เสียงเรียกดังกล่าวส่งผลให้หัวใจของเซียงรื่อสั่นไหวอย่างรุนแรง
พวกเขาควรเป็นแค่ตัวละคร โลกใบนี้คือโลกสมมติ...เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากน้ำหมึก มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ทว่า...
ทว่าสตรีตรงหน้าที่ดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ภาพวาดกำลังขอร้องให้เธอช่วย
ฉับพลัน ภาพของเสี่ยวหลานก็ถูกซ้อนทับด้วยภาพของหญิงสาวผมสั้นวัยสิบแปดปีที่หิ้วกระเป๋าเป้ ดวงตาเรียวสีดำเรียบที่มองตรงมาไร้ชีวิตชีวาราวกับตุ๊กตา
มันคือภาพของเธอในวันที่ถูกไล่ออกจากบ้านโดยปราศจากที่พึ่ง
แววตาของเซียงรื่อพลันแปรเปลี่ยน สองมือข้างตัวกำหมัดขณะที่กวาดสายตามองตาของที่อยู่ใกล้ตัว เมื่อพบสิ่งที่ต้องการก็เขวี้ยงมันไปทางฝูหมิงอย่างรวดเร็ว!
โพละ!
ผ้าเปียกที่ร่อนลงบนตำแหน่งศีรษะของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำราวกับจับวางส่งผลให้ชายหนุ่มชะงัก เซียงรื่อไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นต้องเสียเปล่า
“ข้า...” เธอควบคุมน้ำเสียงของตนเองไม่ให้สั่น ทำตัวให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าผิดหวังในตัวเจ้า!”
ใบหน้าอันไร้ที่ติที่พราวด้วยหยดน้ำเกาะหันขวับมามองเธอ มือใหญ่กร้านที่กุมลำคอของเสี่ยวหลานผ่อนลงเล็กน้อย แต่สีหน้าของนางก็ยังดูทรมานราวกับขาดอากาศหายใจอยู่ดี
เซียงรื่อลอบกลืนน้ำลาย เธอสามารถดึงดูดความสนใจฝูหมิงดังที่ตั้งใจไว้ แต่ขั้นต่อไปเล่า...ขั้นต่อไปควรทำอย่างไรต่อ?
หากเธอใช้กำลังเข้าต่อสู้ เธอผู้ไม่มีประสบการณ์และยังไม่รู้วิธีการใช้พลังไร้รูปก็คงไม่มีทางต่อกรกับฝูหมิงได้ ผลลัพท์...เธอตาย
และต่อให้เธอสามารถใช้พลังไร้รูปและเอาชนะฝูหมิงคราวนี้ได้จริง มันก็จะทำให้จอมมารลาสต์บอสคนนี้โมโห และหลังจากนี้เขาก็คงหาทางเล่นงานเธอทุกครั้งที่มีโอกาส ผลลัพท์...เธอตาย
แต่ถ้าเธอชิงข้าเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้...
ไม่มีทาง! คนที่ไม่เคยแม้แต่จะตบหน้าคนอื่นอย่างเธอจะมีปัญญาฆ่าเขาได้เสียที่ไหน!
ทว่าถ้าเธอยอมแพ้แล้วปล่อยเขาไป พอฝูหมิงฟื้นคืนพลังทั้งหมดก็คงวกกลับมาแก้แค้น ผลลัพท์...เธอตาย
ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีแต่ตายกับตาย! นี่เป็นอาภรรพ์ของคนที่มีชื่อ ‘เซียงรื่อ’ หรืออย่างไรกัน!
โครม!
ราวแขวนผ้าที่ตั้งอยู่ด้านข้างถูกนางผลักล้มตึงเป็นอันดับถัดมา
“ข้านึกว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้เสียอีก” เซียงรื่อเอามือกอดอกพลางเชิดหน้า ดวงตาสีม่วงที่ปิดลงครึ่งหนึ่งมองตรงไปยังบุรุษร่างกำยำ “ลองไตร่ตรองดูให้ดีว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่มันมีประโยชน์หรือไม่!”
เธอต้องทำให้เขารู้สึกเหมือนพวกเธออยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกัน แต่ขณะเดียวกัน...เธอต้องไม่ทำตัวเป็นมิตรมากเกินไป ไม่อย่างนั้นจอมมารผู้นี้จะทะนงตัวและกำเริบเสิบสาน และหาวิธีที่จะรังแกเอาเปรียบพวกเธอในท้ายที่สุด
การกระทำของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนส่งผลให้ประกายบางอย่างวาดผ่านดวงตาคมกริบ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษจ้องตากันเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร เซียงรื่อกำมือที่ชื้นจากเหงื่อที่ไหลซึมของตนเอง ก่อนที่หางตาจะเหลือบเห็นใบหน้าม่วงคล้ำของผู้เป็นสาวใช้
เสี่ยวหลานที่แต่เดิมดิ้นทุรนทุรายเริ่มแน่นิ่งเพราะขาดอากาศหายใจนานเกินไป
หญิงสาวเหงื่อแตกพลั่กๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย ก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดหวั่น
ตุบ!
ร่างของเสี่ยวหลานซึ่งถูกปล่อยตัวหล่นตุบลงกับพื้น ลำคอของนางมีรอยนิ้วมือเด่นชัด นางหอบหายใจแรงสลับกับไอเสียงดังอย่างน่าสงสาร
แม้ใจจริงเซียงรื่ออยากจะเข้าไปดูอาการของผู้ที่ถูกทำร้าย แต่เธอก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้เพราะตัวอันตรายยังคงลอยนวล
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
เสียงตวาดของท่านเจ้าเมืองส่งผลให้สาวใช้ซึ่งตาแดงก่ำรีบคลานเข่าออกไปอย่างเร่งรีบ เมื่อปิดประตูลงแล้วจึงเหลือแค่เธอกับฝูหมิง ละอองน้ำที่ล่องลอยออกมาจากสระทำให้บาดแผลตามร่างกำยำเริ่มเปียกชื้น โลหิตที่ไหลซิบๆ ออกมาจากบาดแผลหยดติ๋งๆ ลงกับพื้น
เซียงรื่อลอบกลืนน้ำลาย จับจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบราวกับไม่ต้องการให้การเคลื่อนไหวใดๆ เล็ดลอดไปได้ ความเงียบที่น่าอึดอัดทำให้เธอรู้สึกราวกับถูกของหนักทับอยู่ที่อกจนเริ่มหายใจไม่ออก สุดท้ายจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าพูดไม่ได้หรือ?”
“หึ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นในลำคอ ร่างใหญ่กำยำสาวเท้าเข้ามาหาเธออย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ระยะห่างที่ร่นเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ลางสังหรณ์ของหญิงสาวกรีดร้องเสียงดัง ไอสังหารที่แผ่ออกมาทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน รู้สึกเย็นยะเยือกจับขั้วกระดูก
“ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้า แต่จะค่อยๆ แร่เนื้อของเจ้าและเลอะกระดูกออกมาทีละชิ้น...ข้าอยากจะรู้นักว่าสัตว์ประหลาดอย่างเจ้าจะมีอวัยวะส่วนไหนที่ต่างออกไป หลังจากจัดการเจ้าเสร็จแล้ว ข้าจะออกไปไล่ฆ่าคนในเมืองนี้ทีละคน เอาเลือดของพวกเจ้าทั้งหมดมาล้างเท้า!”
“แบบนั้นเท้าของเจ้าก็เหม็นแย่น่ะสิ”
“...” ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน แววตาที่มองมามีอารมณ์มากมายวาดผ่านอีกหน
เซียงรื่อทราบดีว่าฝูหมิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังงุนงงว่าเหตุใดเธอจึงไม่แสดงออกว่ากลัวหรือโมโหกับคำพูดอันน่าหวาดเสียวทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้คนทั้งหลายที่ได้ฟัง หากไม่ขี้ขลาดตาขาวจนหมดสติก็พุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างเดือดดาล
แต่เธอกลับไม่ทำแบบนั้น มิหนำซ้ำยังออกความเห็นกับเขาอีกต่างหาก
“เจ้าฟังให้ดี” เธอเปรย “นับตั้งแต่เจ้าย่างเท้าเข้ามาในเมืองแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นคนของข้า หน้าที่ของเจ้าคือให้ความสำคัญกับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น หากเจ้าอยากงอแงหรือระบายอารมณ์ เจ้าก็ควรทำเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า”
ร่างกำยำที่หยุดชะงักในทีแรกเริ่มเดินต่อ โซ่หนักที่พันธนาการรอบข้อมือและข้อเท้าที่เสียดสียามเคลื่อนไหวส่งเสียงบาดหู เลือดที่ไหลออกจากร่างของเขาหยดเป็นทางยาวราวกับฉากในภาพยนต์แนวฆาตกรรมสยองขวัญ “เจ้ากำลังสั่งข้า?”
ขนกายของผู้ฟังลุกชันตั้งแต่หัวจรดเท้า
...ความจริงเซียงรื่อกลัวชายหนุ่มจะตายชัก แต่เธอต้องแสร้งทำเป็นไม่กลัว เพราะถ้าเมื่อใดที่เผลอแสดงความหวาดกลัวออกไป ฝูหมิงก็จะยิ่งได้ใจมากขึ้นเท่านั้น
พี่ชายนางร้ายคนนี้กับคนโรคจิตต่างกันแค่เส้นผมแบ่งกั้น ยามนี้เธอไม่อยากไปกระตุกต่อมบ้าเลือดที่เสมือนกับระเบิดเวลาของเขา
“ข้าไม่ได้สั่ง แต่มันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของข้าต่างหาก”
นัยน์ตาสีน้ำหมึกของจอมมารวาววับ “เห็นแก่ตัว...”
ร่างใหญ่กำยำที่หยุดยืนอยู่ในระยะที่ใกล้แค่เอื้อมส่งผลให้เธอเผลอหลับตาแน่น
“ข้า...ข้าไม่ต้องการให้เจ้ายุ่งกับผู้อื่น!”
ใบหน้าน่ารักของหญิงสาวร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาสีม่วงกลมลอบลืมขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เซียงรื่อรู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปมันน่าอายมากเพียงใด แต่นอกจากวิธีนี้เธอก็คิดวิธีการอื่นไม่ออกแล้ว
เพราะต่อต้านไม่ได้ อ่อนข้อให้ก็ไม่ได้...
แต่ว่า...ทำแบบนี้มันน่าอายชะมัด!
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนรับรู้ได้ว่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้านิ่งไป ก่อนที่มือใหญ่กร้านซึ่งมีโซ่พันข้อมือจะเคลื่อนเข้าเชยคางมน รั้งใบหน้าน่ารักที่ซับสีชมพูจางให้แหงนหน้าสบดวงตาคู่งามที่ดูอันตรายทว่าน่าดึงดูดในคราวเดียวกัน
“เจ้าชอบข้า?”
ชอบกับผีน่ะสิ!
เซียงรื่อโอดครวญขึ้นในใจ มันไม่แปลกที่คำพูดของเธอจะทำให้ฝูหมิงเข้าใจผิด
แต่ถ้าเธอตอบปฏิเสธเขาตอนนี้ เขาจะฆ่าเธอทิ้งหรือเปล่า?
ชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ชีวิตของสาวน้อยผู้เดินทางข้ามมิติจะจบลงตั้งแต่วันแรกแบบนี้ได้อย่างไร!
“...หากข้าเกลียดเจ้า ข้าจะให้คนพาตัวเจ้ามาหาข้าทำไม” เธอหลีกเลี่ยงการตอบคำพูดของเขาอย่างลื่นไหล “ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับข้าและผู้คนในนครแห่งนี้”
มือใหญ่ที่ยังสัมผัสตรงปลายคางมนเกร็งแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย คำตอบของเซียงรื่อไม่ใช่สิ่งที่ฝูหมิงกำลังสื่อ แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขาโมโหแต่อย่างใด
เรือนผมของนางเป็นสีชมพูอ่อนหวาน ดวงตากลมโตสีม่วงสดดุจอัญมณีหายาก ใบหูกับพวงหางฟูที่ผิดแผดไปจากมนุษย์ทั่วไปคล้ายคลึงกับสัตว์อสูรประเภทกระรอก
เมื่อวานฝูหมิงมีโอกาสได้เห็นท่านเจ้าเมืองมาแล้วครั้งหนึ่งแบบผ่านตา กลิ่นอายรอบตัวและแววตาของเขาที่เคยเห็นในความทรงจำให้อารมณ์ที่ต่างจากสตรีที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะไม่ชัดเจนจนถึงขั้นที่จับสังเกตได้ทันที แต่ในใจก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
สตรีที่เขาได้เห็นคราวก่อนกับผู้ที่เขาเผชิญหน้าอยู่ยามนี้...ไม่อันใดก็อันหนึ่งคือภาพมายาที่นางสร้างภาพขึ้นมา
“พวกเดียวกันอย่างไร”
หากเป็นเมื่อก่อน ฝูหมิงคงสังหารอีกฝ่ายทิ้งทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แต่ถ้านางตายจริง สิ่งที่เขาสงสัยก็คงไม่มีวันได้รับการแถลงไข
อีกอย่าง...เมืองแห่งนี้ไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ นับว่าเป็นสถานที่เหมาะสมในการซ่อนตัวจากยุทธภพเป็นการชั่วคราว
เซียงรื่อไม่รีบร้อนตอบ มือเรียวเคลื่อนมาปัดมือใหญ่ที่จับคางของตนออกโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าที่หล่อเหลอที่อยู่ใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้...การผูกมิตรโดยใช้เหตุผลชักจูงให้เขาเชื่อว่าพวกเธออยู่ข้างเดียวกันน่าจะเป็นวิธีที่เข้าท่าที่สุด
“ในร่างของเจ้ามีเลือดของสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่”
เรื่องที่บรรพบุรุษสกุลฝูเป็นสัตว์อสูรเป็นสิ่งที่บอกเล่าสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนเหมือนเป็นแค่ตำนานเรื่องเล่า แต่ฝูหมิงคงเคยได้ยินและเชื่อถือมันอยู่บ้าง
สายเลือดนี้ถือเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของประมุขพรรคอันดับหนึ่งและเป็น จุดอ่อนที่พระเอกกับนางเอกใช้มันสังหารเขาในตอนจบ
พอเซียงรื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ แววตาของชายหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม
“ใครที่ล่วงรู้ความลับนี้ล้วนแล้วแต่ต้องตาย!”
“ผู้คนในเมืองนี้สัมผัสไม่ได้ แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีความสามารถพอ” เธอโกหกหน้าตาย ฝูหมิงในยามนี้สูญเสียพลังของสัตว์อสูรทั้งหมด กระทั่งคนในเมืองนี้ที่มีสายเลือดอสูรเหมือนกันยังดูไม่ออก “แทนที่เจ้าจะสังหารข้าแล้วเป็นศัตรูกับคนทั้งเมือง สู้ยอมรับความช่วยเหลือจากข้าไม่ดีกว่าหรือ เจ้าเองก็บาดเจ็บหนัก ที่ยืนคุยกับข้าได้นานขนาดนี้ก็ถือว่าอึดมากแล้ว”
ฝูหมิงได้รับบาดแผลนี้มาตั้งแต่ก่อนถูกคนของมหานครหมอกอสูรจับตัวมา เขาสูญเสียเลือดมามากถึงเพียงนี้ หากเป็นคนปกติทั่วไปก็คงเดินไม่ไหว...ไม่ก็สิ้นใจตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เสียงเล็กที่เปล่งออกมาเปรียบเสมือนลางบอกเหตุ ดวงตาสีเข้มซึ่งถลึงมองมาราวกับจะฉีกร่างเธอเป็นชิ้นๆ ก็พลันอ่อนลง ม่านตาของเขาเริ่มส่ายไปมาไม่หยุด ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงในเวลาต่อมา
เซียงรื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น “ช้าก่อน ยะ...อย่าเพิ่ง...!”