นั่นสร้างความแปลกประหลาดใจให้ป้าเหวินผู้เป็นหมอตำแยอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางถูกตามตัวให้มาทำคลอดให้กับหญิงสาวตรงหน้า ตอนที่นางมาถึงฝูเฟยเมี่ยวกำลังร้องครวญครางเพราะเจ็บครรภ์ใกล้คลอดอีกทั้งยังร้องไห้คร่ำครวญขอร้องอย่าให้ฉีห่าวซวนผู้เป็นสามีทิ้งนางและลูกไป แต่บุรุษผู้นั้นใจดำยิ่งนัก เขาโยนเงินให้กับนางที่เป็นหมอตำแยเป็นค่าทำคลอดจำนวน 1ตำลึงและฝากเงินไว้ให้สตรีที่เป็นภรรยาที่กำลังจะคลอดลูกผู้นี้อีก 1ตำลึง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่ยอมรอดูหน้าลูกที่กำลังจะคลอดเลย…ช่างเป็นบิดาที่ใจดำเสียจริงๆ
“จะ…เจ้า เจ้าไม่เสียใจแล้วหรือที่จู่ๆ อาซวนก็มาทิ้งเจ้ากับลูกไปซะอย่างนั้น?” ป้าเหวินหมอตำแยเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก ก่อนหน้านี้นางร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย พอเด็กใกล้จะคลอดนางพยายามออกแรงเบ่งจนตนเองนั้นสลบไป
อันที่จริงฝูเฟยเมี่ยวเจ้าของร่างเดิมมิใช่เพียงแค่สลบไป แต่หลังจากคลอดเด็กเสร็จนางนั้นได้สิ้นใจตายไปแล้วต่างหาก และนี่คือสาเหตุที่ดวงวิญญาณนักปั้นมือทองอย่างอัครพล หรือ เจ๊ฝูเฟยเมี่ยวซึ่งเป็นชื่อที่พี่ๆ น้องๆ ในวงการบันเทิงตั้งให้ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการเลี้ยงดูเด็กทั้งสองที่มารดาตายจากและถูกบิดาทอดทิ้งต่อไป
“หึ!ข้าไม่เพียงแต่ไม่เสียใจ แต่…ข้ากับลูกก็จะตัดผู้ชายเฮงซวยนั่นออกไปจากชีวิตพวกเราด้วยเช่นกัน ข้าจะไม่ให้ลูกทั้งสองของข้าใช้แซ่ฉีของเขา ลูกทั้งสองของข้าจะใช้แซ่ฝูตามข้า” สีหน้าและน้ำเสียงของฝูเฟยเมี่ยวทั้งเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่จนป้าเหวินให้นึกแปลกใจ ฝูเฟยเมี่ยวที่นางเคยรู้จักนั้นแตกต่างจากสตรีตรงหน้าในเวลานี้ราวฟ้ากับเหว
ฝูเฟยเมี่ยวเป็นสตรีกำพร้า นางอาศัยอยู่กับยายมาตั้งแต่เล็กๆ พอโตขึ้นมากลายเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาก็ถูกบุรุษหนุ่มรูปงามอนาคตขุนนางอย่างฉีห่าวซวนมาตกหลุมรัก ทั้งสองตกลงอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมียายของฝูเฟยเมี่ยวยินดีและยินยอมในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของพวกเขา ในขณะที่คนสกุลฉีอันประกอบด้วย บิดามารดาของฉีห่าวซวนซึ่งตอนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ รวมทั้งพี่สาวทั้งสองของเขาไม่ใคร่จะชอบใจนัก ด้วยเหตุที่ว่าฝูเฟยเมี่ยวนั้นมีฐานะยากจน
“หากเจ้าสอบได้เป็นขุนนาง เจ้ายังมีโอกาสได้พบเจอและแต่งงานกับสตรีดีๆ ตั้งมากมาย เหตุใดจึงมาลงเอยกับสตรีที่มีแต่ตัวเช่นอาเมี่ยวเช่นนี้ เฮ้อ!” ผู้เป็นบิดาทอดถอนใจ
“ท่านพี่ ท่านใจเย็นๆ ก่อน อาซวนก็คงแค่หลงผิดไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ พออาซวนสอบได้เป็นขุนนาง ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เขาย่อมได้มีโอกาสพบปะสตรีจากชนชั้นสูงมากมาย หน้าตาอย่างอาซวนน่ะขี้คร้านจะมีแต่ลูกสาวของขุนนางผู้ใหญ่มาหมายปอง” ผู้เป็นมารดาเอ่ย นางเองก็วาดหวังไว้เช่นนั้น ก็ผู้ใดเล่าจะอยากให้บุตรชายอนาคตไกลของตนมาจมปลักกับสตรียากจนไร้หนทางรุ่งเรืองเช่นฝูเฟยเมี่ยว สตรีที่มีดีแต่เพียงหน้าตา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ แต่ข้ากับนางรักกันจริงๆ นะขอรับ ได้โปรดให้โอกาสพวกเราด้วย” ฉีห่าวซวนอ้อนวอนผู้เป็นบิดามารดา
ในปีแรกๆ ก็ดูเหมือนความรักนั้นจะไม่มีวันสั่นคลอน ฉีห่าวซวนเดินทางเข้ามาร่ำเรียนในเมืองหลวงซึ่งห่างจากเมืองเซี่ยซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาและฝูเฟยเมี่ยวถึง 400 ลี้ (ราวๆ200 กิโลเมตร) โดยที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้นทางครอบครัวสกุลฉีบอกว่า ‘พวกเขาจะไม่ยุ่ง’ เพราะถือว่าฉีห่าวซวนนั้นได้ออกเรือนไปแล้ว ก็ให้คนในครอบครัวเขาดูแลกันไปสิ ฉีห่าวซวนได้ย้ายออกจากบ้านสกุลฉีไปอยู่กับฝูเฟยเมี่ยวที่บ้านของนาง ยายของฝูเฟยเมี่ยวก็ยินดีต้อนรับผู้เป็นหลานเขย นางยังบอกให้หลานสาวนำกำไลหยกซึ่งเป็นเครื่องประดับเพียงอย่างเดียวที่นางมีไปขายเพื่อนำเงินมาส่งเสียเป็นค่าเล่าเรียนให้กับฉีห่าวซวน น่าเสียดายที่ผู้เป็นยายไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของผู้เป็นหลานเขยนางก็สิ้นใจตายไปเสียก่อน
แต่กำไลหยกนั้นยังอยู่ ฝูเฟยเมี่ยวไม่ยอมขาย นางต้องการเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงยาย ซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นสามีขัดเคืองใจไม่น้อย เวลานั้นใกล้จะสอบเคอจวี่แล้ว ตัวเขาเองต้องใช้เงินมาก และจากการที่เขาต้องคร่ำเคร่งกับการท่องตำราอย่างหนัก ทำให้เขาต้องหยุดไปรับงานพิเศษจากการเป็นเสี่ยวเอ้อที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดจึงมาตกอยู่ที่ผู้เป็นภรรยาอย่างฝูเฟยเมี่ยว นางต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาส่งให้ผู้เป็นสามีแม้ว่าตนจะท้องแก่ใกล้คลอดแล้วก็ตาม งานที่เจ้าของร่างเดิมทำนั้นมีตั้งแต่ รับจ้างทำนา ดำนา เกี่ยวข้าว นวดข้าว ตำข้าว โม่แป้ง ถางหญ้า ขุดดิน ตัดฟืน ทั้งหมดก็เพื่อหาเงินส่งให้สามีเป็นค่าเล่าเรียน ค่ากินอยู่ โดยที่คนสกุลฉีและพี่สาวทั้งสองของเขาไม่เคยควักช่วยแม้แต่สักอีแปะเดียว แต่เพราะความรักและเห็นแก่อนาคตของสามีซึ่งหมายถึงอนาคตของครอบครัวฝูเฟยเมี่ยวจึงยอมอดทนเรื่อยมา
วันที่นางทราบข่าวดีว่าสามีของนางสอบเข้ารับราชการได้เป็นนายอำเภอเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งนั้นข่าวนี้ออกมาจากปากพี่สาวคนโตของฉีห่าวซวน ชื่อ ฉีเจียวเหม่ย นางไปโพนทะนาอวดชาวบ้านทั้งหมู่บ้านว่าน้องชายนางนั้นเก่งกาจนัก เป็นบุรุษคนแรกของหมู่บ้านที่สอบเข้ารับราชการได้ ตอนนี้ได้บรรจุเป็นนายอำเภอ ในภายภาคหน้าจะต้องได้เป็นขุนนางในราชสำนักอย่างแน่นอน มิเสียแรงที่คนสกุลฉีรวมทั้งนางช่วยกันหาเงินส่งเสีย ช่างน่าภาคภูมิใจเสียจริง
แต่ข่าวดีในวันนี้กลับเป็นข่าวร้ายของฝูเฟยเมี่ยว เมื่อจู่ๆ สามีที่นางเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานได้โผล่มาที่บ้าน อันที่จริงเขาคงจะมาจากบ้านบิดามารดาของเขานั่นแหละ ฉีห่าวซวนได้บอกกับนางว่า ตัวเขาเองสอบเข้ารับราชการได้เป็นนายอำเภอเมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองเซี่ยมาก เขาเองคงจะหาโอกาสกลับมาที่นี่ได้ยาก (ทั้งๆ ที่เป็นบ้านเกิด และพี่สาวทั้งสองของเขาก็ยังคงอยู่ที่นี่ ส่วนบิดามารดาตอนนี้ได้สิ้นไปแล้ว) เพราะฉะนั้นคงยากที่จะใช้ชีวิตครอบครัวต่อไปกับนาง ส่วนเรื่องลูกทั้งสองนั้นเขาจะฝากเงินค่าเลี้ยงดูมาให้เป็นระยะๆ ต่อจากนี้ระหว่างเขาและนางขอให้เป็นอิสระต่อกัน หากผู้ใดอยากแต่งงานใหม่ก็ได้ เพราะทั้งคู่มิได้จดทะเบียนแต่งงานกันจึงไม่ต้องไปทำเรื่องหย่าให้วุ่นวาย
ได้ฟังเพียงเท่านั้นฝูเฟยเมี่ยวก็รู้สึกราวฟ้าถล่มดินทลาย นางร้องไห้คร่ำครวญกอดขาผู้เป็นสามีเอาไว้ ไม่ยอมให้เขาเดินจากไป ในเวลานั้นนางเกิดเจ็บท้องจะคลอดขึ้นมา ฉีห่าวซวนจึงให้ผู้ที่ติดตามเขามาด้วยช่วยไปเรียกป้าเหวินซึ่งเป็นหมอตำแยมาช่วยทำคลอดให้ จากนั้นเขาก็เดินจากไป ไม่รอแม้แต่จะดูหน้าลูกที่กำลังจะเกิดมา ไม่รอ…ที่จะดูว่าเด็กที่จะเกิดมานั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เด็กแข็งแรงดีหรือไม่ ช่างเป็น…บิดาที่ดีเยี่ยมเสียจริงๆ
สวรรค์คิดถูกแล้วล่ะที่ส่งเจ๊ฝูเฟยเมี่ยวเข้ามาอยู่ในร่างนี้ ฝีมือนักปั้นมือทองระดับประเทศของเจ๊จะปั้นเด็กสองคนนี้ให้เป็นดาวเจิดจรัสจนบิดาบังเกิดเกล้าต้องกระพริบตาปริบๆ เลย…คอยดูก็แล้วกัน