม่ ไม่ดื้อ ไม่ซน”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยสัญญา” หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเจ้าเด็กน้อยก็หลับไปข้างๆ เปลของน้องชายนางนั่นเอง
ฝูเฟยเมี่ยวมองภาพนั้นแล้วอดยิ้มไม่ได้ เมื่อครั้งที่นางยังเป็นเด็กๆ ตอนนั้นน่าจะเป็นยุค 80 ที่ไฟฟ้า น้ำประปาก็ยังไม่เข้า เวลาที่พ่อแม่นำข้าวเปลือกขึ้นรถสองแถวซึ่งเป็นยานพาหนะเพียงหนึ่งเดียวของผู้คนสมัยนั้นเข้าไปขายในตลาด เด็กน้อยมักจะขอตามไปด้วยเพราะจะได้กินขนมและก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ สำหรับเด็กยากจนในชนบทแล้วโอกาสดีๆ ที่จะได้ไปเที่ยวตลาดและกินของอร่อยๆ นั้นหาไม่ง่ายนัก
“คราวหน้าแม่จะเอาจิ้งหรีดเข้าไปขายที่ตลาด หากเจ้าอยากไปด้วยแม่จะพาไป” ฝูเฟยเมี่ยวคิดว่าการเดินทางบนรถม้านั้นเร็วกว่าเกวียนมากและบุตรสาวตัวน้อยก็น่าจะทั้งดีใจและตื่นเต้นที่จะได้นั่งรถม้าและเข้าไปเที่ยวในเมืองสักครา สำหรับเจ้าก้อนแป้งก็คงจะฝากท่านป้าเจินไว้เช่นเดิมพร้อมกับมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง ตอนนี้ป้าเจินเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของครอบครัวนางไปแล้ว