สาม
ไม้จิ้มฟัน
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงทุ้มเรียบที่เปล่งถามทำเอาส่งผลให้บรรยากาศในหอเปี่ยมมิตรเย็นยะเยือกลงอย่างรวดเร็ว
นี่เธอฟังผิดไปหรือเปล่า อวิ๋นซูถามว่าเธอเป็นใครอย่างนั้นหรือ?
หญิงสาวหยุดนิ่งไปยอมขยับ ขาทั้งสองหนักอึ้งราวกับมีหินถ่วงเอาไว้พันชั่ง “ข้าคือ...”
“เจ้าไม่ใช่ท่านเจ้าเมือง” อีกฝ่ายพูดแทรกก่อนจะเป็นฝ่ายย่างสามขุมมาหาเซียงรื่อ กิริยาท่าทางดูสง่างาม...มีความเป็นผู้ดีอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งยังดูเป็นธรรมชาติจนหาจุดติไม่ได้
เซียงรื่อเข้าใจมาตลอดว่ามนุษย์ในเมืองนี้น่าจะมีอุปนิสัยหลายอย่างเหมือนกับสัตว์ เช่นเรื่องที่ไม่สนใจสงวนท่าทีอย่างมารยาท และผู้ที่มีกำลังครอบครองอำนาจปกครองคนที่อ่อนแอกว่า
แต่ถึงแม้ว่าจะประหลาดใจกับท่าทางของอวิ๋นซูมากเพียงไร สิ่งที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้ย่อมเป็นสิ่งที่เซียงรื่อคิดว่าเธอต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
เธอไม่เคยคิดว่าตนจะสามารถสวมรวมเป็นท่านเจ้าเมืองที่ได้อย่างแนบเนียนอยู่แล้ว ทว่าแบบนี้...มันเร็วเกินไปหน่อยหรือ?
“ไร้สาระ” เซียงรื่อเดินตัดหน้าอีกฝ่ายไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ตัวดู จากสถานการณ์แล้วเธอคงต้องอยู่พูดคุยกับเขาสักพัก เรื่องอะไรจะยืนให้เมื่อยขา
ด้านอวิ๋นซูมองตามสตรีที่ตัวเล็กกว่าตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นค่อยเดินมาทิ้งตัวนั่งลงตรงข้าม มุมปากเหยียดยิ้มบางเบา
ระหว่างพวกเธอมีโต๊ะไม้เก่าตัวหนึ่งกั้นอยู่ แต่ถึงกระนั้นกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างสูงโปร่งของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและกดดันราวกับนั่งประจันหน้ากันในระยะที่ห่างเพียงคืบ
“แม้รูปร่างหน้าตาและลักษณะภายนอกของเจ้าจะเหมือนนางทุกเบียดนิ้วไปก็เท่านั้น เพราะอย่างอื่นเจ้าไม่เหมือนนางเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นท่าทางเวลาเดิน ท่านเจ้าเมืองมักจะแอ่นเอนตัวเล็กน้อยทำให้นางดูอรชรและน่าทะนุถนอมแต่เมื่อครู่นี้เจ้าเดินเหยียดหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผย ไหนจะยังมีจังหวะการหายใจของเจ้า...ท่านเจ้าเมืองเป็นสตรีที่หายใจเร็วแต่เจ้ากลับหายใจลึกและช้า จังหวะการกะพริบตาของท่านเจ้าเมืองจะเนิบช้าราวกับผีเสื้อกระพือปีกในห้วงวสันต์ แต่เจ้ากลับกะพริบตาเร็วและถี่ และยามที่ท่านเจ้าเมืองประหม่า นางก็มักจะกระทืบเท้าเพื่อระบายอารมณ์ไม่ใช่เม้มปากแบบที่เจ้ากำลังทำอยู่”
เซียงรื่อซึ่งฟังอวิ๋นซูบรรยายออกมายืดยาวจนแทบหลับกะพริบตาสองหน ปากที่แต่เดิมเม้มเข้าหากันถูกเจ้าตัวคลายออกอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนตัว คาดไม่ถึงเลยว่าที่ผ่านมาชายหนุ่มจะเฝ้าสังเกตท่านเจ้าเมืองมากถึงเพียงนี้
หรือแท้จริงแล้วเธอเข้าใจผิดมาโดยตลอด เหตุผลที่อวิ๋นซูไม่เคยถือสาเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองทำร้ายคู่หมั้นของเขาไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว แต่เพราะเขาเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้ท่านเจ้าเมืองมากเสียจนไม่ถือสากับสิ่งที่นางทำกับคุณหนูสือเลยต่างหาก!
เซียงรื่อตบเข่าฉาดด้วยความโมโห เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยคนบ้าโรคจิต กระทั่งกับอวิ๋นซูก็ไม่มีข้อยกเว้น น่าเสียดายหน้าตางดงามนี่เสียจริง!
“เจ้ารู้บ้างไหมว่าตอนนี้เจ้าพูดจาน่าขนลุกมาเพียงไร หรือที่ผ่านมาความรู้สึกของเจ้ามันเกินเลยขอบเขตของคำว่า ‘เพื่อนสมัยเด็ก’ มาโดยตลอด!”
เธอเลือกใช้วิธีส่งเสียงดังเพื่อแสดงความเจ้าอารมณ์ออกมา ทั้งที่ความจริงแล้วสมองกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
หากอวิ๋นซูมีความคิดไม่บริสุทธิ์ใจต่อท่านเจ้าเมืองจริง เธอก็ควรอยู่ให้ห่างเขามากที่สุดจึงจะถูก...แผนการที่วางไว้ป่นปี้อย่างไม่เป็นท่า
บัดซบยิ่งนัก! หรือเธอควรทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วหนีออกจากเมืองนี้ไปตายเอาดาบหน้าดีนะ!
เมืองแห่งครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์อสูรที่ขนนุ่มฟูฟ่อง มหานครที่เซียงรื่อเคยหลงเชื่อว่าน่าจะเป็นสวรรค์บนดินถูกทำลายย่อยยับภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
แต่ถ้าหากเธอหนีไปจริง แล้วชะตากรรมฝูหมิงเล่า?
การครุ่นคิดถึงชายหนุ่มผู้มีกล้ามท้องเรียงตัวสวยและเนื้อตัวชุ่มไปด้วยโลหิตทำให้เซียงรื่อหลุดถอนหายใจออกมา
ในระหว่างที่อ่านการ์ตูนเธอเห็นใจและสงสารเขาไม่น้อย อย่างน้อยเธอก็ควรรักษาเขาให้หายก่อน...จากนั้นค่อยทางใครทางมัน ระหว่างนี้เธอเองก็ควรศึกษาข้อมูลของโลกภายนอกให้มากขึ้นด้วย
เซียงรื่อบีบมือที่วางอยู่บนตักเพื่อเตือนสติตนให้เยือกเย็นเข้าไว้
“อย่างข้าน่ะหรือจะชอบนาง!”
หญิงสาวเอามือกอดอก “หากเจ้าไม่ชอบนาง แล้วเจ้าจะเฝ้าสังเกตนางมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร”
เขาได้ฟังเธอตอบเช่นนั้นก็เชิดหน้าขึ้นพร้อมหลุบมองเธอด้วยแววตาของผู้กุมชัยชนะ “เจ้ายอมรับแล้ว”
“แล้วอย่างไร” ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ป่วยการที่จะปิดบัง เธอรู้อยู่แก่ใจว่าหลอกอวิ๋นซูไม่ได้ ต่อให้พยายามหาวิธีการใดมาชักจูง...เขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
“ก็หากเจ้าไม่ชอบนาง เจ้าจะรู้รายละเอียดทุกอย่างถี่ยิบ กระทั่งจังหวะการกะพริบตากับจังหวะการหายใจของนางได้อย่างไร น่าขนลุกสิ้นดี!”
“ข้าไม่ได้ชอบนาง แต่ข้าแค่เทิดทูนสายเลือดของเทพอสูรกระรอกหยกชมพูที่อยู่ในตัวนางต่างหาก!”
คำสารภาพที่หลุดออกจากปากส่งผลให้เซียงรื่อชะงักไปครู่หนึ่ง
สมกับที่เป็นสุดยอดแฟนคลับ...ไม่ใช่แฟนคลับของท่านเจ้าเมือง แต่เป็นแฟนคลับของกระรอกหยกชมพู
“เพราะพลังไร้รูปน่ะหรือ?”
“เจ้าตาบอดรึ!” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ว่าจะเป็นเส้นผม ดวงตา ใบหู พวงหาง กระทั่งผิวพรรณ กระดูกและเลือดที่อยู่ข้างในล้วนเป็นสิ่งที่บรรพบุรษมอบให้นางทั้งสิ้น มันคือความสมบูรณ์แบบอันไร้ที่ติ!”
เซียงรื่อกะพริบตาปริบๆ ลักษณะของท่านเจ้าเมืองน่ารักมากก็จริง แต่ถ้าพูดถึงความงามแล้วล่ะก็ นางเทียบกับอวิ๋นซูหรือฝูหมิงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ตั้งแต่เด็กข้าคอยทะนุถนอมร่างกายของนางมาโดยตลอด ทุกครั้งที่นางทำท่าจะล้ม ข้าก็ต้องกระโดดเข้าไปรับ ทุกครั้งที่นางทำท่าจะร้องไห้ ข้าก็ต้องตามใจเพื่อไม่ให้นางเสียน้ำตาอันมีค่า เจ้ารู้ไหมว่าที่ผ่านมาข้าเหนื่อยมากเพียงไร!”
หญิงสาวฟังไปฟังมาก็เริ่มปวดหัว
อวิ๋นซูดูดีน่ะใช่...แต่อย่าให้เขาเปิดปากพูดออกมาเชียว แต่ละถ้อยคำล้วนบาดหูหาความน่าฟังได้ที่ไหน ราวกับบุรุษผู้นี้อมขี้อยู่ในปาก หากพูดออกมาเมื่อไรก็ชวนให้เหม็นจนแทบอยากอาเจียนออกมา
เซียงรื่อคิดพลางขยับตัวถอยออกไปด้านหลังอย่างแนบเนียน ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากอีกครา
“ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”
เหลือเชื่อจริงๆ เขาพูดพล่ามถึงเรื่องเทพอสูรกับท่านเจ้าเมืองอยู่ได้นานสองนาน บทจะวกกลับมาประโยคแรกที่เอ่ยถามก็เล่นซะเธอตั้งตัวรับแทบไม่ทัน
“ก็แค่วิญญาณผ่านทาง”
ต่อให้ตอบไปว่าที่นี่เป็นเพียงโลกในหนังสือการ์ตูน อวิ๋นซูก็คงไม่เชื่ออยู่ดี และเธอเองก็ไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้คนอย่างอวิ๋นซูทราบด้วย
“นามเล่า?”
“เซียงรื่อ”
ใบหน้างามพริ้มของผู้ฟังเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ “เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้ารึ!”
“ข้าไม่ได้โกหก ข้ามีนามว่า ‘เซียงรื่อ’ จริงๆ ” เธอตอบหน้าตาย
“บนโลกนี้จะมีคนบังเอิญเข้ามาอยู่ในร่างของคนที่มีชื่อเดียวกันได้อย่างไร หรือเจ้าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่สวรรค์ได้กำหนดมาแล้ว หึ! อย่างเจ้าน่ะ...หากเป็นอย่างอื่นกำหนดมาค่อยว่าไปอย่าง” อวิ๋นซูค่อนขอดอย่างไม่คิดไว้หน้ากันแม้แต่นิดเดียว “เจ้ารู้แม้กระทั่งชื่อและความเป็นมาระหว่างข้ากับท่านเจ้าเมือง เจ้า...หรือว่าเจ้าจะเป็นคนในเมืองหรือเคยทำงานในจวนแห่งนี้มาก่อน!”
เซียงรื่อกลอกตามองฟ้า ยามนี้รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากคุยกับเขาต่อ
“หูชาไปหมดแล้ว...” เสียงบ่นพึมพำเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูหวาน
ชายหนุ่มชักสีหน้าเคลือบแคลง “นั่นเจ้าพล่ามอะไร ข้าฟังไม่ถนัดเลย”
เซียงรื่อส่ายหน้า “เปล่า”
ที่ผ่านมาเวลาเธออ่านการ์ตูนหรือนิยายที่นางเอกทะลุมิติมาทีไรก็มักจะมีแต่ผู้ชายมารุมรัก ทว่าฝูหมิงกับอวิ๋นซูนี่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เธอไม่ได้คาดหวังให้พวกเขามาพิศวาสอะไรเธอ แต่ความประทับใจแรกกลับย่ำแย่ไปถึงขั้นติดลบเลยทีเดียว
คำว่า ‘ไม่ถูกชะตา’ อาจฟังดูเบาเกินไป ถ้าใช้คำว่า ‘เกลียดขี้หน้า’ น่าจะเหมาะสมมากกว่า
อย่างเธอนี่...หากไม่เรียกว่าโชคร้ายดวงซวยแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก
“เจ้าเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่”
“ใช่”
“เหอะ!” เขาเค้นเสียงหัวเราะอย่างประชดประชัน “มนุษย์น่ารังเกียจ”
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “น้อยๆ หน่อย ในตัวเจ้าเองก็มีสายเลือดมนุษย์อยู่ หากให้ข้าเดา ดูเหมือนจะมีมากกว่าเลือดของสัตว์อสูรเสียหลายส่วนด้วยซ้ำ”
ครานี้อวิ๋นซูถึงกับชะงัก “เจ้า...ไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิด”
“แต่เจ้าโง่กว่าที่ข้าคิด”
“เจ้า!” ดวงตาสีแดงก่ำถลึงมองมาราวกับจะฆ่าเธอให้ตายด้วยสายตา “เจ้าคิดว่าตัวเองมีปัญญาปิดบังผู้อื่นได้รึ! ไม่ช้าไม่เร็วผู้อื่นก็ต้องสงสัยและระแคะระคาย เจ้าไม่มีทางเอาตัวรอดได้แน่”
“เรื่องนี้เรารู้กันอยู่สองคน หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ผู้อื่นก็ไม่มีทางล่วงรู้” เซียงรื่อตอบเสียงเรียบ
“เจ้ามั่นใจในทักษะการปกปิดของตนเองถึงเพียงนั้น?”
หญิงสาวเท้าแขนลงกับโต๊ะ แววตาทอประกายจริงจังยิ่งขึ้น “ข้าไม่มั่นใจในทักษะของตนเอง แต่ข้ามั่นใจว่าหากมีเจ้าคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง ต่อให้พวกเขาสงสัยก็คงไม่กล้าทำอะไรมาก ในเมื่อสิ่งที่เจ้าสนใจไม่ใช่วิญญาณของท่านเจ้าเมืองแต่แค่ร่างกายของนาง ไม่ว่าใครจะอาศัยอยู่ในร่างก็คงไม่ต่างกัน”
อวิ๋นซูเอามือลูบคาง ที่ผ่านมาท่านเจ้าเมืองแม้จะอยู่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแต่คนที่คอยทำงานจริงๆ กลับเป็นเขา สตรีผู้นี้แม้จะดูมีลูกเล่นอยู่บ้างแต่ก็ดูไม่ใช่คนร้ายกาจอะไร ดูแล้วน่าจะควบคุมได้ง่ายกว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขาด้วยซ้ำ