ฝูเฟยเมี่ยวรู้สึกว่าร่างกายของสตรีนั้นช่างอ่อนแอเสียจริง โดยเฉพาะสตรีที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ในยุคจีนโบราณเช่นนี้นางมิได้มีปัญหาในการคลอด เช่น เด็กไหล่ติด เอาขาหรือก้นออก หรือว่าเด็กนอนขวาง ซึ่งในยุคสมัยที่นางจากมานั้นต้องอาศัยการผ่าคลอด เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาสูตินรีแพทย์พร้อมห้องผ่าตัดคลอดมาจากที่ไหน ที่นี่มีก็แต่หมอตำแยเท่านั้น หญิงสาวนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นางนั้นสามารถคลอดบุตรโดยเป็นการคลอดธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย
นางต้องหาอาหารการกินมาบำรุงหน่อยแล้ว หญิงที่เพิ่งให้กำเนิดบุตรใหม่ๆ มักจะเสียเลือด ลองเข้าไปดูในครัวหน่อยดีกว่าว่าบ้านนี้มีของกินอะไรบ้าง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้เก่าๆ ผุๆ ขนาดประมาณ 2X2 จั้ง (ราว ๆ6.66 x 6.66 เมตร) หน้าต่างและหลังคาทำจากหญ้าคา ตัวบ้านยกพื้นสูงจากพื้นประมาณแค่เข่า มีบันได 2 ขั้น
‘แล้วครัวอยู่ที่ไหนกันนะ?’ ฝูเฟยเมี่ยวนึกถามตนเองในใจ
“ทะ…ท่าน ท่านแม่” เสียงเล็กๆ เจื้อยแจ้วนั้นดังมาจากทางด้านหลัง ฝูเฟยเมี่ยวหันขวับไปก็พบกับเด็กหญิงรูปร่างผอมบาง อายุน่าจะ 2-3 ขวบ
“อะ…เอ่อ” ฝูเฟยเมี่ยวทำท่าเก้ๆ กังๆ ถึงแม้ว่าจะเคยชินกับการถูกเด็กๆ ในสังกัดเรียกขานนางว่า ‘ท่านแม่’ แต่นั่นเป็นเพียงการตั้งสมญานาม
“ท่านแม่ น้อง น้อง อยู่ไหน?” เด็กน้อยพูดปะติดปะต่อพอจะเข้าใจความหมายได้ ฝูเฟยเมี่ยวก้มตัวลงลูบศีรษะมนของเด็กน้อยหน้าตามอมแมมอย่างเอ็นดู
ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมบอกว่า เด็กคนนี้ชื่อ ฉีฟางหรง ซึ่งตอนนี้ฝูเฟยเมี่ยวตั้งใจจะเปล่ยนเป็น ‘ฝูฟางหรง’ เด็กน้อยหน้าตามอมแมมผู้นี้คือบุตรสาวคนโตของฝูเฟยเมี่ยวเจ้าของร่างเดิมกับสามีเฮงซวยแห่งชาติ ฉีห่าวซวนนั่นเอง
“เจ้าไปไหนมา หน้าตามอมแมมเชียว” ฝูเฟยเมี่ยวเอ่ยถามพลางดึงเด็กหญิงเข้ามาหา
“นางร่ำร้องอยากออกไปหาจิ้งหรีดที่ชายป่าเอามาไว้ให้เจ้ากินน่ะ บอกว่าพอท่านแม่คลอดน้องแล้วจะได้กินจิ้งหรีดอร่อยๆ” คนที่พูดนั้นคือป้าเจิน สตรีสูงวัยท่าทางใจดีที่มีรั้วบ้านติดกันกับบ้านของฝูเฟยเมี่ยวนั่นเอง
“โอ้! ขอบคุณท่านป้าเจินมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยดูแลอาหรงให้ตอนที่ข้ากำลังคลอดน้องของนาง อาหรงเจ้าเองก็ช่างกตัญญูเหลือเกิน ตัวเล็กๆ เพียงเท่านี้ยังมีแก่ใจจะไปหาจิ้งหรีดมาไว้ให้แม่กิน” ฝูเฟยเมี่ยวดึงบุตรสาวเข้ามากอดคล้ายๆ เป็นการปลอบประโลม
‘เด็กน้อย เจ้าจะรู้หรือไม่นะ ว่าบัดนี้บิดาเฮงซวยของเจ้าได้ทิ้งเจ้าและน้องไปแล้ว แต่อย่าไปใส่ใจเลย ข้านี่แหละจะทำให้ชีวิตของพวกเจ้าสองคนพี่น้องดีกว่าตอนที่มีบิดาอยู่ รุ่งโรจน์ดั่งเสือติดปีกให้ได้ ฮึ!แล้วเราจะได้เห็นกัน’ ดวงตาของฝูเฟยเมี่ยวฉายแววมาดมั่นออกมาจนป้าเจินนึกแปลกใจ นางพอจะรับรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้มาบ้าง
“เอ้อ!อาเมี่ยว หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใด ก็ไปหาข้าได้นะ หากข้ามีข้าก็จะแบ่งให้” สตรีสูงวัยให้เวทนาสามแม่ลูกยิ่งนัก พอบิดาได้ดิบได้ดีกลับเลือกที่จะทอดทิ้งลูกเมียไปเสียได้ ไม่แม้แต่คิดที่จะรอดูหน้าลูกที่กำลังจะคลอด ช่างเป็นบุรุษที่ไร้หัวใจยิ่งนัก
“ขอบคุณท่านป้าเจิน บุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของท่าน ข้าและลูกๆ จะไม่มีวันลืมเจ้าค่ะ”
ส่วนที่เป็นครัวนั้นเป็นเพิงหมาแหงน อยู่ทางด้านหลังตัวบ้าน หลังคามุงหญ้าคา มีฝาที่ทำจากหญ้าคาเช่นกันทั้งสี่ด้าน ฝูเฟยเมี่ยวจูงเด็กน้อยเข้ามาในครัว สายตาสำรวจจนถ้วนทั่วก็พบว่า ครัวของบ้านนี้นั้นมีข้าวสารเหลือเพียงหนึ่งกอบมือ เครื่องปรุงต่างๆ ทั้งเกลือและน้ำตาลนั้นไม่มีเลย อาหารแห้ง หรืออาหารสดจำพวกเนื้อสัตว์ต่างก็ไม่มี สรุป…ทั้งครัวมีแค่ข้าวสารเก่าๆ หนึ่งกอบมือ
แล้ว…พวกนางใช้ชีวิตกันเช่นไร พวกนางกินอยู่กันอย่างไร
ฝูเฟยเมี่ยวรู้แล้วว่าเหตุใดร่างนี้จึงผ่ายผอมและอ่อนแรงง่ายถึงเพียงนี้ ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกว่านางนั้นมักจะอดมื้อกินมื้อเพื่อที่จะได้มีเงินเหลือส่งให้สามีนำไปใช้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนในเมืองหลวง นางจึงมักจะกินเพียงข้าวต้มใส่น้ำเยอะๆ และเก็บผักเก็บหญ้าที่ขึ้นตามป่ากินเป็นอาหาร แม้แต่เด็กน้อยที่ควรจะได้กินเนื้อสัตว์หรืออาหารที่มีโปรตีนมากๆ เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยก็ต้องพลอยอดไปกับผู้เป็นมารดาด้วย ฝูฟางหรงจึงดูตัวเล็กกว่าเด็ก 3 ขวบทั่วไป
‘ข้าจะทำให้เด็กๆ บ้านนี้อยู่ดีกินดีให้จงได้’ ฝูเฟยเมี่ยวให้สัญญากับตนเอง
“ท่านแม่ จิ้งหรีดห้าตัวนี้ข้ากับท่านป้าเจินช่วยกันจับมาได้ ท่านย่างไฟกินนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเอื้อมมือมาหวังจะช่วยเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นมารดา เพราะนางเริ่มเรียนรู้แล้วว่าที่ผ่านมามารดาของตนนั้นร้องไห้บ่อยครั้ง ทว่า…ครั้งนี้ฝูฟางหรงกลับต้องประหลาดใจที่หางตาของมารดานั้นไม่มีน้ำตาสักหยด มิหนำซ้ำใบหน้ายังเปื้อนยิ้มอีกด้วย
“คนเก่งของแม่ แม่จะพาเจ้าขึ้นไปดูน้อง ตอนนี้น้องหลับอยู่ เจ้าอย่าทำเสียงดังล่ะ เดี๋ยวน้องตื่น ถ้าน้องร้องเจ้าต้องรีบมาบอกแม่นะรู้ไหม แม่จะอยู่ที่ครัวทำอาหารให้เจ้ากิน”
ฝูฟางหรงทำสีหน้าดีใจ เด็กน้อยลืมเรื่องน้องไปเสียสนิทเพราะมัวแต่ดีใจที่ตนนั้นจับจิ้งหรีดมาได้
“น้องๆ ข้าอยากเห็นน้องแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
“ไปกันเถอะ” ฝูเฟยเมี่ยวพูดพลางจูงแขนเด็กน้อยขึ้นบันไดไปบนบ้านซึ่งลูกชายตัวน้อยของนางกำลังหลับตาพริ้ม มีป้าเหวินหมอตำแยนั่งเฝ้าไว้ให้อย่างเวทนาในชะตากรรมของสามแม่ลูก สามแม่ลูกที่พอบิดาได้ดิบได้ดีกลับเลือกที่จะทิ้งครอบครัวของตนไป
เจ้าก้อนแป้งน้อยนอนหลับอุตุอย่างรู้ความ ฝูเฟยหลงคือชื่อที่ผู้มารับบทบาทมารดาต่อเป็นผู้ตั้งให้ นางตั้งใจจะปั้นให้เขาเป็นดั่งมังกรทะยานบิน
“อ้อ เจ้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าเห็นจะต้องขอตัวก่อน จะไปเตรียมหุงหาอาหารให้ตาแก่สักหน่อย” ป้าเหวินเอ่ยบอกพลางขยับตัว
“ขอบคุณท่านป้าเหวินมากเจ้าค่ะ อุตส่าห์มาช่วยทำคลอดให้แล้ว ยังมีแก่ใจช่วยดูแลอาหลงให้อีก อาหรง อ้อ ต่อไปแม่จะเรียกเจ้าว่าฟางหรงนะ จะได้ไม่สับสนกับชื่อ อาหลงของน้องเจ้า” ฝูเฟยเมี่ยวลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ ฝูฟางหรงนั้นจ้องมองดูน้องชายตัวแดงๆ ในห่อผ้าขี้ริ้วตาไม่กระพริบ
น้องช่างตัวเล็กเหลือเกิน แต่ก็น่ารักมาก เด็กน้อยตั้งใจว่าจะช่วยผู้เป็นมารดาดูแลน้องเอง ท่านพ่อก็คงจะกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองหลวงเช่นเคยสินะ
“เอ้อ…ข้าลืมไป นี่เงิน 1 ตำลึงที่อาซวนให้ข้า ข้าขอยกให้อาหลงเป็นของขวัญแรกเกิดละกัน” สตรีสูงวัยยื่นเงิน 1 ตำลึงใส่ในมือของฝูเฟยเมี่ยว ป้าเหวินหมอตำแยนั้นรู้เห็นความเป็นไปทุกอย่างในครอบครัวนี้ นางรับเงิน 1 ตำลึงไม่ลงจริงๆ สามแม่ลูกช่างน่าเวทนานัก ที่บ้านนี้จะมีเงินเหลือกี่อีแปะ จะพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือไม่
ฝูเฟยเมี่ยวขอบตาร้อนผ่าว ความเป็นสาวประเภทสองทำให้นางมีอารมณ์อ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว นางให้รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก คิดดูก็แล้วกันขนาดคนอื่นยังมีแก่ใจนึกสงสารเวทนา แต่ผู้เป็นบิดาแท้ๆ กลับทอดทิ้งเด็กน้อยที่น่ารักทั้งสองไปได้ เช่นนี้จะเรียกว่าใจดำอำมหิตก็คงไม่ผิดนัก
“ท่านป้าเหวิน ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านเองก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้า กับเด็กสองคนนี้ ท่านกับท่านป้าเจินเป็นคนอื่นยังให้ความเมตตาสงสารพวกเรามากขนาดนี้ นึกๆ แล้วข้ารู้สึกละอายใจแทน เอ่อ…แทน ฉีห่าวซวนเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“อาเมี่ยวเอ๊ย เจ้าทำใจเสียเถิด ข้าละเห็นมานักต่อนักแล้ว บุรุษที่มีลูกมีเมียแล้ว พอได้ดิบได้ดีสอบเข้ารับราชการได้ มีไม่น้อยที่ทอดทิ้งลูกเมียเพื่อไปหาอนาคตที่ดีกว่า บางคนก็แต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางใหญ่โต น้อยคนนักที่จะเหลียวหลังกลับมา” ป้าเหวินพูดเพื่อไม่ให้ฝูเฟยเมี่ยวนั้นมีความหวังว่าผู้เป็นสามีจะกลับมา เพราะร้อยทั้งร้อยบุรุษเช่นนี้มักจะไม่เคยกลับมา นางจะได้ตัดใจและลืมเขา และตั้งหน้าตั้งตาหาเลี้ยงลูกทั้งสองต่อไป
“เรื่องนั้นข้าพอจะทำใจได้บ้างแล้วล่ะเจ้าค่ะท่านป้าเหวิน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” ฝูเฟยเมี่ยวพูดเสียงอ่อยๆ แต่ในใจกลับคิดว่า
‘ฮึ!เรื่องอะไรข้าต้องรอเจ้าสามีเฮงซวยนั่นด้วย นอกจากจะไม่รอแล้วข้ายังจะเดินหน้าหาสามีใหม่ที่หล่อ รวย และสูงส่งกว่าอีตาขุนนางชั้นผู้น้อยกระจอกๆ เช่นนั้นให้ได้ คอยดูสิ’
หลังจากที่ป้าเหวินลงจากเรือนไปแล้ว อันที่จริงไม่ควรจะเรียกว่าเรือนเสียด้วยซ้ำ เรียกว่ากระท่อมยังจะเหมาะกว่า หลังจากที่ป้าเหวินลับหลังไปแล้ว ก็มีเสียงร้องเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล
“อาเมี่ยว อาเมี่ยวเอ๊ย ฟางหรง ฟางหรงเอ๊ย มารับข้าที ข้าเอาของมาให้” เสียงนั้นเป็นเสียงของป้าเจิน เพื่อนบ้านใกล้เคียงนั่นเอง ฝูเฟยเมี่ยวเดินลงมาก็พบว่าป้าเจินใจดีนั้นหิ้วข้าวสารและปลาแห้งมาให้ 1 ตะกร้าขนาดกลางๆ
“โอ้!ท่านป้าเจิน ขอบคุณมากเจ้าค่ะ เกรงใจท่านจริงๆ” ฝูเฟยเมี่ยวเอ่ยขอบคุณด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชาติที่แล้วนางร่ำรวย มั่งคั่งจนล้นเหลือ พอตายแล้วมาเกิดใหม่ในร่างนี้ไฉนชีวิตมันกลับซ้ายเป็นขวา กลับหน้าเป็นหลังเช่นนี้ ทั้งบ้านมีข้าวสารเหลือเพียงแค่หนึ่งกอบมือ หากไม่ได้ข้าวสารและปลาแห้งจากป้าเจินให้พอประทังชีวิตสองแม่ลูกไปได้อีกหลายวันก็คงแย่ ส่วนเจ้าก้อนแป้งน้อยนั้นตอนนี้กินแต่เพียงนมจากอกมารดาเท่านั้น แต่อย่างไรนางเองก็ต้องกินอาหารบำรุงจะได้มีน้ำนมเยอะๆ ไว้ให้บุตรชายตัวน้อยได้กิน ยุคนี้มันไม่มีนมกระป๋องสำหรับเด็กทารกขายซะด้วยสิ
“อย่าได้เกรงใจ ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากมากแค่ไหน นี่ก็เพิ่งจะคลอดลูกใหม่ๆ ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรง ต่อไปเจ้าก็ต้องดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูลูกสองคนไปคนเดียว โชคดีนักที่สวรรค์ยังเมตตาให้เจ้าและลูกชายคลอดออกมาปลอดภัย” ป้าเจินพูดพลางส่งตะกร้าใส่ข้าวสารและปลาแห้งให้
“ท่านป้าเจิน บุญคุณครั้งนี้ข้าและลูกๆ จะไม่มีวันลืม สวรรค์มิได้โหดร้ายกับข้านักหรอก ข้ากลับคิดว่าสวรรค์ใจดีมีเมตตากับข้าซะอีกที่ยังมีท่านป้าเจินกับท่านป้าเหวินที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ถือว่าเป็นสาระในชีวิตเจ้าค่ะ”
เรื่องอื่นที่ฝูเฟยเมี่ยวว่าก็คือเรื่องที่สามีของเจ้าของร่างเดิมทิ้งภรรยาและลูกที่เพิ่งคลอดไปนะสิ นางไม่นึกว่าสวรรค์ไร้ความเมตตาหรอกนะ ในทางกลับกันฝูเฟยเมี่ยวกลับคิดว่าฟ้ามีตา สวรรค์ช่างเป็นใจนักที่ตัดผู้ชายเฮงซวยเช่นนั้นออกไปจากชีวิตของนางและเด็กทั้งสองได้