4.1 ร่างกายจดจำ

1707 คำ
สี่ ร่างกายจดจำ แค่วันแรกเธอยังเหนื่อยขนาดนี้ ช่างเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ยอดเยี่ยมโดยแท้... เซียงรื่อบ่นประชดประชันตัวเองขึ้นในใจ ลากเท้าเดินกลับเข้าไปยังเรือนหลักขณะที่ในใจครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย อย่างน้อยก็ถือว่าเป้าหมายของเธอสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี การเรียนรู้การใช้พลังไร้รูปเพื่อเยียวยารักษาถือเป็นสิ่งจำเป็น หากเธอมีทักษะนี้ติดตัวไว้ย่อมเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า เปรียบเสมือนสกิลติดตัวที่สามารถใช้สอยได้อย่างอิสระ นอกจากนี้วรยุทธ์ของท่านเจ้าเมืองเองก็ดูท่าจะไม่น้อยหน้า ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถผลักร่างหนักอึ้งของฝูหมิงจนกระเด็นไปได้ไกลถึงเพียงนั้น ถ้าเปรียบโลกใบนี้เหมือนเกมๆ หนึ่ง... สิ่งที่เธอควรรู้คือความสามารถของตัวละครที่เลือกเล่นให้ละเอียดยิบที่สุด เมื่อหญิงสาวเดินขึ้นมาถึงชั้นสาม เธอก็พบห้องพักของตนเองได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีตราสัญลักษณ์บอกให้อย่างเสร็จสรรพ “ท่านเจ้าเมือง!” กู้ชิง “ท่านกลับมาแล้ว!” กู้เฉิง “ท่านเจ้าเมืองช่างงดงามเหลือเกิน ตา...ตาข้า” กู้เฉียง แฝดสามเจ้าเดิมต่างยืนเรียงหน้ากระดานรอต้อนรับการกลับมาของเธอด้วยสีหน้าคาดหวังอย่างเปิดเผย “งานที่ข้าสั่งเรียบร้อยแล้วหรือยัง” “ขอรับ! ข้าสั่งให้คนมาทำแผลทาสผู้นั้นและขังเขาไว้ในห้องท่านตามที่ท่านว่า!” กู้ชิงตอบเสียงดังราวกับสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลยแม้แต่น้อย การขังคนไว้ในห้อง...ถือเป็นเรื่องปกติของท่านเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ? เมื่อมาถึงขั้นนี้ เซียงรื่อก็คิดว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เธอประหลาดใจได้อีกแล้ว สุดท้ายจึงทำได้แค่หัวเราะในลำคอเท่านั้น จู่ๆ เซียงรื่อก็นึกถึงเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร[1] ขึ้นมา มีอยู่ท่อนหนึ่งของบทเพลงกล่าวไว้ว่า ‘สายลมเปล่งเสียงหัวเราะ ก่อกวนความอ้างว้างโดดเดี่ยว[2]’ การคิดถึงเรื่องราวในโลกเดิมส่งผลให้จิตใจของเซียงรื่อผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเธอใสกังวาลดุจเสียงจิ้งหรีดร้องยามเช้าตรู่ ใช่แล้ว…การหัวเราะนี่แหละคือยาวิเศษที่จะช่วยทำลายความคิดแง่ลบให้หายไปได้ เดิมทีเซียงรื่อจะสั่งให้พวกเขาหลีกทางเพราะอยากเข้าไปดูอาการของฝูหมิงที่อยู่ด้านใน แต่ครั้นได้สบดวงตาสีเทาสามคู่ ร่างกายของท่านเจ้าเมืองก็เคลื่อนไหวไปเองโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว มือเรียวขาววางลงบนศีรษะของฝาแฝดคนโต ลูบศีรษะของเขาสองทีก่อนจะย้ายไปทางกู้เฉิง และต่อด้วยกู้เฉียงเป็นคนสุดท้าย “ทำดีมาก” เซียงรื่อพูดจบก็เผยสีหน้าตกใจเล็กน้อย มันเป็นการกระทำที่ดูเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้ผ่านความคิดของเธอแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มทั้งสามต่างหลับตาพริ้มแล้วแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย น่าเสียดายนักที่สายเลือดสัตว์อสูรในตัวพวกเขาไม่เข้มข้นมากพอ มิเช่นนั้นเธอคงได้เห็นภาพหูสุนัขที่ลู่ลงและหางที่กวัดแกว่งไปมาแล้วเป็นแน่ หญิงสาวบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อน ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปในห้องนอน ครั้นอยู่ตามลำพัง แผ่นหลังบางก็พิงเข้ากับบานประตู ดวงตาสีม่วงที่มองต่ำกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด ถ้าหากร่างกายของท่านเจ้าเมืองยังคงจดจำความเคยชินบางอย่างได้...ก็หมายความว่าอวิ๋นซูโกหกอย่างนั้นหรือ? ไม่...ไม่น่าใช่ ในเมื่อเขาสามารถบรรยายจุดที่แตกต่างระหว่างเธอกับท่านเจ้าเมืองได้อย่างละเอียด มันเกิดจากการเฝ้าสังเกตดูอย่างใกล้ชิดและจดจำมาเป็นระยะเวลาหลายปีจนสามารถแยกแยะข้อแตกต่างเล็กๆ นั่นออกมาได้ ร่างกายของเซียงรื่อยังคงจดจำความเคยชินบางอย่างที่ทำติดต่อกันมาอย่างยาวนานได้...แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ และประเด็นสำคัญที่สุดที่เธอลืมคิดไปก็คือ... หากเธอเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ แล้ววิญญาณของท่านเจ้าเมืองตัวจริงเล่า? นางอยู่ที่ไหน? “พอๆ เลิกคิดก่อนดีกว่า วันนี้มีเรื่องให้น่าปวดหัวพอแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัก” เสียงหวานบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนอนของท่านเจ้าเมืองมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายบุปผากับขนมหวาน ชวนให้เธอนึกถึงน้ำหอมราคาแพงที่ไม่ฉุนจนเกินไป ข้าวของเครื่องใช้เป็นไม้สีอ่อน ตรงโต๊ะใกล้ฉากกั้นไม้ฉลุมีกระจกคันฉ่องทำจากทองเหลืองพร้อมเครื่องประทินโฉมมากมาย เตียงใหญ่ที่สามารถให้คนสามคนนอนเรียงกันได้อย่างสบายถูกคลุมด้วยมุ้งผ้าโปร่งสีขาวสะอาด ร่างใหญ่บนเตียงซึ่งเปลือยกายท่อนบนมีผ้าพันแผลมัดทบไว้ราวกับมัมมี่ หน้าท้องด้านล่างที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจและคิ้วที่ขมวดยุ่งอย่างทรมานส่งผลให้ผู้มองถอนหายใจออกมาเบาๆ “ในเมืองแห่งนี้...ทั้งเจ้าและข้าต่างก็โดดเดี่ยวเหมือนกันไม่มีผิด” เธอเอามือรวบกระโปรงพลางทรุดตัวนั่งลงที่ขอบเตียง “แต่ว่าอย่างน้อย...พวกเราต่างก็ยังมีลมหายใจ พวกเรายังมีชีวิตอยู่” กระทั่งสายลมยังเปลี่ยนทิศทางได้ หากยังมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับยังมีโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลง แม้ก้าวแรกของเธอจะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่เซียงรื่อก็เชื่อว่าตนกำลังมุ่งหน้าบนเส้นทางใหม่ที่ต่างจากเนื้อเรื่องเดิม ดังนั้นเธอต้องตั้งสติให้ดี ต้องฝ่าด่านพิสดารต่างๆ ไปให้จงได้ “อึก!” จอมมารผู้ที่ยังไม่ได้สตินิ่วหน้า สองมือขยำผ้าผืนบางที่คลุมร่างจนยับย่น ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด คาดว่าแผลฉกรรจ์ตามตัวน่าจะอักเสบ มหานครแห่งนี้แม้จะมีหมอแต่ก็ไม่ได้มีทักษะอะไรที่โดดเด่นมากนัก เพราะหมอที่ดีที่สุดก็คือท่านเจ้าเมืองของพวกเขา หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ตัดสินใจใช้นิ้วชี้จิ้มลงตรงหว่างคิ้วของผู้ที่นอนหน้านิ่วคิ้วขมวด “วางใจเถิด ต่อให้เจ้าเป็นระเบิดเวลา ข้าก็จะรักษาเจ้าให้หายดี” ในทางกลับกัน...ถ้าฝูหมิงหายดีเมื่อไรก็ห้ามทำร้ายเธอเป็นอันขาด หมับ! เซียงรื่อสะดุ้งโหยงเมื่อมือใหญ่กร้านของผู้ที่ควรหลับไม่ได้สติกลับคว้าข้อมือเธอไปกุมแน่น อุณหภูมิร่างกายของเขาร้อนจัดจนน่าตกใจ เขาคงเป็นไข้ดังคาด หญิงสาวพยายามดึงมือของตนเองกลับมา ทว่าพันธนาการจากมือใหญ่กลับเหนียวแน่นแม้กำลังป่วยหนัก ถึงมันจะไม่ได้ทำให้เธอเจ็บแต่ก็ไม่อาจสลัดหลุดไปได้ง่ายๆ แต่ถ้าเขาไม่ปล่อย แล้วเธอจะไปสั่งให้คนเอาผ้าเย็นมาโปะบนหน้าผากได้อย่างไร? “เสี่ยวเยว่...เสี่ยวเยว่...” เสียงแหบพร่าที่พร่ำออกจากริมฝีปากแห้งแตกส่งผลให้ร่างเล็กที่ถูกเขากุมข้อมือชะงักงัน “เสี่ยวเยว่ พี่ชายอยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น!” ‘เสี่ยวเยว่’ เป็นคำที่ฝูหมิงใช้เรียกน้องสาวของเขา ‘ฝูเยว่’ การได้ทราบว่าชายหนุ่มกำลังคิดถึงน้องสาวที่ถูกสังหารโดยฝีมือของพระเอกและนางเอกทำให้เธอสะเทือนใจพอสมควร แต่เวลานี้สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คงมีแค่ปลอบใจ เพราะคนที่ตายไปแล้วมิอาจฟื้นคืน ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของเซียงรื่อเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตาลงแล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของเขาแผ่วเบา จากนั้นค่อยเลื่อนมันไปตบบนไหล่หนาอย่างนุ่มนวลเหมือนกำลังกล่อมเด็กน้อยเข้านอน ในการ์ตูนบอกไว้ชัดเจนว่าฝูหมิงเป็นพวกคลั่งน้องสาว ร้ายกับคนทั้งโลกแต่พะเน้าพะนอตามใจฝูเยว่จนเสียคน แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอย่างมาก ถึงวิธีการมันจะไม่ค่อยถูกต้องนักก็ตามที ครอบครัว...คือสิ่งที่เธอเคยมีแต่สูญเสียมันไปตั้งแต่เด็กจนแทบจำไม่ได้ว่าช่วงเวลานั้นมันอบอุ่นมากเพียงใด กระทั่งครั้งสุดท้ายที่ถูกจูงมือหรือกอดก็ยังจำไม่ได้ การปลอบปละโลมแบบเคอะเขินของเธอทำให้สีหน้าที่กระวนกระวายและทุกข์ทรมานของฝูหมิงดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากในขณะเดียวกัน...มือใหญ่ที่กุมมือบางกลับกระชับแน่น ทำเอาหัวใจของเธอถึงกับกระตุกไปวูบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอขัดเขินที่ถูกผู้ชายที่มากเสน่ห์จับมือ หรือเป็นเพราะความหวาดกลัวต่อจอมมารผู้โหดเหี้ยมอำมหิตกันแน่ “เสี่ยวเยว่...เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผู้ใดก็ตามที่กล้ารังแกเจ้า พี่ชายจะสังหารทิ้งให้หมด ข้าจะสับพวกมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น!” คราวนี้ไอสังหารที่แผ่ออกจากร่างของผู้ที่ละเมอทำเอาเธอขนลุกซู่ พวงหางกับใบหูตั้งโด่ขึ้นมา ...ที่แท้มันเป็นเพราะข้อหลัง เป็นเพราะข้อหลังต่างหาก! ผู้คิดผ่อนลมหายใจพลางเป่าลมฟู่ออกจากปากเพื่อลดทอนความตื่นกลัวของตนเอง ส่งผลให้อวัยวะซึ่งแสดงความเป็นสายเลือดของเทพอสูรเริ่มสงบลงแล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม ก่อนที่ใบหูจะตั้งตรงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอก โสตประสาทของคนในเมืองนี้ฉับไวเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ดังนั้นยังไม่ทันที่ผู้มาใหม่จะลงมือเคาะประตู เซียงรื่อก็ชิงเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน “ใคร” [1] ยิ้มเย้ยยุทธจักร (*****) เพลงประกอบของภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร หรือ เดชคำภีร์เทวดา (****) ซึ่งเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ของกิมย้ง (**) [2] แปลจากท่อน (********)
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม