“แม่ของข้าพูดไว้เสมอว่าเป็นสตรีต้องหมั่นดูแลเสริมความงามให้กับตนเอง รับรองว่าพอคุณชายอวิ๋นเห็นท่านแล้วต้องคลานเข่าเข้ามาขอขมาท่านแน่เจ้าค่ะ!”
“ฮ่าๆๆๆ ! ” เซียงรื่อที่เพิ่งเข้าใจความหมายหัวเราะเสียงดัง “พวกเจ้าเสียสติไปแล้ว ข้ากับอวิ๋นซูไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบสักหน่อย”
สาวใช้สองนางหันมามองหน้ากันอีกครั้ง จากแววตาบ่งบอกว่าไม่เชื่อ
ตลกละ! ท่านเจ้าเมืองกับอวิ๋นซูเป็นแค่เพื่อนสมัยเด็ก แถมฝ่ายผู้ชายก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วเป็นตัวเป็นตน เซียงรื่อในสายตาของพวกนางเลวร้ายถึงขั้นเข้าไปยุ่มย่ามกับบุรุษที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วได้อย่างหน้าตาเฉยเชียวหรือ
“ท่านเจ้าเมือง แต่ว่าคราวก่อนท่าน...” นางกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ
เซียงรื่อขมวดคิ้วเมื่อสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล “ข้าทำไม”
“ท่าน...ท่านเป็นคนบอกให้ข้าพูดเองนะเจ้าคะ”
เธอเริ่มชักสีหน้าหงุดหงิด คนยิ่งกำลังรีบร้อนยังมัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้
เซียงรื่อทราบดีว่าท่านเจ้าเมืองเป็นคนร้ายกาจและเอาแต่ใจอย่างยิ่งยวด คงไม่มีอะไรที่เลวร้ายจนทำให้เธอตกใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“พูดมา!”
“สามเดือนก่อนท่านไปพบคุณชายอวิ๋นกับคุณหนูสือที่โรงเตี๊ยม ท่าน...สาดน้ำชาใส่คู่หมั้นคุณชายอวิ๋นต่อหน้าทุกคน”
“อะไรนะ!”
“ท่านเจ้าเมืองลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ นอกจากน้ำชาแล้ว ท่านยังตบหน้านางด้วย เห็นชาวบ้านพูดกับว่านับตั้งแต่วันนั้น คุณหนูสือก็ไม่ยอมออกจากคฤหาสน์ และท่านกับคุณชายอวิ๋นก็เลิกพบหน้ากันอีกเลย”
ด้านผู้ฟังถึงกับหุบปากสนิท คิ้วเรียวได้รูปสีชมพูอ่อนขมวดเข้าหากันแน่นจนแทบผูกติดกันเป็นปม
โอเค มันไม่ใช่แค่เลวร้ายธรรมดา แต่โคตรเลวร้ายเลยต่างหาก!
เนื่องจากท่านเจ้าเมืองไม่ใช่ตัวละครที่สำคัญมากเท่ากับตัวหลัก เรื่องนี้จึงไม่เคยถูกกล่าวถึงในเนื้อเรื่อง ทุกครั้งที่มีฉากระหว่างอวิ๋นซูกับท่านเจ้าเมืองก็มักจะมีแค่ตอนที่อวิ๋นซูเตือนท่านเจ้าเมืองให้ระวังฝูหมิงและบอกให้นางทำงานให้สมกับตำแหน่งท่านเจ้าเมือง แต่พอได้มาฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูสือที่เป็นคู่หมั้นของเขา เซียงรื่อก็ยิ่งมั่นใจว่าอวิ๋นซูเป็นตัวเลือกที่ดีที่เธอควรไปพบ
บุรุษคนนี้ไม่เอาความแค้นส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน เขาเตือนท่านเจ้าเมืองด้วยความหวังดีจากใจจริงในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กและในฐานะขุนนางที่ภักดี เป็นคนดียอดเยี่ยมที่สุดในหมู่คนดีอีกที ถ้าเปรียบเทียบก็คงเป็นจุดสูงสุดของยอดพีระมิด
ต่อให้ท่านเจ้าเมืองจะมีตำแหน่งใหญ่โตที่สุดในเมืองหลวง แต่ก็มีคลื่นใต้น้ำมากมายที่เกลียดนางเพราะการกระทำต่างๆ แต่อวิ๋นซูนั้นต่างออกไป เขาเป็นที่เชื่อใจและเคารพในหมู่คนทุกชนชั้น หากเธอสามารถชักจูงให้เขาเชื่อได้ว่าเธอเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นและมีเขาช่วยค้ำพยุงอยู่ด้านหลัง ต่อให้คนสงสัยเรื่องนิสัยที่เปลี่ยนไปก็คงไม่มีใครกล้าทักหรือทำอะไรบู่มบ่าม และเธอเองก็จะใช้ชีวิตใหม่ในร่างนี้ได้ง่ายขึ้นด้วย
และเธออยากจะซื้อใจเขา เธอก็ควรทำหน้าเหมือนสำนึกผิดในสิ่งที่เคยทำกับคู่หมั้นนั่นสักหน่อยดีกว่า
“เกี้ยวหามเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” เซียงรื่อถามเสียงเรียบ ราวกับสิ่งที่สาวใช้พูดมาเมื่อครู่เป็นเพียงลมที่พัดหูซ้ายทะลุหูขวา
สาวใช้ทั้งสองรีบก้าวถอยไปที่ประตู เมื่อเห็นเกี้ยวเล็กถูกเตรียมไว้เรียบร้อยก็ค้อมศีรษะ “เรียนท่านเจ้าเมือง พร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี” ใบหน้าจิ้มลิ้มเชิดขึ้นน้อยๆ ผมเปียสีชมพูอ่อนที่สะบัดตามจังหวะการก้าวเดินเหมือนเชือกซึ่งถักร้อยจากแพรไหมชั้นยอด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุปผาที่ประดับบนเรือนผมทำให้ผู้ที่ได้เห็นหวนนึกถึงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้แบ่งบาน
เกี้ยวที่คนรับใช้นำมารับตัวเธอคือเก้าอี้ขนาดใหญ่ซึ่งมีไม้คาดเหมาะกับการใช้คนหามสองคน ในระหว่างที่นั่งเกี้ยว หญิงสาวก็มีเวลาพิจารณาโครงสร้างอาคารรอบกายอย่างละเอียด
การได้เห็นสิ่งเหล่านี้ทำให้เซียงรื่อตระหนักอย่างแท้จริงว่า เธอได้เข้ามาอยู่ในร่างของท่านเจ้าเมืองในโลกของหนังสือการ์ตูนเข้าให้แล้วจริงๆ
เมื่อเกี้ยวสองคนหามมุ่งหน้าออกมาถึงด้านนอก สายตาของเธอก็ปะเข้าท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์ ปราศจากเครื่องบินและมลพิษ ทิวเขาสูงใหญ่ที่โอบล้อมทั่วทิศทางแบบ 360 องศาทำให้รู้สึกเหมือนอยู่โรงแรมระดับตัวทอปที่ครอบคลุมอาณาเขตภูเขาทั้งลูก
ที่ผ่านมาเซียงรื่อไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวพักร้อนเหมือนกับคนอื่นเขา สิ่งที่เธอทำได้อย่างมากก็แค่ดูรูปวิวและภาพอวดจากคนในโซเซียลมีเดีย
...นึกไม่ถึงว่าพอเธอตายและมีโอกาสได้มาสถานที่ที่สวยงามดั่งสวรรค์บนดินแบบนี้ เธอกลับมีคำว่า ‘หายนะ’ ห้อยถ่วงวิญญาณมาด้วย
ในโลกนี้มีพิธีแก้ชงหรือไม่กันนะ? บางทีมันอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เธอก็เป็นได้
ร่างเล็กเอามือเท้าคางลงกับพนักเก้าอี้ ยามถูกแบกหามบนเกี้ยวทำให้ร่างโคลงเคลงไปมาเล็กน้อยแต่ก็พอทนไหว จวนท่านเจ้าเมืองแห่งนี้แบ่งออกเป็นสี่ส่วนใหญ่
ส่วนแรกคือเรือนหลัก สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดคืออาคารทรงแปดเหลี่ยมสูงสามชั้น ชั้นบนสุดเป็นที่พักของเซียงรื่อ ชั้นสองเป็นที่พักของบ่าวไพร่และทาส ส่วนชั้นหนึ่งเป็นโถงใหญ่สำหรับจัดงานเลี้ยงหรืองานพิธีสำคัญต่างๆ
ส่วนที่สองคือหอกักตน เซียงรื่อยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปดูด้านใน แต่จากชื่อแล้วคาดว่าน่าจะเป็นที่กักตนและฝึกยุทธ์
ส่วนที่สามคือหอคุณธรรม เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ถูกวาดในเรื่องอยู่บ่อยครั้ง เธอจึงรู้ว่ามันคือสถานที่ทำงานของท่านเจ้าเมืองกับขุนนาง นอกจากนี้ยังเป็นที่รวบรวมตำราหนังสือจากโลกภายนอกซึ่งมีส่วนช่วยในการบริหารและพัฒนาเมืองลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาแห่งนี้
และส่วนที่สี่คือหอเปี่ยมมิตร
“ว้าว...”
เซียงรื่อหลุดอุทานเมื่อเธอย่างกรายเข้าสู่สถานที่ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย แต่พอได้สติก็หันไปพูดกับคนรับใช้ที่หามเกี้ยวพาเธอมาส่งถึงที่
“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ท่านเจ้าเมือง พวกข้ารออยู่ที่นี่ดีกว่า เผื่อขากลับท่านเมื่อยขาไม่อยากเดิน ท่านจะได้ไม่ต้องคอยนาน”
“ไม่ ข้าจะกลับเอง” เธอคิดว่าถือโอกาสนี้เดินสำรวจจวนเจ้าเมืองก็ไม่เลว
ยามข้ารับใช้หามเกี้ยวเปล่ามุ่งหน้าจากไปแล้ว เซียงรื่อก็ค่อยมีโอกาสได้มองสำรวจสถานที่ตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง
หอเปี่ยมมิตร...แท้จริงก็คือเรือนกระจกสำหรับปลูกต้นไม้นั่นเอง
สิ่งปลูกสร้างที่รูปทรงเหมือนกรงนกขนาดใหญ่ เมื่อผลักประตูบานใหญ่สองบานเข้าไปด้านใน ภาพของต้นไม้หลากหลายชนิดก็ต้อนรับการมาถึงของเธอเป็นอันดับแรก
สีเขียวเย็นที่ได้เห็นแล้วชวนให้รู้สึกสบายตา...ทำให้หัวใจของเธอสงบลงไม่น้อย
ดวงตาสีม่วงเหมือบมองหลังคาซึ่งมุงด้วยกระเบื้องสลับกับวัสดุโปร่งใสบางอย่างที่ช่วยป้องกันไม่ให้ฝนสาดแต่แสงแดดสามารถส่องลอดผ่านมาได้
กระจก? ไม่สิ...หรือจะเป็นแก้ว?
เซียงรื่อเอียงคออย่างสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สายลมวูบใหญ่พัดผ่านอย่างแรงจนเธอต้องยกมือขึ้นมาปิดตา
ท่ามกลางพฤกษาเขียวขจีและมวลบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ปรากฎร่างของบุรุษร่างผอมสูงผู้มีสีผมดำขลับหยักศกยาวประบ่า ดวงตาสีแดงฉานประดุจโลหิตขับกับผิวสีขาวซีดราวกับซากศพ ใบหน้าทรงเรียวมีไฝเล็กๆ สองเม็ดอยู่ที่ใต้ตาข้างซ้าย บนแผ่นหลังยังมีปีกขนนกสีดำขนาดไม่ใหญ่งอกยาวออกมา
บุคคลผู้นี้คือ อวิ๋นซู สหายวัยเด็กของท่านเจ้าเมือง ปัจจุบันรับตำแหน่งเป็นเลขานุการซึ่งคอยทำงานแทนท่านเจ้าเมืองที่หมกมุ่นอยู่แต่การหาความสำราญ เป็นบุรุษหน้าตาอ่อนหวานจนสตรียังพากันยอมแพ้ มีจุดเด่นคือปีกขนนกสีดำซึ่งเป็นเอกลักษณ์สืบทอดมาจากผู้ที่มีสายเลือดของเทพอสูรอีกาสามตา
รัศมีความงามที่เจิดจรัสเยี่ยงโฉมสะคราญล่มเมืองส่งผลให้เซียงรื่อตาพร่าไปชั่วขณะ ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากทัก อีกฝ่ายก็ผินใบหน้ามาสบตากับเธอเข้าเสียก่อน
“เจ้าเป็นใคร”