EP.05

1182 คำ
EP. 05 วันที่สองของการอ่านหนังสือ วันนี้ทั้งวรัทและกณธีรู้สึกเหมือนหอพักจะครึกครื้นเป็นพิเศษ มีเสียงเพลง เสียงดนตรี ทั้งเสียงเอะอะปะเทิ่งของบรรดารุ่นพี่ ก่อนประตูห้องของเขาจะถูกเคาะเสียงดัง วรัทมองหน้ากณธีอย่างรู้ซึ่งชะตากรรม “มาอีกแล้วว่ะ...” “เหอะน่า ไปเปิดประตูเหอะ ไหนว่านายเข้าใจหมดแล้ว ไม่ต้องอ่านหนังสือ” “เออ...เพราะไม่อ่านนั่นแหละ ยายแพรวบ่นฉันทั้งวันนายก็เห็น” เจ้าหนุ่มตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยเกาหัวจนฟูแล้วตัดสินใจเดินไปเปิดประตู ขณะเสียงจากภายนอกยิ่งชัดเจน ก่อนจะเห็นรุ่นพี่ประมาณสามถึงสี่คนยืนยิ้มหน้าระรื่น คราวนี้ไม่ใช่แค่พี่เบสที่ถือขวดสุรา แต่ยังมีรุ่นพี่คนอื่นๆ ถือแก้วสุรา ทั้งกีตาร์ ทั้งจานบรรจุกับแกล้ม “ว่ายังไงไอ้น้อง อ่านหนังสือกันไปถึงไหนแล้ว” พี่เบสว่าก่อนจะโก่งคอร้องเพลง ดวงตาของเขานั้นปรือบ่งบอกอาการเมาจนได้ที่ขณะวรัททำยิ้มเจื่อนแล้วบอก “ไม่ได้สักตัวครับ ตั้งแต่เมื่อวาน” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้มาต่อกัน เอ้า...พวกเราเข้ามาสอนเทคนิครุ่นน้องเสียหน่อย....” วันที่สาม...หนึ่งวันก่อนสอบปลายภาค เช่นเดิม เวลาเดิมและจังหวะเดิม เสียงเคาะประตูเช่นเดิม ขณะวรัทมองหน้ากณธีที่นั่งหัวเราะอยู่หน้าโทรทัศน์ หนังสือที่คิดจะอ่านถูกพับเก็บไว้บนชั้นตั้งแต่วันแรกแล้ว “นายจะเปิดหรือจะให้ฉันเปิดเอง...” กณธีว่าขณะตายังมองภาพบนจอโทรทัศน์ “ไม่ต้องล่ะ ฉันเปิดเองก็ได้ ไม่ต้องคิดจะอ่านมันละหนังสือน่ะ...” เจ้าหนุ่มหน้ามนคนเมืองเหนือว่าพลางถอนใจ ก่อนจะสาวเท้าไปเปิดประตูให้แก่บรรดารุ่นพี่จอมเฮี้ยวคณะเดิม... เปิดเทอมสองของมหาวิทยาลัย... ลานนั่งพักของนักศึกษา มีนักศึกษาทั้งชายและหญิงนั่งจับกลุ่มสนทนากัน บางโต๊ะสี่คน บางโต๊ะห้าคน บางโต๊ะเป็นกลุ่มคุยสนุกสนานเฮฮาเป็นสิบ มีบ้างบางโต๊ะที่นั่งแค่สองคน แต่ละโต๊ะต่างคุยกันสนุกถูกคอ ขณะโต๊ะหนึ่งใต้ต้นดอกปีบ มีหนึ่งชายหนุ่มนั่งหัวเราะร่า ขณะอีกหนึ่งหนุ่มยกมือขึ้นปิดหู ไม่ยอมฟังคำบ่นของนักศึกษาสาว “พอๆ พอได้แล้วยายแพรว บ่นแบบนี้มาเป็นแม่ฉันซะดีไหม” กณธีตะคอกเสียงเข้มใส่หน้ายายเพื่อนจอมบ่น ขณะพิราเยี่ยมหน้าไปใกล้แล้วยื่นมือไปบิดแขนเจ้าเพื่อนหนุ่มอย่างแรง จนชายหนุ่มร้องลั่น “ฉันจะไม่บ่นหรอกนะถ้าหากว่าคุณแม่ของนายไม่ฝากฉันให้ดูแลเธอดีๆ” “ก็คนมันทำไม่ได้นี่ จะบ่นไปทำไม” “แล้วทำไมไม่อ่านหนังสือฮะ” “ก็อ่าน....บ้างแล้ว...” เจ้าหนุ่มยอมรับเสียงอ่อย ขณะตวัดตามองวรัทที่นั่งข้างๆ “ใครจะไปหัวดีอย่างวรัทล่ะ เกรดเส้นตรงอย่างกะไม้บรรทัด” “อย่ามาโยงถึงคนอื่น ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ตั้งใจอ่านหนังสือ นายก็ด้วยวรัท พาเพื่อนเสียเลยรู้ไหม ดีนะที่นายนี่ไม่ตกอย่างคนอื่นๆ ไม่งั้นได้ศูนย์ตัวงามๆ ไปกินแน่” “ฉันตั้งใจดีแล้วนะ ดีมากด้วย...” “ไม่ต้องเลย ฉันรู้ว่าพวกนายไม่อ่านหนังสือกัน สามวันเอาแต่กินเหล้าเคล้าดนตรี แหม...แทนที่จะให้สอบเสร็จซะก่อนค่อยกิน แต่นี่กินกันตั้งแต่ยังไม่ทันสอบ สมน้ำหน้า” “ก็มันเป็นธรรมเนียม...” กณธีตอบเสียงอ่อย “ฉันเข้าใจว่านั่นมันเป็นธรรมเนียมของหอพัก ฉันนี่อยากจะรู้จริงๆ ว่าไอ้รุ่นพี่คนไหนไปตั้งกฎอะไรพวกนี้ขึ้นให้พวกนาย แต่ก็เถอะนะ นายไม่ดูหรือไง แต่ละคนที่อยู่หอพักนั่นน่ะเกรดเฉลี่ยระดับสามขึ้นทั้งนั้น โดยเฉพาะไอ้พี่เบสนั่นน่ะ ฉันรู้มาว่าเป็นตัวเก็งของรุ่นเลยล่ะเรื่องการเรียน กณธี...สำหรับวรัทฉันไม่ห่วงหรอกนะเพราะอยู่ในระดับดีอยู่แล้ว แต่นายนี่แหละ นายที่น่ากลัวว่าจะจบไม่ทันเพื่อน ไอ้เรื่องเกมน่ะหยุดบ้างเถอะนะ หัดตั้งใจเรียนเสียบ้าง ไม่งั้นจะไม่จบทันพวกฉันเอา เข้าใจไหม...” “จ้า...เข้าใจแล้ว” กณธีแทบจะยกมือขึ้นกราบยายเพื่อนจอมบ่น ขณะพิรายังคงตีหน้ายักษ์วางท่าขรึม “แต่ฉันขออยู่อย่างหนึ่ง เธอหยุดบ่นจะได้ไหม” “ตราบใดที่นายยังไม่เข้าใจอะไร ฉันจะไม่หยุดบ่นเด็ดขาด จำเอาไว้” เย็นวันนั้นทั้งสองหนุ่มเดินทางกลับหอพัก ได้เดินสวนกับกลุ่มของพี่เบส พวกเขาเหล่านั้นหัวเราะร่าแล้วเดินเข้ามาทักทาย “เป็นอย่างไรบ้างไอ้น้อง วันนี้ประกาศผลสอบคณะของพวกเอ็งกันแล้วใช่ไหม” พี่เบสเข้ามาตบบ่าของวรัทแล้วมองสองหนุ่มสลับกัน “ครับประกาศแล้ว...” “เป็นอย่างไรบ้าง มีใครตกไหม...” “เกือบตกครับของผม ส่วนของวรัทอยู่ในระดับดี ไม่มีปัญหาครับ” กณธีตอบเสียงอ่อย ขณะเพื่อนของพี่เบสอีกคนเข้ามาโอบกอดคอของกณธีแล้วกระซิบบอกที่หู “จำเอาไว้นะ เวลาเรียนให้ตั้งใจเรียนดีๆ ตอนทำข้อสอบมันจะทำได้เองโดยอัตโนมัติ เทอมแรกไม่เป็นไรถือว่าตั้งหลัก เทอมต่อไปพี่เชื่อว่าน้องจะต้องทำได้ มีอะไรไม่เข้าใจโดยเฉพาะวิชาเรียนมาถามพวกพี่กันได้ ทุกวิชา ทุกตำราในมหาวิทยาลัยนี้พวกพี่มีหมด เป็นอานิสงส์จากรุ่นพี่ของพวกเราชาวนรกแตกนั่นแหละ” “ครับพี่...” “พวกพี่เป็นกำลังใจให้น้องๆ นะ” พี่เบสไม่มีสีหน้าสะใจหรือดูถูกหยามเหยียด ตรงกันข้ามกลับเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยรุ่นน้อง พวกเขาทุกคนพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาให้น้องๆ ทุกคนอย่างไม่มีข้อแม้ วรัทและกณธีมองตามรุ่นพี่ที่เดินจากไปด้วยเสียงเฮฮาจึงถอนใจ การก้าวเข้ามาอาศัยร่มชายคาหอพักนี้ ทำให้เขามองเห็นถึงมุมมองใหม่จากรุ่นพี่ มุมมองที่ก้าวออกมาจากความคิดเดิมๆ เรื่องเด็กเรียนที่ต้องอยู่แต่ในกรอบ วันๆ เอาแต่อ่านหนังสือจนเคร่งเครียด พอถึงเวลาจริงๆ ยิ่งทำให้เกิดการประหม่าจนหวาดกลัวจะไม่สมหวังในเส้นที่คาดหวังเอาไว้ กรอบของคนในหอพักนี้ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น สายใยเหนียวแน่นตั้งแต่รุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ไม่ใช่กรอบคิดแบบเดิมๆ ซ้ำซาก แต่เป็นกรอบคิดที่คิดอยู่นอกกรอบ ไม่เคร่งเครียด พวกเขาเหล่านี้มีเทคนิคสั่งสอนรุ่นน้องไปในทางที่ดีด้วยประสบการณ์ต่อประสบการณ์ ถึงแม้บางเรื่องจะเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบรรทัดฐานของคนในหอพักนี้ กลายเป็นธรรมเนียมสืบรุ่นต่อรุ่นไม่จบไม่สิ้น...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม